หลินชิงเวยเอ่ยอีกว่า “เสด็จอายังไม่ได้แต่งฮูหยินนี่นา ข้าดูหน้าตาท่านไม่ได้ขี้ริ้วหรือไม่ก็อาจจะเป็คนไม่ดี ไม่ก็อาจจะมีปัญหาเบี่ยงเบนทางเพศ หรือไม่อีกทีก็ปักหลักอยู่ในตำหนักในแห่งนี้ยังคิดจะเฟ้นหาผู้ที่โดดเด่นเหนือใครในเมื่อหอคอยที่อยู่ใกล้น้ำย่อมได้ยลพระจันทร์[1]ก่อน...”สีหน้าของเซียวเยี่ยนบูดบึ้งอย่างที่สุดไม่น่าดูเสียจนหลินชิงเวยคิดว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับนางแล้วดังนั้นนางพูดไปทางหนึ่งอีกทางหนึ่งก็ก้าวถอยหลังแต่จนใจที่เซียวเยี่ยนก้าวเข้ามาบีบคั้นไม่ปล่อย กระทั่งคนทั้งสองถอยมาจนสุดระเบียงทางเดินหลินชิงเวยหันกายคิดจะวิ่งหนี ไหนเลยจะคิดว่าถูกเซียวเยี่ยนคว้าข้อมือเอาไว้แ่าสะบัดอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
ประจวบเหมาะกับมีนางกำนัลกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ หลินชิงเวยจึงแนบเรือนร่างของตนไปกับร่างเซียวเยี่ยนเล็กน้อยและกล่าวว่า“เสด็จอาของข้า มีคนมาแล้วหรือท่านอยากให้พวกเขาพบเห็นท่านปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้?”
ประสาทหูของเซียวเยี่ยนนั้นดียิ่งแน่นอนว่าเขาต้องได้ยินเช่นกันว่ามีคนกำลังมุ่งหน้ามา เพียงแต่ก่อนหน้าที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้เห็นพวกเขาทั้งสองเขาหันกายพร้อมกับลากตัวหลินชิงเวยเลี้ยวเข้าไปชิดมุมระเบียงทางเดิน
ร่างของหลินชิงเวยกระแทกกับกำแพง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าจึงพลันสั่นคลอนต่อมาร่างกายใหญ่โตของเซียวเยี่ยนก็ทาบลงมาทับอยู่บนร่างของนางจนแทบจะหายใจไม่ออก
เ้าหนุ่มคนนี้ ช่างมีพลังแข็งแกร่งเกินไป
เดิมทีหลินชิงเวยคิดว่าด้านหลังตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นเป็เพียงพื้นที่ว่างเปล่าผืนหนึ่งคิดไม่ถึงว่าทัศนียภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าจะทำให้นางถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดที่นี่ยังมีสวนเพาะกล้าไม้อยู่อีกแห่งหนึ่ง
ภายในสวนเพาะกล้าไม้ยังได้เพาะต้นไม้ ดอกไม้ และพืชนานาชนิดอีกมากมายดอกไม้่ต้นวสันตฤดูกำลังประชันขันแข่งกันบานสะพรั่ง เป็ภาพที่สวยงามยิ่งนัก
ร่างของหลินชิงเวยเพิ่งจะขยับยุกยิก เซียวเยี่ยนพลันยื่นแขนยาวๆทั้งคู่ออกมา กักร่างของนางเอาไว้ทั้งสองด้าน
หลินชิงเวยเอียงหน้าไปมองแขนของเขา ฝ่ามือทั้งกว้างและหนานั้นห่างจากกกหูของนางไม่มากผิวของนางราวกับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากฝ่ามือของเขาดวงตาของนางยังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ตื่นตระหนกไม่ลนลานทั้งยังเต็มไปด้วยเสน่ห์แพรวพราวที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของนางให้ความรู้สึกโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เสด็จอา ท่านกำลังต้อนข้าให้จนมุมหรือเพคะ?”
นางจะมีท่าทีจริงจังได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในฐานะท่านหมอเท่านั้นใช่หรือไม่?
เซียวเยี่ยนกล่าว “เปิ่นหวางจะพูดอีกครั้งต่อไปเ้าอย่าได้ไปก่อเื่กับคนอื่นๆ ในตำหนักในจะดีที่สุดหากเ้าคิดจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบแล้วละก็”
จ้าวเฟยเป็คนของไทเฮา ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งในเื่นี้ดี เพียงแต่ต่อให้หลินชิงเวยไม่ไปหาเื่พวกนางพวกนางกลับมารนหาที่ถึงที่แล้วนี่จะโทษใครได้เล่า?
รอยยิ้มบนใบหน้าหลินชิงเวยมิได้ลดลงแม้แต่น้อยทว่ากลับปนเปไปด้วยความรู้สึกเย็นะเืในใจ “เื่นี้เกี่ยวข้องกับท่านด้วยหรือ?ดูท่าแล้วเสด็จดูแลและเอาใจใส่ทุกอย่างจริงๆ”
เซียวเยี่ยนหายใจเข้าลึกๆ
หลินชิงเวยเอียงหน้า ยื่นปลายนิ้วของตนออกมาเคาะลงบนหน้าอกของเขาเบาๆเอ่ยว่า “ท่านใส่ใจข้าใช่หรือไม่ หากท่านยอมรับว่าท่านใส่ใจข้าเื่ก่อนหน้านี้ข้าจะไม่ติดใจเอาความกับเสด็จอา ข้าจะนำความเห็นของเสด็จอาไปไตร่ตรองดู”
เซียวเยี่ยนประสานสายตากับหลินชิงเวยชั่วอึดใจหนึ่ง ในแววตาของเขานิ่งลึกราวกับกำลังถูกนางยั่วยวนครั้งแล้วครั้งเล่าทว่าในที่สุดเขายังคงดึงแขนกลับมาสะบัดชายเสื้อ หันกายเดินจากไปและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า“ช่างเถิด สุดแล้วแต่เ้า เปิ่นหวางไม่มีเวลามาเล่นกับเ้า”
ศีรษะของหลินชิงเวยแนบติดไปกับกำแพงคางของนางเชิดขึ้นเล็กน้อยนางมองเงาร่างของเซียวเยี่ยนที่เดินห่างออกไปด้วยหางตา แววตาเจิดจ้าในดวงตาเมื่อสักครู่นั้นค่อยๆเลือนหายไปเหลือเพียงความสงบนิ่ง
หลังจากเซียวเยี่ยนเดินจากไปแล้ว หลินชิงเวยเดินเล่นรอบๆ สวนเพาะกล้าไม้มีต้นพีชหลายต้นกำลังแทงดอกออกมา ราวกับกำลังรอแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูวสันต์ที่กำลังจะมาถึงจากนั้นจึงจะพร้อมใจกันบานสะพรั่ง ใต้ต้นไม้มีดอกกล้วยไม้อยู่เล็กน้อย และยังมีต้นหญ้าและดอกไม้ที่นางไม่รู้จักชื่ออยู่บ้าง
ยามอู่ ตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นได้จัดกระยาหารสำหรับมื้อกลางวันขึ้นโต๊ะเสวยทว่าปริมาณของอาหารมิใช่สำหรับเขาเพียงคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด
ในที่สุดหลินชิงเวยก็มีโอกาสได้ลิ้มลองพระกระยาหารสำหรับฮ่องเต้โดยเฉพาะนางนั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะเสวย มองถ้วยกระเบื้องสีเหลืองโปร่งลวดลายัอันวิจิตรบรรจงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าด้านข้างวางตะเกียบหยกขาวเนื้อดีคู่หนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะเสวยจัดวางอย่างสวยงามไร้ที่ติหลินชิงเวยมองแล้วคิดว่าเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ไม่รู้จะเริ่มต้นกินอย่างไรดี
พระกระยาหารจากห้องเครื่องสำหรับฮ่องเต้โดยเฉพาะย่อมแตกต่างจากอาหารของตำหนักอื่นๆ
ทว่าเซียวจิ่นรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศบนโต๊ะเสวยแปลกไปเล็กน้อย
เขามองเซียวเยี่ยนแล้วหันไปมองหลินชิงเวย คนทั้งสองนั่งห่างกันไกลโยชน์โต๊ะเสวยเป็ทรงกลมพวกเขานั่งตรงข้ามกันโดยมีโต๊ะเสวยคั่นอยู่ตรงกลาง
คนทั้งสองต่างไม่สนใจซึ่งกันและกัน เซียวเยี่ยนมีท่าทีเ็าหลินชิงเวยกลับกระตือรือร้นอย่างออกนอกหน้า เพียงแต่ความกระตือรือร้นของนางมีต่อเซียวจิ่นเท่านั้นนางสนทนากับเซียวจิ่นทว่าไม่พูดจากับเซียวเยี่ยนแม้แต่ประโยคเดียว
ในที่สุดปัญหาก็เกิดขึ้น หลินชิงเวยยื่นตะเกียบออกไปหมายจะกินอาหารจานที่อยู่ตรงกลางเซียวเยี่ยนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พลันยื่นตะเกียบไปยังอาหารจานเดียวกันตะเกียบสองคู่คีบผักชิ้นเดียวกันอย่างบังเอิญ
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าด้วยนิสัยของเขาจะต้องดึงตะเกียบกลับไปโดยไม่แย่งชิงกับนางแน่นอน อย่างนี้ก็ไม่สนุกน่ะสิ
เพราะใบหน้าเ็าของเขาส่งผลกระทบต่ออรรถรสในการรับประทานอาหารจริงๆ!
เซียวเยี่ยนคิดจะดึงตะเกียบของตนกลับมาเช่นกันใครเลยคาดคิดว่าหลินชิงเวยกลับใช้ตะเกียบของนางกดตะเกียบของเขา แล้วเลิกคิ้วท้าทายพร้อมกับใช้ตะเกียบของนางเคาะลงบนตะเกียบของเขาปัดตะเกียบของเขาออกห่างจากอาหารจานนั้นจนสำเร็จแล้วจึงคีบผักชิ้นนั้นส่งเข้าปากอย่างไม่เร่งรีบจากนั้นเคี้ยวอาหารไปพร้อมกับมองเขาอย่างไร้พิษสง
เซียวเยี่ยนหน้าตึงทันที เหตุใดต้องให้นางมาร่วมโต๊ะเสวยด้วยเห็นหน้าแล้วไม่มีความอยากอาหารจริงๆ!
เซียวจิ่นมองดูสีหน้าเซียวเยี่ยนผู้ไม่เคยเสียเปรียบผู้ใดมาก่อนอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ นี่ถือเป็สิ่งแปลกใหม่ยิ่งนักดูเหมือนนอกจากหลินชิงเวยจะไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เขาโกรธขึ้งเช่นนี้มาก่อนกระมัง
เซียวจิ่นหันไปมองหลินชิงเวยอีกครั้ง เขาพบว่าหลินชิงเวยกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยปากเล็กๆนั้นมันเยิ้มสีหน้าท่าทางนั้นดื่มด่ำกับรสชาติของอาหารโดยไม่เห็นเซียวเยี่ยนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อยรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาจึงกดลึกขึ้นอีก
หลินชิงเวยกล่าว “อืม อาหารจานนี้อร่อยเหลือเกินเพคะ”
เซียวจิ่นกล่าว “หลินเจาอี๋ไม่ต้องเกรงใจ หากชอบก็กินมากหน่อย”
หลินชิงเวยเลียริมฝีปากของตน “เห็นแก่ข้าวมื้อนี้ที่ฝ่าาทรงเมตตาหม่อมฉันคิดว่ามิตรภาพของพวกเราได้พัฒนาขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งแล้วเพคะต่อไปฝ่าาเรียกชื่อของหม่อมฉันตรงๆ ก็พอเพคะ เจาอี๋ เจาอี๋ ฟังดูยุ่งยากเหลือเกินเพคะ”
เซียวจิ่นกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ได้ เช่นนั้นต่อไปเจิ้นเรียกเ้าว่าชิงเวย”
เซียวเยี่ยนวางตะเกียบหยกในมือลงยื่นมือไปหยิบช้อนตักน้ำแกงมาถ้วยหนึ่ง แล้วส่งมาถึงข้างมือของเซียวจิ่นเซียวจิ่นลุกขึ้นยืนไม่ได้ แขนของเขายื่นมาถึงอาหารไม่กี่จานที่จัดวางอยู่ตรงหน้าเท่านั้นอาหารจานอื่นเขาล้วนตักไม่ถึง
เซียวจิ่นกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท
หลินชิงเวยเห็นแล้วถามขึ้นว่า “ฝ่าาเสวยอาหารทางด้านนั้นไม่ถึงหรือเพคะจะให้หม่อมฉันคีบเนื้อปลาให้ฝ่าาหรือไม่เพคะ?”
“ไม่ต้องหรอก” เซียวจิ่นกล่าว
เขาเพิ่งจะกล่าวจบ หลินชิงเวยก็ใช้ตะเกียบของตนเองคีบปลาชิ้นหนึ่งวางลงในถ้วยของเขาเซียวจิ่นก้มหน้าลงมองอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“พระองค์ไม่โปรดเสวยเนื้อปลา?”
“ไม่ใช่”
“รังเกียจว่าก้างปลามาก?”
“...”
หลินชิงเวยจึงคีบเนื้อปลาชิ้นนั้นกลับมาใช้นิ้วมือขาวๆ ของตนเลาะก้างปลาออกมาทางหนึ่งกล่าวว่า “สำหรับพลานามัยของฝ่าาแล้ว การเสวยเนื้อปลามีประโยชน์ไม่มีโทษหม่อมฉันเป็หมอส่วนตัวของฝ่าา ฝ่าาควรจะเชื่อหม่อมฉัน ได้แล้วเพคะก้างปลาคัดออกหมดแล้วเพคะ”
นางนำเนื้อปลาที่คัดก้างปลาออกแล้ววางกลับไปในถ้วยของเขาเซียวจิ่นตื่นตะลึงเล็กน้อย
[1]หมายถึง อยู่ใกล้ได้ก่อน มือใครยาวสาวได้สาวเอา