ภายหลังอวี้ฉู่เฉิงออกมาจากเรือนของหลินเสี่ยวฉี ได้ยินว่าอวี้ฉู่ซวนมีรับสั่งให้เขาไปหาที่ตำหนัก
แม้จะดึกป่านนี้แล้ว ทว่าอวี้ฉู่เฉิงก็ต้องกัดฟันด้วยความโกรธเคือง รีบควบม้าไปยังตำหนักของอวี้ฉู่ซวน
ั้แ่ที่จางเหยียนนำทัพทหารกว่าแสนนายกลับมายังเมืองหลวง อวี้ฉู่ซวนยิ่งใจร้อนมากขึ้น หลายครั้งมักมีรับสั่งเรียกตัวไปเพื่อทำการปรึกษาหารือ
ถึงอวี้ฉู่เฉิงจะสนใจในเื่นี้ แต่ก็ไม่เคยเข้าไปร่วมหารือเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้น เหตุใดอวี้ฉู่ซวนถึงได้ให้โอกาสครั้งนี้กับตนเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คงเป็เพียงเสี้ยวเล็กๆ ในความคิดอันชั่วร้ายของอวี้ฉู่ซวน สำหรับเขา การถกเถียงเหล่านี้ หากไม่ระวังอาจทำให้อีกฝ่ายหัวเสียได้
ถึงอย่างนั้นสำหรับอวี้ฉู่ซวน เขาจะปล่อยให้อวี้ฉู่เฉิงเป็อิสระไปได้อย่างไร
เมื่อเหยียบลงบนเรือลำเดียวกันแล้ว หากคิดกลับลำในภายภาคหน้าย่อมเป็ไปไม่ได้แน่นอนที่จะปล่อยให้อวี้ฉู่เฉิงเอาตัวรอดไปคนเดียว นอกจากนี้ องค์ชายสี่ที่ถูกทุบตีโดนก่นด่านั้น ก็รู้เื่ของพวกเขาไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงสมควรดึงอีกฝ่ายเข้ามาในแผนการจะเป็การดีที่สุด
ดังนั้น ที่ตำหนักขององค์ชายสอง ณ ตอนนี้จึงมีเพียงอวี้ฉู่เฉิง
“เ้าคิดว่าอย่างไร” บนฝ่ามือของอวี้ฉู่ซวนถือจอกสุราอยู่ ดูเหมือนเวลานี้เขากำลังเมามายไม่น้อย
สีหน้าของอวี้ฉู่เฉิงค่อยๆ เปลี่ยนไป
อวี้ฉู่ซวนพยายามใช้เขาเป็เครื่องมือกำจัดอวี้ฉู่หลิงอย่างนั้นหรือ?
“หากเ้าคิดว่าการวางยาพิษเป็วิธีที่ต่ำเกินไป เช่นนั้นเ้าไปคิดวิธีอื่นมา เสด็จแม่ของข้าเลี้ยงดูเ้ามาตั้งหลายปี เ้าควรจะต้องตอบแทนบุญคุณเสียบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าก็ชัดเจน คนหนึ่งคืออวี้ฉู่หลิง อีกคนคืออวี้ฉู่จาว เท่ากับข้าให้เ้าได้รับมือกับศัตรูที่แสนจะง่ายดาย เพราะอย่างไรตอนนี้ อวี้ฉู่หลิงก็อยู่ในจุดเสี่ยงเพราะมันโดนหักปีกไปแล้ว ข้าให้เวลาเ้าครึ่งเดือน เอาชีวิตของอวี้ฉู่หลิงมาให้ข้าให้จงได้”
หลังจากอวี้ฉู่จาวสร้างความดีความชอบในการรบจนได้รับแต่งตั้งให้เป็เทพเ้าแห่งา เวลาต่อมาก็กลายมาเป็ท่านแม่ทัพใหญ่ อำนาจของอวี้ฉู่ซวนจึงค่อยๆ ชะลอตัวลง เพราะฮ่องเต้ฉงเต๋อยิ่งแสดงท่าทีให้ความสำคัญกับอวี้ฉู่จาวมากขึ้น
ในตอนแรกก็ยังมีอวี้ฉู่หลิงที่มาพร้อมการสนับสนุนของเหล่าอัครเสนาบดีฝ่ายขวา ซึ่งสำหรับทางด้านเขาใน่เวลานั้นช่างอ่อนแอและโดดเดี่ยว เพราะอย่างนั้น การจะเด็ดปีกอวี้ฉู่หลิงในตอนนั้นจึงไม่ใช่เื่ง่ายเลย
ทว่าเวลานี้ ฮ่องเต้ฉงเต๋อกลับมีจางเหยียนผู้นั้นโผล่มาเข้าร่วมอีก
นี่ราวกับอวี้ฉู่จาวกับฮ่องเต้ฉงเต๋อกำลังเติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างไรอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ใน่ที่เขาพยายามที่จะฟ้องร้องอัครเสนาบดีฝ่ายขวาฉินฉือผู้นั้น กลับถูกฮ่องเต้ฉงเต๋อเคลือบแคลงสงสัย
ท้ายที่สุด อวี้ฉู่ซวนและเหล่าที่ปรึกษาจึงเริ่มทำการวิเคราะห์สถานการณ์ในราชสำนัก พวกเขาทั้งหมดได้ทำการเสนอให้หยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว ไม่ควรลงมือในขณะนี้
เฝ้ารอจนกว่าจะสบโอกาสที่จะได้แสดงให้ฮ่องเต้ฉงเต๋อได้เห็นว่าตนเองทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม วางแผนให้รัดกุมขึ้นคงจะเป็การดีกว่า
ทว่า อวี้ฉู่ซวนกลับไม่สามารถทนนั่งเฉยได้อีกต่อไป เขาไม่อาจเขย่าอวี้ฉู่จาวให้สั่นคลอนได้จึงยากที่จะสงบจิตสงบใจของตนเองนัก
เขาจะทนนั่งอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร หากเขาไม่ทำอะไรเลยก็เท่ากับยอมแพ้ทุกอย่างมิใช่หรือ
ดังนั้น เมื่อลองมาคิดไตร่ตรองให้ดี หากตนเองไม่เป็คนลงมือก็ยังมีอวี้ฉู่เฉิงอยู่มิใช่หรือ ถึงจะทำอะไรอวี้ฉู่จาวไม่ได้ แต่ก็ยังมีอวี้ฉู่หลิงอยู่อีกหนึ่ง เช่นนั้นก็แค่ทำให้อีกฝ่ายหายไปตลอดกาล
“ข้าเชื่อว่าเ้าทำได้ มิเช่นนั้นข้าคงเสียแรงเปล่าที่เลี้ยงดูเ้ามาหลายปี!” ในขณะที่เอ่ยออกมา อวี้ฉู่ซวนหยิบแซ่ขี่ม้าออกมาจากด้านหลัง ซึ่งมันเป็แซ่ที่เขามักใช้ระบายอารมณ์โกรธต่ออวี้ฉู่เฉิงเป็ประจำ
อวี้ฉู่เฉิงเงยหน้ามองเขา สีหน้าไม่แสดงซึ่งความรู้สึกใด ราวกับทุกครั้งที่ถูกทุบตี เขาก็ต้องอดกลั้นความเ็ปเอาไว้
ณ ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าความอดกลั้นที่แสดงออกทางสายตากำลังอยู่ในอารมณ์เช่นไรหรอก
ตัวเขาย่อมไม่มีทางเลือก หากตนเองไม่ถูกอวี้ฉู่ซวนใช้ประโยชน์ก็เท่ากับเป็คนไร้ประโยชน์อยู่แล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นอวี้ฉู่เฉิงจึงรับปาก
.........
อีกด้านหนึ่ง การศึกษาด้านการแพทย์เบื้องต้นของหลินหร่านในตอนนี้นับว่าก้าวมาถึงครึ่งทางแล้ว
เวลาคล้อยมาจนเย็นย่ำ อวี้ฉู่จาวได้พาหยางซานมารับหลินหร่านที่โรงยาของซูชิงเฟิงเพื่อกลับตำหนัก
“ท่านอ๋อง” เมื่อหลินหร่านหันมาพบอวี้ฉู่จาว เขาวางตำราในมือลงทันทีก่อนรีบลุกขึ้น
ทุกวันนี้ หากมีวันใดที่หลินหร่านไม่ได้พบท่านอ๋อง หัวใจก็จะคะนึงหาอยู่เสมอ
พอถึงเวลาอวี้ฉู่จาวมารับ นี่ล้วนแต่เป็่เวลาที่หลินหร่านมีความสุขยิ่งนัก
หลังจากได้ยินเสียงของหลินหร่าน ซูชิงเฟิงก็หันไปมอง เขาจึงได้พบกับอวี้ฉู่จาวและหยางซาน
อวี้ฉู่จาวก้าวเดินไปอยู่ข้างกายหลินหร่าน แต่ยังไม่ได้พาเขากลับ หากแต่ดึงให้อีกคนนั่งลงโดยมีหยางซานมายืนอยู่ตรงหน้า
ซูชิงเฟิงเห็นสถานการณ์เป็เช่นนี้จึงรับรู้ได้โดยพลัน ต้องมีการรายงานถึงความคืบหน้าของเื่เขตผิงอย่างแน่นอน
เขาวางของในมือแล้วนั่งลงเช่นกัน
“เื่ของเขตผิง ค้นเจออะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ซูชิงเฟิงเอ่ยถามทันทีที่นั่งลง
อวี้ฉู่จาวทำเพียงพยักหน้าเป็การตอบ ก่อนจะมอบหน้าที่ให้หยางซานเป็ผู้อธิบาย แล้วตนเองหันมาให้ความสนใจหลินหร่าน
“เหนื่อยหรือไม่” อวี้ฉู่จาวถามหลินหร่านด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“ไม่เหนื่อยพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านส่ายหน้าก่อนเอ่ยต่อ “วันนี้ข้าเรียนหลายอย่างมากเลย วันนี้ท่านอาจารย์สอนวิธีฝังเข็มให้ แถมยังชมอีกด้วยว่าข้าเก่งเรียนรู้ไว”
หลินหร่านดูมีความสุข เขาบอกถึงความสามารถของตนเองในวันนี้ให้อวี้ฉู่จาวฟัง
“อวิ๋นซีเก่งเหลือเกิน”
หลินหร่านมองอวี้ฉู่จาวพลางหัวเราะ “ฮี่ๆ ”
รอยยิ้มที่ทำให้ดวงตากลายเป็พระจันทร์เสี้ยวสองดวงช่างสวยงามยิ่งนัก
อวี้ฉู่จาวลูบใบหน้าของหลินหร่าน แล้วหลินหร่านก็บอกต่อ “ท่านอาจารย์บอกว่าปลายเดือนนี้จะให้ข้าทำการทดสอบ หากว่าข้าทำได้ดีก็จะเริ่มสอนเกี่ยวกับเื่ยาให้”
“ข้าเชื่อว่าอวิ๋นซีต้องทำได้ดีแน่นอน”
ในขณะเดียวกัน ซูชิงเฟิงกับหยางซานที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากบรรยากาศอันแสนหวานของอวี้ฉู่จาวและหลินหร่านแม้แต่น้อย เพราะทั้งคู่กำลังพูดคุยเื่ของเขตผิงอย่างจริงจัง
ซูชิงเฟิงเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพหยางได้เบาะแสอะไรบ้างขอรับ”
หยางซานยกมือประสานพลางตอบกลับ “ตอนนี้พบเบาะแสว่าเ้าเมืองถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว เวลานี้เป็เพียงเ้าของที่ดินธรรมดา ซึ่งเื่เกี่ยวกับโรคระบาดในเขตผิงนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สาเหตุ ใน่แรก เขาได้ทำการรายงานเื่โรคระบาดไปยังนายอำเภอจั๋วโจว แต่เื่นี้กลับไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ ก่อนที่มันจะลุกลามไปจนถึงการปิดเมือง ั้แ่นั้น เขาเริ่มหวาดกลัวมากจึงได้พาเหล่าข้าราชการหลบหนี และการปิดเมืองก็เป็คำสั่งสุดท้ายที่เขาได้รับ”
“แล้วนายอำเภอเล่าขอรับ ไหนจะคนเ่าั้ที่ทางราชสำนักส่งไปตรวจสอบ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเ่าั้ขอรับ?”
“ทางฝั่งนายอำเภอยิ่งเข้มงวดเข้าไปใหญ่ ข้าไม่พบเบาะแสอะไรเลย แต่ข้าได้พยายามค้นหาบันทึกเกี่ยวกับภูมิประเทศของจั๋วโจว ในบันทึกพบว่าเขตผิงถูกบันทึกไว้ว่าเป็เมืองที่ถูกทิ้งร้าง เหลือแต่เพียงซากไปแล้ว”
“เป็เช่นนั้นได้อย่างไร?” ซูชิงเฟิงเริ่มคิดไม่ตก
อวี้ฉู่จาวจึงเอ่ยปาก “เมืองร้างไปแล้ว ทำให้ตรวจสอบอะไรไม่ได้ ราชสำนักไม่ได้รับข่าวสารใดเกี่ยวกับเื่นี้ นั่นเป็เพราะพวกเขาลบทุกอย่างทิ้งไปหมด กระทั่งมีขุนนางไปตรวจสอบที่จั๋วโจว จนเวลาต่อมาทั้งเมืองกลายเป็เมืองร้าง ส่งผลให้ไม่มีใครให้คำตอบเื่นี้ได้ และเื่นี้ก็จะเท่ากับไม่มีใครรับรู้ไปตลอดกาล”
“เช่นนั้น...ก็ตรวจสอบไม่ได้แล้วหรือ”
“มิเป็เช่นนั้นหรอก หากเื่นี้มีอะไรถูกปิดบังเอาไว้ พวกเขาต้องลงมือทำอะไรอีกเป็แน่” หยางซานกล่าว
ซูชิงเฟิงพยักหน้ารับ เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ย “ข้าคิดว่าบางที ท่านแม่ทัพหยางอาจต้องเริ่มจากการตรวจสอบโรคระบาด ใน่นี้ข้าลองหาข้อมูลเื่นี้แล้ว พบว่ามันมีความพิเศษยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็อาการหรือการติดเชื้อ เป็สิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อนใน่ร้อยปีนี้”
“มีอาการอย่างไร?”
“อาการผิวเผินคือเหมือนกับติดเชื้อในปอด มีไข้สูง เหมือนไข้หวัดทั่วไป แต่อาการที่ต่างจากไข้หวัดคือ ผู้ป่วยจะมีอาการมือเท้าเย็น ิัเน่าเปื่อยอย่างรุนแรง อีกทั้งิัที่เน่าเปื่อยยังเป็สาเหตุของการติดต่อกันอีกด้วย” ซูชิงเฟิงบอก
หลังจากอวี้ฉู่จาวกับหยางซานได้ยิน ทั้งสองคนรู้ได้ทันทีว่านี่คือโรคร้ายที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
ประวัติศาสตร์ต้าอวี้หลายร้อยปีเกิดโรคระบาดและโรคอื่นๆ ขึ้นหลายระลอก แต่ก็สามารถเทียบยามารักษาได้
ทว่าในครั้งนี้ แม้แต่ซูชิงเฟิงยังรู้สึกว่าโรคนี้ยากที่จะรับมือ
--------------------------------------------
