ปรารถนานั่งมองสวนเกษตรอินทรีย์ของเธอที่ปั้นมากับมือ หลังจากเรียนจบด้านเกษตรพืชสวนมา ความหวังเดียวของพ่อกับแม่คือเธอได้กลับมาพลิกฟื้นแผ่นดินของท่านที่เป็มรดกตกทอดไม่มากนักแค่ 5 ไร่ ซึ่งแต่เดิมเป็สวนพืชผักผลไม้ที่พ่อกับแม่ทำแบบพื้นๆ บ้านๆ ไม่ได้มีความรู้มากมายที่จะไปทำให้มันงอกเงยเป็ผลิตผลในเชิงพาณิชย์ สามปีหลังจากเธอกลับมาพลิกเกษตรบ้านๆ นี้ให้มันเติบโตกลายเป็เกษตรท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ จนผู้ใหญ่ ‘สมเมือง’ แห่งบ้านทรายมูลได้ส่งเสริมสวนเกษตร ‘ปราชญ์-รจนา’ ของเธอจนมีชื่อเสียงในระดับจังหวัด ซึ่งผู้คนที่ผ่านมาแถวจันจว้า ต้องไม่พลาดที่จะแวะพักรีสอร์ตแห่งนี้
“พื้นที่แค่ 5 ไร่ สามารถแปลงโฉมได้ดีขนาดนี้ไม่ธรรมดาเลย...ลูก” ลุงผู้ใหญ่สมเมือง เดินเข้ามาลูบหัวปรารถนาเหมือนเมื่อครั้งเธอยังเป็สาวน้อย
“ก็ได้ลุงของหนูช่วยนี่คะ...ถึงออกมาเป็วิมานดิน” ปรารถนาพูดยิ้มๆ ทั้งยังรั้งมือของลุงที่กำลังลูบหัวเธอมาจูบเบาๆ เธอรักลุงผู้ใหญ่คนนี้ประดุจพ่อคนหนึ่ง ท่านเป็ญาติลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ของเธอ เป็ห่วงเป็ใยครอบครัวปรารถนาั้แ่เธอยังเล็กๆ สมัยนั้นบ้านเธอตรงบริเวณนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ต้องจุดตะเกียงน้ำมัน พ่อแม่ทำนาเป็หลักและทำไร่หลังฤดูเก็บเกี่ยว ได้ผลผลิตบ้างไม่ได้ผลบ้าง ลุงผู้ใหญ่คนนี้ที่ผลักดันให้เธอไปร่ำเรียนไกลถึงกรุงเทพฯ หาทุนส่งให้เธอได้เรียนจนจบปริญญาตรีด้านเกษตรและกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของเธอเพื่อให้เจริญก้าวหน้า
เธอมีญาติสาวห่างๆ หลานลุงผู้ใหญ่ท่านนี้ที่ไม่เคยมองเธอเป็มิตรเลยสักครั้ง ปรารถนาไม่อยากคิดมากว่า ‘วราลี’ พยายามแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับเธอ วราลีเรียนจบด้านเทคนิคการแพทย์น่าจะดูดีกว่าปรารถนาเสียด้วยซ้ำไป
“นี่ ปรา...เราได้งานที่โรงพยาบาลเชียงราย จะเริ่มงานต้นเดือนหน้าล่ะ” เสียงวราลีะโอวดปรารถนาก่อนจะเดินเข้ามาถึงชานด้านล่างของตัวรีสอร์ต
“โห...ดีใจด้วยนะ แล้วจะไปเช่าบ้านพักอยู่ในเมืองนะสิ” ปรารถนาเข้าไปจับมือวราลีอย่างยินดี
“ใช่...ฉันจะไปเช่าบ้านอยู่กับพี่สินธุด้วยกัน” วราลีพูดจ้องตาปรารถนาอย่างท้าทาย เธอพยายามชิงดีชิงเด่นทุกด้านแม้กระทั่งคนที่ชอบพอกันกับเธอมาก่อน
“ประหยัดดีเนอะ...” ปรารถนาเสียงอ่อยๆ เธอรู้ดีว่าญาติห่างๆ ของเธอคนนี้มีความ
พยายามสูงมาก แม้ชายหนุ่มไม่เคยคิดอะไรเกินเลยจากคำว่า ‘เพื่อน’ สำหรับเธอ
คนนี้ก็ตาม แต่วราลีคิดอยู่เสมอว่า ‘ตราบใดที่เธอไม่ได้ ปรารถนาก็ต้องไม่ได้เช่นกัน’
“เรามาบอกแค่นี้ล่ะ ปรา... ถ้าเข้าเมืองไปแวะหาเรากับพี่สินธุบ้างล่ะ” แววตากลมโตของวราลีจ้องตาของปรารถนาอย่างยิ้มเยาะ และมุมปากของเธอวาดออกราวกับว่ามีชัยเหนือกว่า
-------------------
ชีวิตคนเราไม่มีอะไรฝืนฟ้าพรหมลิขิตให้พลิกผัน แม้จะฝืนอย่างไรแต่จนแล้วจนรอดก็มิอาจบังคับชะตาให้เป็ดั่งใจเราวาดไว้ได้ ปรารถนามองภาพพิมพ์ที่ใส่กรอบติดอยู่บนผนังตรงชานด้านล่างของรีสอร์ต
“สินธุ เอากรอบรูปนี้มาฝากตอนที่ ปรา...ลงไปกรุงเทพฯ น่ะ” รจนาบอกลูกสาวเมื่อ
เธอกลับจากการประชุมเกษตรอินทรีย์ ปรารถนาเดินตรงไปที่กรอบรูปเอามือลูบกระจกตัดแสงที่ไร้เงาสะท้อน
“งดงามมากเลย...แม่” ปรารถนาหันหลังมองหน้าแม่ด้วยความสงสัย รูปนี้ต้องเป็ภาพวาดของศิลปินต่างประเทศแน่ๆ
“แม่คะ...สินธุไปเอามาจากไหน เขาบอกไหมคะ” รจนาส่ายหน้าว่า...เขาไม่ได้พูดอะไร ปรารถนาอยากรู้แต่เธอไม่อยากคุยกับเขาในไลน์อีกต่อไปแล้ว เธออยากลบเขาออกจากโชคชะตาของเธอ ไม่อยากเป็คู่แข่งกับวราลี แต่สินธุไม่ยอมเช่นกันเพราะเขาไม่เคยมีใจให้เธอคนนั้นเลย
“แม่...อยากบอก ปรา...อย่างหนึ่งว่า คู่ที่ดีไม่ใช่แค่สักแต่ว่าดีเท่านั้น” รจนาสอนลูกสาวเธอเหมือนรู้ใจลูกสาวว่าเขาคนนั้นมีใจให้เธอ
“คือยังไงคะ” ปรารถนามองหน้าแม่แบบไม่เข้าใจคำพูด
“ใช่...ต้องเข้ากับเราได้ แต่ถ้าเหมือนกันหมดทุกอย่าง ก็อีกนั่นแหละ” แม่พูดอย่างกับว่านี่คือความลับของจักรวาล
“ดูอย่างพ่อเราสิ อะไรก็ตามแม่หมด แม่ว่ายังไงก็เอาตามนั้น” ปรารถนาเข้าใจแล้วว่าแม่หมายถึงอะไร คนสองคนมาอยู่ด้วยกัน ไม่จำเป็ต้องเหมือนกัน เราว่าอะไรก็ว่าตามนั้น ชีวิตจึงขาดอะไรใหม่ๆ ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลยก็จะจืดชืด วันหนึ่งเกิดไปเจอน้ำพริกเผ็ดอร่อยปากขึ้นมาก็จะกลายเป็เื่เป็ราว คนสมัยนี้เจอกันง่ายกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่มาก แค่พูดจากันบนโลกออนไลน์ไม่กี่นาทีก็เกิดรักชอบพอกันแล้ว แม่เป็ห่วงปรารถนาจนนางต้องพูดให้เธอได้คิด สินธุ...ใช่เขาเป็คนดีแต่อาจไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยกันแล้วจะทำให้ลูกสาวของเธอมีความสุข ด้วยสายตาของผู้เป็แม่ แม้เธออาจด้อยการศึกษากว่าลูกสาว แต่เธอไม่เคยมองอะไรผิดพลาด ในสายตาของรจนาสินธุเป็คนค่อนข้างเก็บตัว ไม่ชอบรวมกลุ่มกับคนหมู่มาก ผิดกับปรารถนาที่ต้องทำงานเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ไม่ได้พึ่งพางานราชการหรืองานบริษัท เธอจึงเป็สาวที่มีสังคมและต้องเดินทางไปประชุมกับกลุ่มนักวิชาการอยู่บ่อยครั้ง
สินธุเป็พนักงานด้านรังสีเทคนิค ทำงานอยู่ที่เดียวกันกับวราลี รจนาเคยปรามลูกสาวอยู่เสมอว่าสินธุนั้นมีวราลีหมายปองอยู่แล้ว ปรารถนาไม่ใช่คนที่ชอบแข่งขันหรือแก่งแย่งกับใคร นางจึงขอร้องให้ปรารถนาเลิกยุ่งเกี่ยวกับชายคนนี้
“สัปดาห์หน้าเราจะไปโซล ประชุมเื่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางการเกษตร อยากได้อะไรไหมล่ะ สินธุ” ปรารถนาอดไม่ได้ที่จะคุยกับเขาทางไลน์เมื่อชายหนุ่มโทรมาหา แม้จะถูกห้ามปรามก็ตามแต่เธอไม่อยากทำร้ายหัวใจเขา เป็เพื่อนกันก็ไม่น่าเสียหายตรงไหนเลย...เธอแก้ตัวให้กับตนเอง
“คงไม่ล่ะ...อยากไปด้วยจัง งานที่ทำอยู่น่าเบื่อมาก” เสียงถอนหายใจของชายหนุ่มทำให้เธอเข้าใจแล้วว่า การทำงานจำเจแบบนั้นคงจะไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์ในชีวิต
“จะถามว่า...กรอบรูปกระจกตัดแสงนั้นไปได้มาจากไหนรึ” หญิงสาวนึกขึ้นได้ว่าอยากถามเื่นี้อยู่พอดี
“ผมไปเห็นที่แม่สาย...มีคนเอามาวางขายบอกว่าเป็ของเก่า” ชายหนุ่มบอกแต่เพียงว่าราคาไม่แพงมากนัก เขาเคยสังเกตเห็นปรารถนาชอบภาพแนวๆ นี้
“สวยมาก ขอบใจนะสินธุ” ปรารถนานึกอยากอยากถามเื่วราลี แต่นึกได้ว่าไม่ควร เลยเม้มปากและกล่าวลาก่อนวางสาย เธอถอนหายใจอย่างกระอักกระอ่วน
ชายหนุ่มเคยย้ำกับเธอเสมอว่า ไม่มีใครคนไหนจะมาแทนที่เธอได้แม้จะมีอะไรมาขวางกั้นก็ตาม เขามองเธอเติบโตขึ้นมาพร้อมกับวราลี จากที่แอบชอบใจสาวน้อยคนเก่งแห่งจันจว้าคนนี้ คอยเชียร์เธอทุกเื่มาตลอดจนกระทั่งถึงงานต่างๆ ในสวนเกษตร ไม่ว่างานช่างประปาไฟฟ้าจนถมดินขุดบ่อปลา เขาอีกนั่นแหละที่คอยมาช่วยดูแลและยังถามไถ่เธออยู่เสมอว่า้าความช่วยเหลืออะไรอีกบ้างไหม
“ไม่ต้องเกรงใจนะปรา...บอกได้ทุกเมื่อแม้เราอยู่ไกล เราว่างเมื่อไหร่จะกลับไปช่วย” สินธุพูดทุกครั้งแบบนี้ก่อนวางสาย ชายหนุ่มแม้ไม่เคยบอกรักเธอเลยสักครั้ง แต่ด้วยคำพูดและความห่วงใยที่มีต่อเธอมาตลอดทำให้ปรารถนาคิดเสมอว่า เขาคงมีเธออยู่ในใจเสมอ เขาพูดติดตลกว่าให้เธอรอเขาอยู่ที่สวนเกษตรนั่นล่ะ จะอายุมากขึ้นกี่ปีก็ขอให้รอเขา วันใดที่เขามีหลักมีฐานมั่นคงขึ้นแล้วจะมาเป็เ้าของสวนแห่งนี้ร่วมกันกับเธอ ครั้นปรารถนาคิดถึงคำพูดห้ามปรามของแม่คราใด...คำพูดดูตลกนี้มันช่างฝืดทุกที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้