อวิ๋นไห่ได้ฟังสุรเสียงของฮ่องเต้ก็ยิ้ม พูดเสริม “อาซี ท่านตา ท่านน้าทั้งสองและน้าสะใภ้ของเ้าก็ล้วนยังไม่เคยได้ลิ้มลองฝีมือการทำอาหารของเ้า อย่างไรก็อย่าลืมส่งไปให้พวกเราชุดหนึ่งด้วย”
จวินเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ถลึงตามองไปทางอวิ๋นไห่อย่างดุร้าย สำหรับเสด็จพ่อของเขา เขาคงว่าอะไรไม่ได้ อย่างไรเสีย การที่พ่อสามีจะให้สะใภ้เข้าครัวทำกับข้าวสักสองจานก็ถือเป็เื่ปกติธรรมดายิ่ง แต่อวิ๋นไห่นั้น เขาสามารถถลึงตาใส่ได้ แต่ใครจะรู้ คนหน้าหนาผู้นั้นจะทำทีเป็ปิดปากไอ เมื่ออวิ๋นไห่ไอเสร็จก็ทูลต่อเสี้ยวเหวินตี้ “ฝ่าา ร่างกายของกระหม่อมไม่สู้ดี กระหม่อมขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
จวินเหยียนรีบพูดขึ้น “ในเมื่อท่านน้าสามร่างกายไม่สู้ดี วันพรุ่งนี้ก็ไม่ควรต้องส่งกับข้าวไปให้”
อวิ๋นไห่ได้แต่มองไปยังจวินเหยียนพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเปื้อนหน้า เขาพยักหน้าเรียบๆ กล่าวตอบ “ได้แน่นอน แต่อาซี เ้าอย่าได้ลืมส่งไปให้ท่านตาเ้า และน้าชายน้าสะใภ้ของเ้าล่ะ อย่างไรตระกูลอวิ๋นก็มีคนมาก ต้องนำมาให้มากหน่อยถึงจะพอกิน”
อวิ๋นซีเหงื่อตก เ้าอวิ๋นไห่ผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง คนบอกให้ส่งไปให้ท่านตา ท่านน้าใหญ่ และท่านน้ารอง ก็ไม่ใช่ว่าตัวเขาเองก็ยังได้กินเช่นเดิมหรือ ถึงกระนั้นนางก็เอ่ยปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย เพราะคนที่เขาพูดถึงคือท่านตาของนาง ท่านตาเลยนะ หากนางกล้าปฏิเสธ แค่เสี้ยวเหวินตี้คนเดียวก็คงจะกดนางจนตายได้แล้ว
อวิ๋นซีกัดฟัน ทำได้แค่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงตา “เ้าค่ะ วันพรุ่งนี้จักต้องส่งไปให้พวกท่านมากหน่อยแน่นอนเ้าค่ะ อีกทั้ง ข้าจะให้เตี๋ยอีไปช่วยจัดโต๊ะให้ท่านตาด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็จะเคี่ยวโจ๊กเปล่าไปให้ท่านน้าสามด้วย เนื่องจากท่านสุขภาพไม่ดี เช่นนั้นกินโจ๊กเปล่าให้มากหน่อยย่อมมีแต่คุณ ไม่มีโทษเ้าค่ะ”
เมื่ออวิ๋นไห่ได้ยินก็แทบจะเป็ลมล้มไปทันที นี่มันอะไรกัน ยกหินทับเท้าตนเองหรือ?
เมื่อสามพ่อลูกเสี้ยวเหวินตี้ จวินเหยียน และโอวหยางเทียนหลานได้ยินเช่นนั้นก็อดหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาไม่ได้ และเป็โอวหยางเทียนหลานที่เข้าไปตบไหล่อวิ๋นไห่ด้วยความสงสาร เขากล่าวแนะ “ท่านอาสาม พี่สะใภ้รองของข้าผู้นี้มิใช่สตรีธรรมดา หากท่านจะต่อสู้กับนาง คิดจะเอาชนะนาง นั่นคงเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้”
เขาสงสารท่านอาสามอวิ๋นผู้นี้จริงๆ เพราะวันพรุ่งนี้ทุกคนจะได้กินเนื้อคำใหญ่ แต่ท่านอาสามอวิ๋นกลับต้องกินโจ๊กเปล่า แต่ในยามที่เขากำลังสงสารอวิ๋นไห่อยู่นั้น จู่ๆ ในใจก็มีสัญญาณแจ้งเตือนดัง จะล่วงเกินพี่สะใภ้รองไม่ได้เป็เด็ดขาด มิเช่นนั้นจะไม่มีของอร่อยๆ กิน
ในที่สุดหลังจากส่งบรรดาพระพุทธรูปองค์ใหญ่เ่าั้กลับไปได้เสียที อวิ๋นซีก็ทรุดฮวบลงไปทั้งร่าง จวินเหยียนปิดประตู มองภรรยาที่มีสีหน้าอ่อนเพลียเอนกายลงบนเก้าอี้อย่างอดสงสารไม่ได้เล็กน้อย “พรุ่งนี้หลังจากที่ทำกับข้าวให้เสด็จพ่อและท่านตาของเ้าเสร็จ ก็ไม่ต้องเข้าครัวทำอาหารอีก”
อวิ๋นซีกุมมือสามีเบาๆ นางพูด “ข้าไม่เป็ไร เพียงแต่วันนี้ไม่ได้นอนกลางวัน ตอนนี้จึงรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย” หลังจากที่นางคุ้นชินกับการนอนกลางวันแล้ว วันหนึ่งที่ไม่ได้นอนก็ยากจะทนไหว
“ข้าให้เพ่ยเอ๋อร์ไปต้มน้ำแล้ว เมื่ออาบน้ำเสร็จ เ้าก็รีบพักผ่อนสักหน่อยเถิด” จวินเหยียนลูบศีรษะของนางที่ยังคงมึนงงเล็กน้อย และยิ่งรู้สึกสงสารภรรยาจับใจ เมื่อนึกได้ว่าภรรยาของเขาเป็คนรักความสะอาดเสมอ จึงได้ไม่ค่อยเข้าครัว ในยามปกติหากจะเข้าครัวก็เพียงเพราะ้าทำอาหารให้ตนกับลูกเท่านั้น และนางก็จะทำแค่ไม่กี่อย่างในปริมาณที่ไม่ได้มากมายอะไร ยิ่งกว่านั้น เมื่อนางเตรียมอาหารเสร็จแล้วก็จะรีบไปอาบน้ำทันที
ผิดกับวันนี้ที่ต้องเตรียมของกินมากมาย เมื่อมีบุรุษมารวมกันเยอะ แน่นอนว่าย่อมต้องกินเยอะ
อวิ๋นซีไม่พลาดสายตาสงสารของสามี นางยิ้มพูด “อย่าเป็เช่นนี้เลย ข้าสบายดี ส่วนเื่ของหลินหลานซิน ข้าเองก็รู้แล้ว ทว่า การที่ท่านบอกให้หลินหลานซินย้ายออกไปต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนั้น เกรงว่าหลินหรงเว่ยคงจะแค้นท่านนัก”
หากให้พูดตามจริง นางไม่เคยเห็นจางเหวินเหมยอยู่ในสายตา แต่หลินหรงเว่ยผู้ไม่กระโตกกระตากผู้นั้น นางกลับคิดมาตลอดว่า คนต้องเป็คู่ต่อกรที่น่ากลัวผู้หนึ่ง และที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นก็คือ นางให้คนไปสืบหามามาก แต่กลับทราบเื่คนคนนั้นได้แค่เื่เล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญ ความรู้สึกนี้บอกนางว่า เื้ัของหลินหรงเว่ยจักต้องมีความลับที่ไม่อาจให้คนล่วงรู้ได้ซ่อนอยู่เป็แน่ เพียงแต่สืบหาไม่ได้ แม้แต่หลิงอีก็ยังสืบไม่ได้
จวินเหยียนยิ้มพูดว่า “ไม่ใช่ว่า คนตระกูลหลินขวางหูขวางตาเ้าอยู่แล้วหรอกหรือ ทั้งยังเป็กังวลว่าสตรีนางนั้นจะมาเข้าใกล้สามีอีก ตอนนี้สามีก็แค่กำจัดคนที่ขัดตาเ้าคนนั้นออกไปให้พ้นประตูก็เท่านั้น ด้วยเื่นี้ เ้าควรดีใจถึงจะถูก ส่วนหลินหรงเว่ยนั่น เ้าไม่ต้องกังวลไป เพราะเ้าเองก็น่าจะรู้ดี สามีเ้าไม่ใช่คนที่จะถูกจัดการได้ง่ายเพียงนั้น”
เขาเคยผ่านประสบการณ์การถูกวางแผนจัดฉากมาครั้งหนึ่งแล้วย่อมไม่มีทางยอมให้เกิดซ้ำอีกเป็ครั้งที่สอง ดังนั้น หลายปีมานี้จึงระมัดระวังยิ่ง ไม่ว่าจะตัดสินใจในเื่ใดก็ล้วนไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
นอกจากนี้ เื่ความผิดปกติของหลินหรงเว่ย เขาเองก็ค้นพบนานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้คิดสนใจให้มากความ หากคนคนนั้นไม่กลัวตายจริงๆ ละก็ เขาก็คงปล่อยให้คนเข้ามาเผชิญหน้า อย่างไรเสีย ชาตินี้มือเขาก็เปื้อนเืสดๆ มาไม่น้อยแล้ว จึงไม่ติดหากจะต้องสังเวยชีวิตหลินหรงเว่ยอีกคนหนึ่ง
ส่วนเื่ที่ว่าฆ่าคนไปมาก ในวันหน้าเมื่อตายไปแล้วจักต้องลงนรกสิบแปดขุมหรือไม่ เขาไม่สนใจเลยสักนิด เพราะยามมีชีวิตอยู่ เขา โอวหยางเทียนหัวหาได้กลัวเกรงในสิ่งใด ยามตายจากก็ย่อมต้องกลายเป็ผีร้ายที่ไม่มีใครทำอะไรได้
สองสามีภรรยาไม่พูดอะไรกันอีก ก่อนที่ด้านนอกจะมีเสียงของเพ่ยเอ๋อร์ดังขึ้น
รอจนสาวใช้ส่งน้ำเข้ามา อวิ๋นซีถึงได้ลุกไปอาบน้ำ เมื่อสะอาดทั้งร่างแล้ว นางก็รู้สึกเบาสบาย และกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด
จวินเหยียนรอให้อวิ๋นซีหลับใหล ก่อนจะลอบออกไปจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบ เขานึกขึ้นได้ว่า วันนี้เมื่อ่บ่ายมีใครบางคนส่งกระดาษมาให้ตนด้วย้านัดพบกับเขาในป่าตอนสิ้นยามจื่อ [1]
เขาอยากจะดูเสียหน่อยว่า เป็ใครที่นัดตนไปที่นั่นในยามดึกดื่นเช่นนี้
ตอนที่ไปถึง ณ จุดหมาย จวินเหยียนก็เห็นสตรีนางหนึ่งคลุมผ้ากันลมบางๆ สีแดงรออยู่ที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันมามองผู้มาใหม่ นางแย้มยิ้มงดงามไปให้จวินเหยียน “หม่อมฉันควรจะเรียกขานพระองค์ว่า พี่เขย หนิงอ๋อง หรือผู้นำตระกูลฉินดีเพคะ”
จวินเหยียนมองผู้หญิงตรงหน้า พูดเรียบๆ “ภรรยาของเปิ่นหวางหาใช่ญาติผู้พี่หญิงของเ้า ดังนั้นจะเรียกข้าว่าพี่เขยได้อย่างไร ส่วนผู้นำตระกูลฉิน หึหึ เกรงว่าคุณหนูสามหลินคงจะลืมไปแล้ว เปิ่นหวางแซ่โอวหยาง ส่วนผู้นำตระกูลฉินที่เ้าว่าคือใคร เปิ่นหวางเองก็สงสัยยิ่งนัก อย่างไรเสีย เื่เรียกขานนั้น เ้าก็เรียกเปิ่นหวางว่าหนิงอ๋องอย่างที่ทุกคนเรียกเถอะ”
ไข่มุกราตรีที่แขวนอยู่ข้างเอวหลินหลานซินสว่างไสวกระทบใบหน้างามเย้ายวนราวปีศาจของชายหนุ่มเป็บางจังหวะ ทำให้นางคล้ายเห็นคล้ายไม่เห็นความงามนั้น หัวใจที่อยู่ในอกอดเต้นโครมครามไม่ได้ หลายปีมานี้บิดาตั้งใจสั่งสอนนางอย่างดี แม้ชื่อเสียงของนางนับแต่เล็กจะไม่อาจทัดเทียบพี่หญิงใหญ่ที่ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน หรือพี่หญิงรองที่โอหังได้ แต่บิดาก็มักจะบอกว่า คนที่แอบซ่อนไม่เผยตัวต่างหากที่จะเป็ผู้ชนะในที่สุด
ส่วนจวินเหยียนผู้นี้ เมื่อหนึ่งปีก่อนนางเคยได้พบเขายามที่กำลังเร่งร้อนเดินทางในหานโจว หลังจากที่ได้พบเจอ นางก็รู้สึกมีใจปฏิพัทธ์ต่อเขา ในสายตานาง สตรีที่มีนามว่าอวิ๋นซีอะไรนั่นไม่คู่ควรกับเขาที่ยอดเยี่ยมเลยสักนิด แต่เป็นางต่างหากที่เหมาะสม คู่ควรกับเขาที่สุด
ดังนั้น การมาเยือนเมืองหลวงครั้งนี้ก็เป็นางที่ขอติดตามมาด้วย เป้าหมายของนางมีเพียงเขาเท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วนางหวังจะหาโอกาสเข้าใกล้ตัวเขาอยู่หลายครั้ง ทว่าเ้าโง่หลินหลานถิงนั่นกลับทำให้นางเสียเื่ครั้งแล้วครั้งเล่า
คิดถึงตรงนี้ ความไม่ยินยอมในสายตาของนางก็ยิ่งลึกล้ำ นางเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว ในสายตาจดจ้องเพียงเขาอย่างแน่วแน่มั่นคง “ผิดแล้ว ข้าไม่อยากเรียกท่านว่า หนิงอ๋อง เฉกเช่นเดียวกันกับสตรีอื่น”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ยามจื่อ(子时)คือเวลา 23.00 น. – 01.00 น.