หลินหลานซินรู้อยู่แล้วว่า เมื่อก่อนท่านตาเคยมีชายารอง อีกทั้ง คนยังได้ให้กำเนิดบุตรชายออกมาคนหนึ่งด้วย เพียงแต่ชายารองคนนั้นกลับสิ้นชีวิตเพราะอาการป่วยไข้ และในตอนหลังท่านน้าชายของตนก็ได้หายตัวไป ไม่ว่าท่านตาจะออกตามหาอย่างไร หลายปีมานี้ก็ล้วนไม่มีข่าวคราวของท่านน้าเล็ก
หรือว่า คนตรงหน้าผู้นี้จะเป็ลูกชายที่หายไปของท่านตาจริงๆ
“เ้าก็อย่าได้นับเขาเป็ท่านน้าเล็กของเ้าเลย ก็แค่เด็กนอกคอกที่เอามาออกหน้าออกตาในที่สาธารณะไม่ได้ ก็แค่เด็กที่ชายารองเป็คนให้กำเนิด” ผิงถิงจวิ้นจู่พูดเสียงเ็าดับความคิดในใจของบุตรสาว
ทว่า ในตอนที่นางเพิ่งจะพูดจบไปนั้น จ้าวลี่เจียก็เข้าไปตบหน้าของผิงถิงจวิ้นจู่ทันที “แม้เ้าจะทำตัวไร้มารยาทมาฉุดกระชากชายเสื้อของสามีข้ากลางถนนก็ช่างเถอะ แต่ยังมีหน้ามาพูดจาดูถูกคนเช่นนี้อีก สามีข้าไม่เคยรับว่าเขาเป็คุณชายจากจวนอ๋องอะไรนั่น เขามีแซ่อวิ๋น ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลของพวกเ้าทั้งนั้น แต่หากเ้ายังจะทำตัวบ้าๆ อยู่ที่นี่อีกก็อย่ากล่าวโทษข้า หากข้าจะไม่ยอมปล่อยเ้าไป”
อวิ๋นซีและหวานหว่านเห็นเช่นนั้น ดวงตาของคนทั้งสองก็เปล่งประกาย พวกนางมองจ้าวลี่เจียพลางนึกอยากจะยกนิ้วให้แล้วพูดว่า ท่านแม่/ท่านยาย ช่างองอาจจริงๆ
เพียงแต่ตอนนี้มีคนมามุงดูอยู่มากเกินไป พวกนางจึงได้แต่ต้องเก็บความในใจนั้นไว้
ผิงถิงจวิ้นจู่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกำแหงถึงขั้นมาตบหน้าตนเช่นนี้ นางจ้องจ้าวลี่เจียอย่างเอาเป็เอาตาย จากนั้นจึงสบถออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด “ตัวเ้านับเป็อะไรถึงได้กล้าตบเปิ่นจวิ้นจู่” เมื่อพูดจบ นางก็ะโ “เด็กๆ มาจับนังชั้นต่ำนี่ให้ข้าที แล้วค่อยนำร่างนางไปฝังทั้งเป็”
อวิ๋นซีที่ได้ยินก็หัวเราะหึหึเ็า “ผิงถิงจวิ้นจู่ช่างวางอำนาจเสียเหลือเกิน เ้าถึงขนาดคิดจะฝังมารดาของเปิ่นเฟยทั้งเป็เชียวหรือ เช่นนั้น ใครเป็คนมอบอำนาจนี้ให้เ้าหรือ? หรือว่า เ้าคิดว่าสถานะจวิ้นจู่ของตนจะถือว่าสุดยอดเหนือใคร”
่นี้ผิงถิงจวิ้นจู่ต้องเสียเปรียบและพ่ายแพ้ให้กับอวิ๋นซีไปหลายครั้งหลายครา ตอนนี้เมื่อเห็นอวิ๋นซียังคงมาอวดดีอยู่เช่นนี้ สีหน้าของนางก็ดำคล้ำ นางพูด “อวิ๋นซี เื่นี้จะเป็การดีหากเ้าไม่เข้ามายุ่ง มิฉะนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
อวิ๋นซีคิดว่า นี่เป็ถ้อยคำที่น่าขบขันที่สุดเท่าที่นางเคยได้ยินมา นางถึงขนาดทนไม่ไหวหัวเราะออกเสียง “เปิ่นเฟยก็อยากจะดูหน่อยว่า เ้าที่เป็เพียงจวิ้นจู่ขั้นสองชั้นรองจะไม่เกรงใจข้าที่เป็ชายาหนิงชินอ๋องขั้นหนึ่งชั้นสูงอย่างไร”
ถ้าพูดถึงฐานะ นางเป็ถึงพระชายาขั้นหนึ่ง และหากพูดถึงความสามารถ นางก็สามารถเตะสตรีตรงหน้าให้กระเด็นไปได้เดี๋ยวนี้เลย นางไม่รู้จริงๆ ว่า ผิงถิงจวิ้นจู่ไปเอาความกล้าอะไรมาพูดจาหน้าไม่อายเช่นนี้
“พอแล้ว” อวิ๋นซานมองผิงถิงจวิ้นจู่ด้วยสายตาเ็า ดวงตาคู่นั้นของเขาที่เคยมีแต่ความอบอุ่น จู่ๆ ก็มีประกายจิตสังหารวาบผ่าน และในตอนที่ทุกคนยังดึงสติกลับมาไม่ได้ มือของอวิ๋นซานก็ไปบีบอยู่ที่คอของผิงถิงจวิ้นจู่แล้ว “จางเหวินเหมย เดิมทีตัวข้าก็ไม่คิดจะมีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลจางของพวกเ้าอีก เพราะตอนนั้นที่เสด็จแม่เ้ายังอยู่ นางควบคุมดูแลบ้านทุกสิ่ง แต่มารดาข้าที่ป่วยหนักกลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ ครานั้นข้าคุกเข่าอยู่หน้าเรือนของเสด็จแม่เ้าเพื่อขอร้องให้นางเชิญหมอมาตรวจดูอาการให้ท่านแม่ข้า วันนั้นเสด็จแม่เ้าพูดออกมาเพียงประโยคเดียวว่า เป็หรือตายขึ้นอยู่กับชะตา อันที่จริงนางแค่เป็หวัดเพราะถูกอากาศเย็น แต่สุดท้ายท่านแม่ข้าที่ไม่มีแม้หมอมาตรวจรักษา ไม่ได้กินยา อายุยังไม่ถึงสามสิบก็ต้องสิ้นไป นี่เป็การกระทำจากน้ำมือของเสด็จแม่เ้า ในเมื่อเป็ตายล้วนอยู่ที่ชะตา เช่นนั้น วันนี้การที่เ้าได้พบข้าก็นับว่า เป็ตายขึ้นอยู่กับชะตาแล้ว”
เมื่อพูดจบ แรงที่มือของเขาก็เพิ่มขึ้นหลายส่วน หลินหลานซินที่อยู่อีกด้านเห็นเช่นนั้น รีบคุกเข่าลงแทบเท้าอวิ๋นซาน นางพยายามพูดจาโน้มน้าว “ท่านน้าเล็ก เื่ในตอนนั้น แม้จะเป็ท่านยายข้าที่ทำไม่ถูกจริงๆ แต่ท่านจะมาระบายความโกรธใส่ท่านแม่ไม่ได้ ทว่า หากเป็เพราะคำพูดไม่ประมาณตนที่เมื่อครู่ท่านแม่ข้าพูดออกมา ทำให้ท่านไม่พอใจ พวกเราก็ไปหาท่านตา ให้ท่านตาเป็ผู้ลงโทษนางเถิดเ้าค่ะ ไม่ว่าอย่างไรท่านจะสังหารนางเพียงเพราะความโกรธชั่ววูบไม่ได้ และยิ่งจะให้ท่านตาที่คิดถึงท่านทุกวันทุกคืนเป็คนผมขาวส่งคนผมดำไม่ได้นะเ้าคะ”
เดิมทีอวิ๋นซีไม่คิดจะสนใจเื่เหล่านี้มากนัก แต่เมื่อได้ยินคำของคุณหนูสามหลินตรงหน้าผู้นี้ นางก็อดมองคนใหม่ไม่ได้จริงๆ แม่นางน้อยที่มีอายุแค่สิบสาม แต่กลับสามารถเหยียบศีรษะมารดาตน เพื่อปีนให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ ช่างเป็คนที่มีอุบายลึกล้ำจนน่ากลัวเสียจริง
อีกทั้ง คำที่พูดออกมายังดูสง่าผ่าเผยทรงคุณธรรมถึงเพียงนี้ ดูแล้วเหมือนคนคิดเพื่อบิดาอวิ๋นของนางทั้งสิ้น แต่แท้จริงแล้วมิใช่ว่า คนทำไปเพื่อสั่งสมชื่อเสียงของตนหรือไร?
คิดถึงตรงนี้ อวิ๋นซีก็ยิ้มเ็า จากนั้นจึงเดินไปข้างกายอวิ๋นซาน ยื่นมือออกไปกุมมือบิดาตน “ท่านพ่อ มือของท่านคู่นี้ใช้ช่วยคน เหตุใดจึงต้องทำให้สกปรกเพราะคนเช่นนี้ด้วย”
จ้าวลี่เจียเองก็ขึ้นหน้าไปเช่นกัน นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยอวิ๋นซานเช็ดมือข้างที่บีบคอผิงถิงจวิ้นจู่ “ดูสิ สกปรกแค่ไหน เ้าทำเช่นนี้แล้วยังคิดจะอุ้มหลานอีกหรือ เ้าลองคิดดูก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวเด็กทั้งสองยังจะยอมให้เ้าอุ้มหรือไม่”
หวานหว่านที่ได้ยินยิ่งเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก “ไม่ยอมแน่นอนเ้าค่ะ ท่านตาััของที่มีเชื้อโรคเช่นนั้น จะให้ดีที่สุดก็ควรรีบกลับไปอาบน้ำให้สะอาดก่อน มิเช่นนั้นข้ากับน้องชายจะไม่เข้าใกล้ท่านแน่”
อวิ๋นซานถูกจ้าวลี่เจียและหวานหว่านทั้งหลอกทั้งปลอบจนยอมขึ้นรถม้าไป ทว่า ก่อนจะจากไป อวิ๋นซียังคงจดจ้องผิงถิงจวิ้นจู่ที่ยังตกตะลึงและหวาดกลัวไม่หาย “ถึงแม้ท่านพ่อข้าจะเกิดจากชายารอง แต่ในแคว้นหนานเย่านี้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดว่า ชายารองคืออนุ วันนี้ผิงถิงจวิ้นจู่ช่างกล้าเหลือเกินถึงได้พูดคำเช่นนี้ออกจากปากได้ ทั้งๆ ที่ในเมืองหลวงแห่งนี้ที่ไม่ขาดมากที่สุดก็คือชายารอง ที่ไม่ขาดมากที่สุดก็คือเด็กที่เกิดจากชายารอง วันนี้คำพูดของเ้าเปรียบได้กับเป็การด่าว่าและซ้ำเติมเหล่าคนที่เกิดจากชายารองไปหมดแล้ว ซึ่งรวมถึงรัชทายาทองค์ปัจจุบันด้วยนะ เพราะพระมารดาของพระองค์ก็คือหวงกุ้ยเฟย”
เมื่อพูดจบ นางก็สั่งคนรถให้กลับจวนอ๋องทันที นางรู้ เื่ในวันนี้เพียงไม่นานก็จะร่ำลือไปทั่วเมืองหลวง เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะในวังหรือนอกวังก็ล้วนต้องเกิดเกลียวคลื่นขนานใหญ่แน่
หวานหว่านมองมารดา ยกนิ้วโป้งให้ นางพูด “ขิงต้องแก่ถึงจะเผ็ด เสด็จพ่อเคยตรัสว่า เสด็จแม่เ้าเล่ห์ยิ่งราวกับนางจิ้งจอก ตอนนี้ข้าได้เห็นแล้ว ดูท่าคำกล่าวของเสด็จพ่อจะเป็เื่จริง”
จ้าวลี่เจียมองไปยังอวิ๋นซี “ตำแหน่งจวิ้นจู่ของจางเหวินเหมยผู้นั้นคงไม่มีอีกแล้วล่ะ” นางรู้ดีว่า ในอดีตไทเฮาเองก็เคยเป็ชายารอง กระทั่งตอนหลังที่ชายาเอกสิ้น คนถึงได้เลื่อนตำแหน่ง
“ช่างเป็คนที่ไร้สมองอย่างแท้จริง” อวิ๋นซานยิ้มเ็า ทว่าเมื่อพูดจบก็เพิ่งค้นพบว่า ยามนี้บุตรสาวกำลังมองเขาอยู่ ชั่วขณะนั้นเขาก็คิดขึ้นได้ว่า ฐานะที่แท้จริงของตนได้ถูกเปิดโปงแล้ว วันหน้าหากยังคิดอยากจะหลบเลี่ยงเจิ้นหนานอ๋องก็คงเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้อีกแล้ว อีกประการ ท่าทางของลูกสาวตนในยามนี้ก็ชัดเจนว่า อยากจะซักถามตนเต็มที
ในใจเขากำลังขบคิดว่าควรจะพูดเช่นไรถึงจะเหมาะสม แต่ยังคิดไม่ทันออก อวิ๋นซีก็เป็ฝ่ายถามขึ้นแล้ว “ท่านพ่อ ท่านเป็ลูกชายของเจิ้นหนานอ๋องจริงๆ หรือเ้าคะ? ”
อวิ๋นซานที่ได้ยินแล้ว ทำทีเป็กระแอมไอสองทีอย่างไม่เป็ธรรมชาติ จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างปลงๆ “มารดาข้าเป็ลูกสาวรองแม่ทัพในสังกัดของเจิ้นหนานอ๋องผู้เฒ่า นางเป็เหมยเขียวม้าไม้ไผ่กับเจิ้นหนานอ๋องคนปัจจุบัน เพียงแต่พระชายาผู้เฒ่าในตอนนั้นไม่เห็นมารดาข้าอยู่ในสายตา จึงใช้ความตายมาบีบบังคับให้เจิ้นหนานอ๋องแต่งกับหลานสาวฝั่งมารดาของนาง สุดท้ายมารดาข้าจึงได้เป็แค่ชายารอง ทว่าในปีหนึ่งตอนที่ข้าอายุได้สิบขวบ แดนใต้วุ่นวายไปหมด เสด็จพ่อนำกองทัพออกไปปราบปรามขบถด้านนอก ขณะที่มารดาข้าก็เกิดล้มป่วย แต่พระชายาผู้นั้นไม่ยอมแม้แต่จะเชิญให้หมอมารักษานาง ด้วยเหตุนี้ ท่านย่าของเ้าจึงได้ป่วยตาย และข้าก็ไปจากบ้านนั้นเพราะความโกรธ”
เมื่อต้องคิดถึงเื่ราวเก่าก่อนที่ผ่านไปนาน อวิ๋นซานก็สูดลมหายใจเข้าลึก เขามองไปยังอวิ๋นซี พูดออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้ “บางทีอาจเป็ท่านย่าเ้าที่อยู่บน์สำแดงความศักดิ์สิทธิ์ เพราะหลังจากที่ข้าไปจากจวนอ๋องแล้วก็บังเอิญได้รู้จักกับนักบวชชราที่รู้วิชาแพทย์ ข้าจึงได้ติดตามเรียนวิชาแพทย์อยู่ข้างกายเขา ร่ำเรียนอยู่หลายปี จนท้ายที่สุดนักบวชชราก็มรณภาพไป จากนั้นพ่อก็เริ่มออกท่องเที่ยวไปทั่วหล้าเพียงลำพัง นับแต่นั้นเป็ต้นมา ไม่เคยมีความคิดที่จะกลับไปหาท่านปู่ของเ้าอีกเลย”