“พี่เย่ ร้ายกาจมาก!” นักดาบแขนเดียวเอ่ยปากชื่นชมเย่เฟิง ทั้งยังทำให้เขาเลื่อมใสศรัทธาเย่เฟิงยิ่งกว่าเดิม
“พลังของเ้าหมอนี่มีมากแค่ไหนกันแน่นะ” ฉินเยียนหรานมองเย่เฟิงด้วยสายตานับถือ พอนึกถึงคำเตือนเมื่อครู่นี้ก็รู้สึกน่าขันยิ่งนัก
“ก็แค่จัดการคนอวดดีเท่านั้น ไม่ใช่เื่ใหญ่สักหน่อย” เย่เฟิงยิ้มจาง ๆ บัดนี้เขาอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 3 ปลุกิญญาาคู่ เรียนรู้พลังแห่งอำนาจสองประเภทและบรรลุขั้นผันแปร ทั้งยังฝึกสองเคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกายจนพลังกายแกร่งกล้า ถือได้ว่าไร้เทียมทานในอาณาจักรจ้าว จึงสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 ได้อย่างง่ายดาย ถึงอย่างไรพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายก็ค่อนข้างธรรมดา ไม่มีอะไรให้น่าใ
บนอัฒจันทร์หลัก สีหน้าของเฉินเซี่ยงเทียนดูอึมครึมเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าจะยืมมือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 คนนั้นสั่งสอนเย่เฟิง แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะอ่อนหัด จนถูกเย่เฟิงกำราบได้อย่างง่ายดาย
ตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน และเฉินอ้าวเทียนหันไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ จนถึงบัดนี้พวกเขาก็ยังไม่มีโอกาสลงมือกำจัดเย่เฟิง จึงอดรู้สึกร้อนใจไม่ได้
“หึ!” ขณะนั้นได้ยินเสียงแค่นเ็าดังมาจากที่ใกล้ ๆ ตามมาด้วยถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม “เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 ได้ก็ภูมิใจแล้วหรือ? สวะก็คือสวะ คงไม่เคยท่องโลกกว้างสินะ!”
เสียงนี้ช่างบาดหูเป็พิเศษ ทำให้เย่เฟิง นักดาบแขนเดียว และฉินเยียนหรานขมวดคิ้วแน่น จากนั้นหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะเห็นเว่ยจี้มองมาทางนี้ด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ข้าก็ว่าใคร คนขี้แพ้นี่เอง ที่บันไดก่อนหน้านี้เ้าคงไม่อับอายมากพอสินะ ยังกล้าพูดจาไร้สาระอีก? ถ้าบอกว่าข้าเป็สวะ เช่นนั้นเ้าเว่ยจี้ที่ถูกข้ากำราบบนบันไดนั่นนับเป็สิ่งใด? เศษสวะชัด ๆ!” เย่เฟิงแสยะยิ้มขณะมองเว่ยจี้ ผู้คนได้ยินต่างก็ชะงักนิ่ง ศึกระหว่างเย่เฟิงกับเว่ยจี้ที่บันไดนั่นมิอาจเรียกว่าชนะได้ ทำได้เพียงบอกว่าเย่เฟิงมีอำนาจฟ้าดินที่แข็งแกร่งกว่า จึงเป็ฝ่ายได้เปรียบเพราะเื่นี้ หากอยู่ในสถานการณ์ธรรมดา เย่เฟิงผู้นี้จะใช่คู่ต่อสู้ของเว่ยจี้ได้อย่างไร อีกอย่างแม้เว่ยจี้อยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 5 แต่ทุกคนก็รู้ถึงความน่ากลัวของเขา
ในอดีตที่สำนักยุทธ์ เว่ยจี้ท้าทายผู้ฝึกยุทธ์ไปทั่ว คนเ่าั้ล้วนถูกเขากำราบด้วยวิธีโเี้และเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ในนี้มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 กระทั่งขั้นรวมที่ 7 ก็มี หนำซ้ำยังสังหารผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 4 ในรายนามขั้นรวมชี่แล้วเข้าแทนที่ เื่นี้จึงเป็ที่ฮือฮาอย่างมาก จนนามของเว่ยจี้โด่งดังไปทั่ว เขาไร้ความเกรงกลัวและไม่มีใครกล้ายั่วโมโห จึงยิ่งไม่ใช่คนที่เย่เฟิงจะยั่วยุได้
“พี่เว่ย อย่าไปลดตัวคลุกคลีกับคนชั้นต่ำนี่เลย คนประเภทนี้ไม่คุ้มค่าที่จะให้เ้าลงมือ ไว้สั่งสอนเขาในการประลองก็ยังไม่สาย” จงเทาเดินมา แล้วกล่าวดูถูกเย่เฟิง
“พี่จงพูดมีเหตุผล ไยต้องเสียเวลาไปกับคนชั้นต่ำนี่ด้วย ถึงเวลานั้นก็ค่อยจัดการแล้วกัน!” เว่ยจี้ยิ้มให้จงเทาที่เดินมาหา
“ฮ่า ๆ ๆ!” เย่เฟิงเห็นจงเทาเข้าร่วมด้วยก็แค่นเสียงหัวเราะ “คนขี้ประจบเสนอหน้ามาอีกแล้ว พอดีเลยวันนี้ข้าจะได้สั่งสอนพวกสมรู้ร่วมคิดด้วย!”
จงเทาได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าเยือกเย็น ถ้อยคำของเย่เฟิงเฉียบแหลมยิ่ง แต่ขืนเขาโต้เถียงไปก็เกรงจะไม่ดีต่อเขา จึงกล่าวว่า “ข้าไม่อยากพล่ามไร้สาระกับเ้า หวังว่าตอนที่เจอเ้าในการประลอง เ้าจะยังโอหังได้เช่นนี้”
ดวงตาของจงเทาเผยประกายเยือกเย็น ั้แ่แผนลอบสังหารเย่เฟิงที่นอกเขาเทียนเสวียนล้มเหลว ทั้งสองก็มีความแค้นอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นความอาฆาตที่จงเทามีต่อเย่เฟิงจึงไม่น้อยไปกว่าคนอื่นในที่แห่งนี้ แน่นอนว่าเย่เฟิงรู้เื่นี้ หากให้เขาประชันหน้ากับจงเทา เขาย่อมไม่มีทางเมตตาปรานี
“งั้นเ้าก็รอได้เลย!” เย่เฟิงตาวาบประกายคมกริบ ทำจงเทาและเว่ยจี้แค่นเสียงเ็าพร้อมกัน แต่ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป
การประลองยังคงดำเนินต่อไป จากนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งตกรอบ บรรยากาศจึงเปลี่ยนไปตึงเครียดขึ้นกว่าเก่า
ไม่นานนักเย่เฟิงขึ้นเวทีประลองอีกครั้ง เขาท้าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 5 ทว่าอีกฝ่ายเห็นความแข็งแกร่งของเย่เฟิงแล้ว ไหนเลยจะมีความกล้า จึงเอ่ยปากขอยอมแพ้ตรง ๆ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องตกรอบไป จากนั้นเย่เฟิงเอาชนะรวดสี่ศึก พลังเช่นนี้ไม่ด้อยไปกว่าอัจฉริยะชั้นยอดอย่างตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน หรือเฉินอ้าวเทียนเลย
“เย่เฟิงชนะสี่ตาติด ก่อนหน้านี้เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 6 ได้ง่าย ๆ เขาน่าจะมีโอกาสเข้าสิบอันดับแรกของงานประลองครั้งนี้แล้วละ!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะมองเย่เฟิง
“ใช่แล้ว ยิ่งกว่านั้นเย่เฟิงเพิ่งเข้าสำนักยุทธ์ได้ไม่ถึงปี แต่ก็ประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้ ในทางตรงกันข้ามหนานกงหลิงซวงที่เข้าพร้อมกันกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว”
“ใช่ เริ่มแรกหนานกงหลิงซวงเฉิดฉาย ปลุกิญญาาหงส์ขั้นเขียว จนตกตะลึงทั่วทั้งอาณาจักรจ้าว ทั้งยังทำให้สำนักยุทธ์เทียนเสวียนถึงกับเลื่อนวันรับสมัครศิษย์ก่อนกำหนดเพื่อนาง เห็นชัดว่าตอนนั้นทางสำนักยุทธ์ให้ความสำคัญกับนางมากแค่ไหน แต่เห็นทีตอนนี้นางจะขาลงแล้ว ส่วนเย่เฟิงกลับเป็ฝ่ายขาขึ้นแทน จนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เอาเป็ว่าทั้งสองอยู่คนละชั้นอย่างชัดเจนเลย”
หลังจากเย่เฟิงเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์อีกคน ผู้คนต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ กระทั่งมีหลายคนหยิบยกหนานกงหลิงซวงมาเทียบกับเย่เฟิง แม้แต่เื่ที่ตระกูลหนานกงหักหลังและถอนหมั้นเย่เฟิงก็ยังพูดถึง สำหรับตระกูลหนานกงและตระกูลเฉิน เื่นี้ถือได้ว่าเป็เื่น่าอับอาย
เมื่อผู้คนพูดถึงเื่นี้ ทำให้หนานกงหลิงซวง เฉินอ้าวเทียน เฉินเซี่ยงเทียน และคนของตระกูลเฉินอีกหลายคนเผยสีหน้าไม่สู้ดีนัก บางเวลาหนานกงหลิงซวงยังเหลือบไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาซับซ้อน เย่เฟิงเติบโตเร็วมาก กระทั่งแข่งกับผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามขั้นรวมชี่ระดับสูง ๆ ได้ จนนางต้องเป็ฝ่ายแหงนหน้ามองดูเขาแทน นี่อดทำให้นางกระสับกระส่ายไม่ได้ หากตอนนั้นตระกูลหนานกงไม่ทำเื่ไร้ศีลธรรมพวกนั้นกับเย่เฟิง แล้วให้นางแต่งกับเย่เฟิง อาจจะเป็ทางเลือกที่ดีที่สุดก็เป็ได้
แต่หนานกงหลิงซวงรู้ว่า เื่ที่เกิดขึ้นไปแล้วมิอาจแก้ไข อย่างที่นางเคยลั่นวาจาไว้กับเย่เฟิง นางหนานกงหลิงซวงไม่ขออยู่ร่วมโลกเดียวกับเย่เฟิงตลอดชีวิตนี้ และตอนนี้นางก็สมหวังแล้ว ดังนั้นความหวังทั้งหมดของหนานกงหลิงซวงจึงตกอยู่ที่เฉินอ้าวเทียน ตราบใดที่เฉินอ้าวเทียนแกร่งกว่าเย่เฟิง เช่นนั้นก็เป็การพิสูจน์ว่าที่นางเลือกในตอนนั้นมันไม่ผิด
เย่เฟิงไม่สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าผู้คน ความแค้นระหว่างเขากับตระกูลหนานกงและตระกูลเฉินจักต้องแก้ไข โดยเฉพาะตระกูลเฉิน หากวันหน้าเย่เฟิงแกร่งกล้าไร้ผู้ใดเทียบเคียง วันนั้นจะเป็จุดจบของตระกูลเฉิน
“ตาข้าแล้ว” ผ่านไปสักพัก นักดาบแขนเดียวกล่าวพยักหน้าให้เย่เฟิงและฉินเยียนหราน ก่อนจะเดินไปยังเขตประลอง
ดวงตาล้ำลึกคู่นั้นกวาดมองเหล่าผู้ถูกเลือก ซึ่งในหมู่ผู้ถูกเลือกมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 คนหนึ่งดูโดดเด่นเป็พิเศษ คนผู้นี้มีผลแพ้สองตา หากแพ้อีกรอบ จะตกรอบทันที
“นักดาบแขนเดียวน่าจะเลือกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 คนนั้น” ผู้คนพึมพำในใจขณะมองนักดาบแขนเดียว ถึงอย่างไรในหมู่ผู้ถูกเลือก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 คนนั้นอ่อนแอที่สุด หากนักดาบแขนเดียวเลือกเขา ก็สามารถเอาชนะได้ง่ายดายและคว้าชัยชนะไปอีกครั้ง
การประลองก็เป็เช่นนี้แล เมื่อใดก็ตามที่เ้ามีโอกาสเลือกคู่ต่อสู้ ก็ย่อมเลือกคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่า ดังนั้นผู้คนจึงคิดว่านักดาบแขนเดียวจะต้องเลือกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 คนนั้นอย่างไม่ลังเล แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 คนนั้นยังเผยสีหน้าสิ้นหวัง เขาเคยเห็นความแข็งแกร่งของนักดาบแขนเดียวแล้ว เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ หากถูกเลือก เขาจะตกรอบทันที เื่นี้อดทำให้เขาเป็กังวลไม่ได้
“ไสหัวออกมา!” เสียงแหบดังออกจากปากของนักดาบแขนเดียว คนที่เขาท้าทายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 คนนั้นแน่นอนโดยไม่ต้องคิดให้มากความ
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นได้ยินก็ตัวสั่นเทา สีหน้ายังดูย่ำแย่ เมื่อคิดจะเดินออกไป กลับรู้สึกว่านักดาบแขนเดียวเหมือนไม่ได้มองมาที่เขา
“จ้าวเฉิน ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงแหบดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้นักดาบแขนเดียวะโเรียกชื่อคนที่เขา้าท้าดวลด้วย แต่เมื่อสิ้นเสียงนี้ ทุกคนต่างก็ตะลึงงัน
“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม คนที่ชายผู้นี้เรียกไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 คนนั้น แต่เป็จ้าวเฉินอ๋องเล็กผู้อยู่อันดับที่ 8 ในรายนามขั้นรวมชี่ เขาบ้าไปแล้วหรือ!” พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนด้วยความเหลือเชื่อ
“นักดาบแขนเดียวคนนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ไม่เลือกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 3 ที่อ่อนแอที่สุด แต่กลับเอ่ยปากท้าจ้าวเฉินอ๋องเล็กที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า หมอนี่รนหาที่ตายชัด ๆ!” มีอีกคนกล่าวขณะมองนักดาบแขนเดียวด้วยสายตาดูแคลน
“นักดาบแขนเดียวน่าจะเอาคืนจากเหตุการณ์การประลองรอบที่สอง จึงเลือกเขาเป็คู่ต่อสู้ แต่ว่าจ้าวเฉินอ๋องเล็กจะจัดการง่าย ๆ ได้อย่างไร นักดาบแขนเดียวคนนี้อาจต้องชดใช้ให้กับการเลือกในครั้งนี้” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าว แม้นักดาบแขนเดียวจะแข็งแกร่ง มีวิชาดาบเป็เลิศ แต่สิ่งที่เขาถนัดคือการจู่โจมอย่างฉับพลัน หากต่อสู้กันจริง ๆ เขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวเฉิน
ขณะที่ผู้คนคิดกันไปต่าง ๆ นานา จู่ ๆ จ้าวเฉินก็เกิดการตอบสนองแล้วหันไปมองนักดาบแขนเดียวด้วยสายตาเย็นเยียบ “เ้าเรียกข้าหรือ?”