“หากไม่สบายแม้เพียงสักนิดก็ให้บอกข้าทันที อย่าปิดบังข้า มิฉะนั้นท่านอาจกลายเป็ศพไปในทันที”
เวินซีสั่ง พลางถอดเสื้อผ้าของจ้าวต้านออก เหลือเพียงกางเกงขนสัตว์ แล้วพยุงเขาลงอ่างอาบน้ำ
เมื่อได้แช่ลงในน้ำ ความเย็นในร่างกายของจ้าวต้านก็ค่อยๆ หายไป เขารู้สึกอุ่นขึ้นอีกครั้ง ความผ่อนคลายก็เข้ามาแทนที่
ยิ่งเป็เช่นนี้ ในใจของเขาก็ยิ่งมีทั้งความเกลียดชังและความรักมากขึ้น
เขาเกลียดตนเองที่ทำให้เวินซีเสียเวลา เกลียดที่ปกป้องนางมิได้ ทั้งยังนำตัวภาระมากมายมาให้นางอีก หากไม่มีพวกเขา นางคงจะใช้ชีวิตได้ดีกว่านี้ไม่น้อย
“ตอนนี้เป็เช่นไรบ้าง? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป เวินซีจึงถามด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
จ้าวต้านเม้มริมฝีปาก มีแววตานิ่งสงบและส่ายศีรษะเบาๆ
“ต่อไปเรานอนแยกห้องกันเถิด เวลาที่เ้าจะพักผ่อนก็นำโซ่เหล็กมาล่ามข้าไว้” เขาพูดอย่างเคร่งขรึม
เวินซีสับสน “เหตุใดกัน?”
“หากข้าคลั่งขึ้นมาอีกแล้วทำร้ายเ้าจะทำเช่นไร? ที่เ้าต้องาเ็เพียงนี้ ล้วนเป็เพราะข้า”
“หากข้าทำเช่นนั้นจริงๆ ท่านคงต้องตายไปโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นแน่ แต่หากว่าท่านอยากจะตายถึงเช่นนั้น ข้าก็จะทำตามที่ท่านปรารถนา”
“ข้า...”
“ยามนี้ท่านก็รู้แล้วว่าหญ้าหิ่งห้อยร้อนช่วยรักษาท่านได้ ในเมื่อมีทางรักษา ก็พยายามเข้าหน่อย กลับเข้าไปในวังและนำหญ้าหิ่งห้อยร้อนถอนพิษเสีย ก่อนจะถึงเวลานั้น ข้าจะช่วยท่านกดพิษเนี่ยนหานกู่ไว้”
“ได้ เ้าจะกลับไปเมืองหลวงกับข้าหรือไม่?”
“ข้าไม่ไป”
คำตอบตรงๆ โดยมิได้คิดของเวินซีทำให้จ้าวต้านหยุดชะงัก ในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากถามถึงเหตุผล ก็ได้ยินนางเอ่ยต่อด้วยประโยคหลัง “ข้าจะอยู่ที่นี่รอท่านกลับมา ท่านต้องปลอดภัยกลับมา”
ความหดหู่เมื่อครู่นี้ลดลงทันที เขายิ้มและพยักหน้าให้อย่างอ่อนโยน
หลังจากอาบน้ำเสร็จ พิษของเนี่ยนหานกู่ก็ทรงตัวขึ้นมาก เวินซีหลับลงบนโต๊ะโดยที่ยังมิได้จัดการกับาแของตน
เมื่อจ้าวต้านเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็อุ้มนางขึ้นไปที่เตียง แม้ว่านางจะรู้สึกได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าตลอดทั้งคืนทำให้นางไม่อยากจะขยับแม้แต่นิ้วมือ
จ้าวต้านจุดธูปหอมบนโต๊ะ เวินซีพลันหมดสติและหลับลึกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาช่วยจัดการาแที่แขนแล้ว ก็ถอดเสื้อของนางออกและทายาที่หลังให้ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จก็วางนางลงอย่างอ่อนโยน จากนั้นกำลังจะหยิบผ้าห่มมาห่ม
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนที่หยิบมันขึ้นมาจะเห็นมันขาดออกเป็สองส่วน เขาขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปดูภายในห้อง
บนพื้นห้องมีทั้งเศษกระเบื้อง คราบเื ไม้ และผ้าม่านกองอยู่อย่างระเกะระกะ ทั้งห้องมีแต่ความยุ่งเหยิง
จ้าวต้านลดสายตาลง ก้าวออกมาหยิบผ้าห่มอีกผืนแล้วห่มให้เวินซี ก่อนจะเริ่มจัดการทุกอย่างภายในห้องให้เป็ระเบียบ
หลังจากที่ทำเสร็จแล้ว เวินซีก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้น เขาจึงย่องออกไปนอกห้องเพื่อเตรียมทำอาหารเช้า
ขณะนั้นถันถั่นกำลังเล่นกับเอ้อเอ้อร์และซันซานอยู่ที่สวน เสียงหัวเราะของเด็กๆ ราวกับเสียงระฆังเงินที่ดังอยู่ในร้านเครื่องหอม ขณะนั้นจ่างกุ้ยเปิดประตูร้านแล้วออกไปยืนต้อนรับลูกค้า
ในตอนที่เวินซีตื่นขึ้นมาก็เป็เวลาเที่ยง นางยังไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตาก็ถูกจ้าวต้านพาตัวไปทานอาหาร เขาต้มไก่ดำให้นางเป็พิเศษเพื่อบำรุงร่างกาย
ในมื้ออาหารนี้ นางมิได้คีบอาหารมาทานเองเลย จ้าวต้านเอาแต่คีบอาหารที่นางชอบมาให้
ความกระตือรือร้นอย่างกะทันหันของจ้าวต้านทำให้เวินซีรู้สึกอึดอัด นางทานไปไม่กี่คำก็หาข้ออ้างออกจากร้านไป ถันถั่นเห็นเช่นนั้นจึงตามออกไปด้วย
ตอนที่เดินออกมาก็มีผู้คนมากมายบนถนน เวินซีพาถันถั่นเดินเตร็ดเตร่ไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย
“คุณหนูเวินซี ดูนี่สิเ้าคะ งามเหลือเกินเ้าค่ะ” ถันถั่นตรงไปที่แผงขายของข้างๆ แล้วหยิบปิ่นปักผมสีเงินออกมา
“ชอบหรือไม่?”
เวินซียิ้ม นางเดินไปหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาแล้วปักลงบนผมของถันถั่น
ถันถั่นพยักหน้า พลางยื่นมือออกไปจับที่ศีรษะของตน
“ราคาเท่าไรหรือ?” เมื่อเห็นว่านางชอบ เวินซีจึงหันไปถามคนขาย
“หนึ่งตำลึงเงินขอรับ” พ่อค้ากล่าว
“คุณหนูเวินซี ไม่ซื้อดีกว่าเ้าค่ะ หนึ่งตำลึงแพงไปเ้าค่ะ” หลังจากที่ได้ยินราคาแล้ว ถันถั่นก็หยิบปิ่นปักผมเงินวางลงที่เดิมทันที
นาง้าเก็บเงินไว้มอบให้พี่ชายทั้งหมดในตอนที่ได้เจอเขา
“ห่อให้ข้าหน่อย” เวินซีหยิบปิ่นปักผมอันนั้นแล้วยื่นให้เถ้าแก่ จากนั้นนำเงินหนึ่งตำลึงวางลงบนแผง
“ได้เลยขอรับ” เถ้าแก่ห่อปิ่นปักผมอย่างรวดเร็วและมอบให้เวินซี
นางรับไว้และยื่นให้กับถันถั่น “รับไว้”
“คุณหนูเวินซี มิได้นะเ้าคะ” ถันถั่นได้รับการดูแลเป็อย่างดีมากจนรู้สึกละอายใจ นางจึงรีบปฏิเสธทันที
“เ้ามิได้ใกล้จะจี๋จีแล้วหรือ? นี่เป็ของขวัญจากข้า เอาไปเถิด” เวินซีพูดอย่างอ่อนโยน
ถันถั่นรับปิ่นปักผมมาด้วยความลังเล “ขอบ...ขอบพระคุณคุณหนูเวินซีเ้าค่ะ”
“ไม่เป็ไร เราเดินกันต่อเถิด”
“เ้าค่ะ”
เวินซียังคงเดินเล่นในตลาดกับนางต่อไป
ทันใดนั้น พวกนางทั้งสองก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา จึงมองไปยังต้นเสียงพร้อมๆ กัน ก่อนจะเห็นว่าที่หน้าสำนักหมอหลวงแห่งหนึ่งมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ผู้คนที่มุงดูอยู่กำลังพูดคุยกัน
เวินซีเกิดความสงสัยจึงเดินเข้าไป และได้ยินเสียงพูดคุยกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“น่าสงสารมาก ข้าได้ยินมาว่าเด็กน้อยเพิ่งจะห้าขวบ ไม่รู้ว่าติดโรคใดมาถึงไร้ทางรักษาเช่นนี้”
“ข้าได้ยินมาว่าบิดาของเขาตายไปั้แ่เด็กน้อยเพิ่งเกิด มารดาเป็คนเลี้ยงเขามาตัวคนเดียว ดูท่าเช่นนี้ เกรงว่าผู้เป็มารดาคงอยากจะตายตามเด็กน้อยไปด้วย”
“น่าสงสารเหลือเกิน นางทำได้เพียงมองดูลูกของตนตายไปต่อหน้า”
......
เสียงถอนหายใจเ่าั้ทำให้เวินซีขมวดคิ้ว นางจูงมือถันถั่นเบียดเข้าไปในฝูงชน สายตามองไปที่สำนักหมอหลวง
ที่โถงสำนักหมอหลวง มีสตรีที่สวมชุดขาดๆ คุกเข่าอยู่บนพื้น นางสะอื้นไห้อยู่ตลอดเวลา ในอ้อมกอดมีเด็กน้อยคนหนึ่งที่บอกมิได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เพราะว่าเขาถูกห่อไว้ทั้งตัว เวินซีจึงเห็นเพียงเท้าของเด็กน้อย
“ใช่ว่าพวกเราจะไม่อยากรักษา แต่พวกเราหมดหนทางแล้วเช่นกัน เ้ากลับไปเถิด แม้คุกเข่าอยู่ที่นี่ให้ตาย พวกเราก็รักษามิได้”
คนรับใช้ของสำนักหมอหลวงเห็นว่ามีคนมามุงดูเยอะขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าจะไม่เป็ผลดีต่อภาพลักษณ์ของสำนักหมอหลวงจึงกลั้นใจพูดไปเช่นนั้น
“ข้าขอร้องล่ะ ที่ใดยังมีหมอที่ช่วยลูกของข้าได้อีกหรือไม่ ได้โปรดบอกข้าที ขอร้องล่ะ” สตรีนางนั้นอุ้มเด็กน้อยพลางโขกศีรษะลงกับพื้น
“หมอที่สำนักหมอหลวงของเราเป็ผู้ที่มีฝีมือเก่งกาจที่สุดในเมืองแล้ว หากพวกเรารักษามิได้ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดรักษาได้แล้ว ฮูหยิน ปล่อยวางเสียเถิด ลุกขึ้นเถิด”
หมอผมหงอกที่อยู่ข้างๆ คนรับใช้เอ่ยขึ้น เขายื่นมือออกไปจะช่วยพยุงสตรีผู้นั้นให้ลุกขึ้นมา แต่นางกลับดึงดันที่จะคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมลุก
หมอผู้นั้นส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จึงเรียกคนรับใช้ให้ตามเข้าไป
เขาเป็หมอมาหลายทศวรรษ เห็นเื่เช่นนี้จนชินตาแล้ว
คุกเข่าไปเถิด หากการคุกเข่าจะทำให้นางรู้สึกดีขึ้นได้บ้างก็ให้นางคุกเข่าไป
“ลูกข้า แม่ทำผิดต่อเ้า ทั้งหมดเป็ความผิดของแม่เอง”
“ขอโทษนะลูก แม่ไม่มีปัญญารักษาเ้า หากเ้าไปแล้วก็ไปหาพ่อของเ้า พวกเ้ารอแม่ก่อนนะ แม่จะตามพวกเ้าไปแน่นอน”
“ลูกแม่ ไม่ต้องทรมานแล้ว ไม่ทรมานแล้วนะลูก แม่อยู่นี่ หากเ้าเ็ปก็กัดแม่เถิด กัดแม่ให้แม่ได้เ็ปไปกับเ้า”
......
เสียงร้องไห้ของสตรีนางนั้นยังคงดังขึ้น บีบหัวใจของทุกคนในทันใด
เวินซีก้าวไปข้างหน้า แต่ก็ถอยกลับอย่างลังเล
นางอยากจะช่วย แต่ก็ไม่อยากหาเื่ใส่ตัว
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สตรีนางนั้นก็วางเด็กน้อยลงกับพื้น ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งเข้าใส่กำแพงทันที