“หลี่สือกินเก่งมาก เงินที่หามาได้ยังไม่พอให้เขากินเลยด้วยซ้ำ พวกเ้าเลี้ยงเขามาหลายปีแล้ว ต้องรีบให้เขาแต่งงานแล้วแยกบ้านออกไปใช้ชีวิตเอง”
“หลี่สือเป็แค่ลูกพี่ลูกน้องของหลี่ซาน ไม่ใช่น้องชายแท้ๆ หลี่ซานและเ้าดีกับเขาเพียงนั้น ประเดี๋ยวเขาแต่งงานไปก็ลืมความดีของพวกเ้าแล้ว มิสู้ให้เขาแต่งงานแล้วปล่อยเขาไปเสียเถิด”
คำพูดของเฟิงซื่อและหม่าซื่อวนเวียนอยู่ในหัวของจ้าวซื่อ
หลี่ซานเห็นจ้าวซื่อไม่พูดอะไรจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรู้สึกผิด “ปีนี้เ้าก้อนหินก็อายุยี่สิบแล้ว ตอนอายุเท่าเขาข้าก็มีบุตรชายสี่คนแล้ว แต่เขายังไม่ได้หมั้นหมายเลย ข้าคิดว่าจะให้เขาแต่งงานปีหน้า”
จ้าวซื่อเอ่ยเสียงเนิบ “ท่านคิดว่านิสัยอย่างน้องรองต้องแต่งภรรยาเช่นไรจึงจะเหมาะสม”
“เป็คนใจดีเช่นเ้าก็พอแล้ว เื่อื่นข้าไม่ขออะไรอีก” หลี่ซานคิดในใจว่า จะเป็หญิงม่ายก็ได้ ขอเพียงไม่มีบุตรเป็พอ
ความใจดีของจ้าวซื่อเป็ที่เลื่องชื่อในหมู่บ้านหลี่ เพียงเื่ที่นางดูแลหลี่สือมาสิบห้าปี สตรีส่วนใหญ่ก็ไม่อาจเทียบได้แล้ว
“คนดีถูกรังแก ม้าดีถูกควบขี่ ใจดีเกินไปก็ไม่ได้จะต้องฉลาดด้วย มิเช่นนั้นหากโง่งมทั้งสามีภรรยา แต่งงานไปแล้วจะใช้ชีวิตได้อย่างไร”
หลี่ซานกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ซู่เหมย เ้าเห็นด้วยเื่ที่ข้าเก็บเงินไว้ให้น้องรองแต่งงานหรือไม่”
“ก่อนที่พวกท่านจะกลับมา พวกเราได้หารือเื่นี้กันในครอบครัวแล้ว” จ้าวซื่อนึกไปถึงคำพูดอันใจกว้างดีงามของบุตรชายบุตรสาว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “น้องรองติดตามท่านไปทำงานข้างนอกหกปี แต่ละปีหาเงินได้มากมาย เงินเหล่านี้ก็ให้เขาทั้งหมดแล้วพวกเราก็เพิ่มให้อีกเล็กน้อย พวกเราจะมอบเงินให้เขาสิบห้าตำลึงเป็ค่าสร้างบ้านและแต่งงาน”
หลี่ซานโอบร่างของจ้าวซื่อไว้ด้วยความดีใจ กล่าวเจือเสียงหัวเราะว่า “ซู่เหมย เหตุใดเ้าไม่บอกเื่นี้กับข้า?”
จ้าวซื่อกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ท่านจะนำเงินทั้งหมดไปซื้อที่ ยังจะให้ข้าพูดอะไรอีกเล่า”
ค่ำคืนนี้ครอบครัวหลี่ยากจะหลับใหล ครอบครัวของหวังไห่ที่อยู่ไม่ไกลก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
หวังไห่ออกจากบ้านแต่เช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ เขาเพิ่งกลับถึงบ้าน รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว
เฟิงซื่อต้มบะหมี่ไข่ไก่ชามใหญ่ให้เขาชามหนึ่ง เมื่อเขากินเสร็จก็เรอออกมาด้วยใบหน้าพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “วันนี้พอจื้อเกากลับถึงบ้าน ก็บอกข้าว่า พวกเจี้ยนอันสี่พี่น้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาแล้ว และได้เริ่มเรียนที่ห้องเรียนระดับสองเลยด้วย”
“มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ จ้าวซื่อเป็บุตรีของซิ่วไฉ มีความรู้มาก นางเป็คนสอนพวกเจี้ยนอันเอง” แต่ไหนแต่ไรหวังไห่ก็ไม่กล้าดูถูกจ้าวซื่อ
“น้องจ้าวเป็คนมีความสามารถ พวกเจี้ยนอันที่ได้รับสืบทอดความฉลาดจะต้องเรียนได้ดีแน่นอน”
“อืม... อาจารย์ชี้แนะแนวทาง การบ่มสร้างอาศัยตัวคน” หวังไห่นึกถึงบุตรชายทั้งสองที่เกิดกับภรรยาเก่า ตนเองตั้งใจสอนเื่ปลูกผัก ทำนา และจัดการธุระให้ผู้อื่นมานานหลายปี แต่พวกเขากลับเกียจคร้านโง่งม เรียนไม่ได้ความ
เฟิงซื่อเห็นแววตาของหวังไห่หม่นหมอง แต่นางไม่อาจรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “ท่านว่าเจี้ยนอันดีหรือไม่”
หวังไห่กล่าวชมเชย “เจี้ยนอันเป็บุตรชายคนโตของตระกูลหลี่ อยู่นอกบ้านทำมาค้าขาย อยู่ในบ้านก็ทำการเกษตร อีกทั้งยังมีจิตใจสุขุมกว้างขวาง ตอนนี้ยังได้ไปเรียนที่สำนักศึกษาด้วย เขาดีมาก”
ดวงตาของเฟิงซื่อทอประกายแวววาว น้ำเสียงระคนไปด้วยความกระตือรือร้น “พวกเราให้เยี่ยนเอ๋อร์แต่งกับเจี้ยนอันเป็อย่างไรเ้าคะ?”
“นี่…” ในสมองของหวังไห่พลันปรากฏภาพรอยยิ้มของหลี่หรูอี้ขึ้นมา คิดในใจว่าหากเยี่ยนเอ๋อร์แต่งให้บ้านหลี่ เช่นนั้นหากให้จื้อเกาแต่งกับหลี่หรูอี้จะกลายเป็การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สองครอบครัว ผู้อื่นจะดูถูกเอาได้
“เื่นี้น่ะหรือ หากท่านพยักหน้าเห็นด้วย พรุ่งนี้ข้าจะไปเลียบเคียงถามน้องจ้าวดูสักหน่อย หากบ้านหลี่เห็นด้วยพวกเราก็ตกลงกำหนดเื่แต่งงานของเยี่ยนเอ๋อร์กับเจี้ยนอัน” ยิ่งพูดเฟิงซื่อก็ยิ่งตื่นเต้น ไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าที่หมองหม่นของหวังไห่เลยแม้แต่น้อย
หวังไห่กล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ข้าไม่เห็นด้วย”
เฟิงซื่อคิดว่าตนเองฟังผิดไป จึงจับจ้องไปยังใบหน้าของหวังไห่แล้วถามขึ้นว่า “เหตุใดไม่เห็นด้วย?”
หากเป็ก่อนแยกบ้าน ตอนนั้นหวังไห่ยังรู้สึกเฉยๆ กับเฟิงซื่อ เขาย่อมไม่กล่าวความในใจออกมาให้เฟิงซื่อฟังเป็แน่ ทว่าหลังจากที่แยกบ้านแล้วความรู้สึกของสามีภรรยาดีกว่าเมื่อก่อนมาก รวมกับที่เื่นี้ไม่อาจหารือกับบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองได้ จึงนำมากล่าวกับเฟิงซื่อเสียเลย
“เ้าอย่าลืมคิดเื่ที่จะให้หรูอี้มาเป็สะใภ้ของพวกเรา” เฟิงซื่อทอดถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ท่านคิดเื่นี้ได้ ข้าก็คิดได้เช่นกัน”
“แต่งสะใภ้ดีๆ คนหนึ่งรุ่งเรืองไปสามรุ่น แต่งสะใภ้เลวคนหนึ่งทำให้ล่มจมไปสามรุ่น” หวังไห่มีประสบการณ์กับสำนวนนี้อย่างลึกซึ้งจริงๆ
ตอนที่เขาแต่งกับชวีซื่อมองเพียงว่านางมีรูปโฉมงดงามลักษณะดี ผู้ใดจะทราบว่านอกจากหน้าตาแล้วนางก็ไม่มีข้อดีอื่นใดเลย
นิสัยของบุตรชายทั้งสองล้วนถอดแบบมาจากชวีซื่อ ทั้งเกียจคร้านและโลภมาก ทั้งขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว ตอนที่ ชวีซื่อยังอยู่ก็ให้หลานสาวของตนมาแต่งกับบุตรชาย ตอนนี้ทั้งหลานชายและหลานสาวล้วนมีนิสัยแย่
“ข้าอยากให้นางแต่งเข้า แต่บ้านหลี่ไม่ยอมให้หรูอี้แต่งออก!” ในน้ำเสียงของเฟิงซื่อเจือไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง กล่าวเชิงตำหนิว่า “หวังจื้อเกามีพี่ชายพี่สะใภ้ที่ไม่ได้ความสองคู่ เบื้องล่างมีหลานชายหลานสาวที่ไม่มีความนอบน้อมอีกแปดคน ตระกูลหลี่ไม่ยินดีที่ครอบครัวเราซับซ้อน”
หวังไห่กล่าวอย่างแปลกใจ “ก็แยกบ้านกันแล้วไม่ใช่หรือ”
“ยังอาศัยอยู่ในบ้านชิดติดกัน แม้จะแยกบ้านแล้วเพียงเดินหากันก็ถึง นอกจากนี้ก็ไม่ใช่การแยกบ้านอย่างสิ้นเชิง การเกณฑ์แรงงานก็ยังนับรวมกัน หากเดือดร้อนอะไรก็รับผิดชอบร่วมกัน” เฟิงซื่อมีอคติเื่การตัดลูกตัดหลานค่อนข้างมาก นางเลิกคิ้วกล่าวว่า “ไม่กี่วันก่อนชวีหงเพิ่งวิ่งไปหาเื่บ้านหลี่ทั้งยังตบตีพวกหรูอี้ด้วย เื่นี้ท่านลืมไปแล้วหรือ”
หวังไห่ตบหน้าผากเบาๆ เขาเกือบลืมเื่นี้ไปเสียสนิท จึงก่นด่าออกมาด้วยใบหน้ายับย่น “ชวีหง นังคนไร้ประโยชน์ ควรให้ลี่ตงหย่ากับนางจริงๆ”
เฟิงซื่อรู้สึกยินดียิ่งนัก ทว่าเพื่อการแต่งงานของบุตรสาวจึงกล่าวต่อไปว่า “หากจะให้ลี่ตงหย่ากับนางก็ต้องรอซานนิว กับซื่อนิวแต่งงานก่อน”
เมื่อหวังไห่ได้ยินชื่อหวังซานนิวก็คิดได้ว่า หลานสาวคนนี้มาคุยกับเขาเื่แต่งงานห้ารอบแล้ว รอบสุดท้ายยังวิ่งไปขวางเขาที่ทางเข้าหมู่บ้าน บอกกับเขาว่า ้าสินเดิมท่ามกลางสายตาของทุกคน ในใจพลันรู้สึกหดหู่ รีบโบกมือกล่าวอย่างทนไม่ไหว “ข้าจะนอนแล้ว”
เฟิงซื่อรีบพูดขึ้นว่า “ตาเฒ่า ข้าจะคิดว่าท่านเห็นด้วยที่จะให้เยี่ยนเอ๋อร์แต่งกับเจี้ยนอันแล้ว”
“อีกสองสามวันค่อยว่ากัน” หวังไห่อยากให้หลี่หรูอี้แต่งเข้ามาเป็สะใภ้ที่บ้าน บุตรสาวจะสำคัญกว่าบุตรชายได้อย่างไร
รุ่งสางมีฝนตกโปรยปราย เพียงไม่นานก็กลายเป็ฝนตกหนัก เสียงน้ำฝนปลุกให้คนหมู่บ้านหลี่ตื่นขึ้นจากฝันในยามเช้า
จ้าวซื่อนอนอยู่บนเตียงเตา กล่าวกับสามีที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าว่า “ฝนตกไม่ต้องขายของ เช้าวันนี้ก็พักผ่อนเสีย” หลายเดือนมานี้นางเคยชินกับการที่ครอบครัวไม่ทำมาค้าขายในวันฝนตกแล้ว
“ไม่ขายของก็ไม่ได้เงิน” หลี่ซานทำการค้ามาสามวันแล้ว วันแรกทำเพียง่บ่ายก็ได้เงินสามตำลึง วันที่สองและวันที่สามทำทั้งเช้าและบ่ายได้เงินทั้งหมดห้าตำลึง เขากำลังกระตือรือร้น
จ้าวซื่อยื่นมือไปดึงหลี่ซานไว้ ตำหนิว่า “บอกให้นอนก็นอนเถิด”
หลี่ซานทำได้เพียงเชื่อฟังภรรยา ถอดเสื้อออกแล้วกลับขึ้นไปนอนบนเตียง แต่กลับนอนไม่หลับ ได้แต่นอนฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอก
จ้าวซื่อยังคงง่วงงุน แต่กลัวหลี่ซานดื้อรั้นจะไปขายของให้ได้จึงทำได้เพียงฝืนกล่าวว่า หากทำการค้าขายในวันฝนตกจะอันตรายมากแล้วยกตัวอย่างไปหลายสถานการณ์
หลี่ซานกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ฝนตกครั้งหนึ่งครอบครัวเราก็ได้เงินน้อยลง”
“ต้องทำงานและพักผ่อนให้พอเหมาะ ท่านก็พักผ่อนให้สบายๆ สักวันหนึ่ง ถือว่าให้หรูอี้ของข้าพักด้วย หรูอี้ของข้าเพิ่งจะอายุเก้าขวบ” กล่าวถึงตอนท้ายเสียงของจ้าวซื่อก็เหลือเพียงคำพูดพึมพำ จากนั้นจึงหลับไป
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ซานก็รู้สึกผิดกับบุตรีสุดที่รักเป็อย่างมาก ครอบครัวอื่นมีเพียงผู้ใหญ่เลี้ยงดูผู้น้อย แต่ครอบครัวหลี่นั้นกลับกัน ต้องโทษที่เขาเป็บิดาไร้ความสามารถ
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้