—— แต่เขาไม่สามารถรับเงินของพวกมาเฟียได้จริงๆ ถึงจะมีครั้งหน้าเขาก็จะไม่รับอยู่ดี เงินครั้งนี้เขาห่อเก็บใส่กล่องเหล็กเล็กๆ ไว้แล้ว ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะคืนให้ชย่าลิ่วอีทั้งหมดทีเดียว
—— อ๊า สุดท้ายเมื่อถึงเวลาต้องคืนให้ชย่าลิ่วอี เขาคงจะโกรธจนเืขึ้นหน้าอีกครั้งแน่ หัวหน้าแก๊งคนนี้จริงๆ แล้วดูแลยากเหลือเกิน ไม่มีเหตุผลเลย คิดจะเอาเงินก็เอา คิดจะให้เงินก็ให้ ถ้าไม่รับเงินที่ให้ก็จะพลิกโต๊ะเหมือนเด็ก…
ขณะเดียวกันนั้นเอง ชย่าลิ่วอีกำลังขับรถอยู่ เขาจามออกมาอย่างแรง “บ้าเอ๊ย! ใครด่าวะ?!”
เป็ครั้งแรกในชีวิตของเหอชูซานที่รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบ เขาไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน จิตใจของเขาไม่สงบจนไม่สามารถอ่านหนังสือได้ เขาจึงก้มลงซุกใบหน้าเข้ากับหน้ากระดาษที่เหลืองคล้ำ แล้วสูดกลิ่นหมึกกระทั่งเริ่มรู้สึกว่าจิตใจสงบลงเล็กน้อย เขาคิดว่าเขาไม่้าอะไรอีกแล้วนอกจากการที่ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับโลกใต้ดินอีก แต่ทำไมตอนนี้ที่คนจากโลกใต้ดินไม่สนใจเขา เขากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างนี้กัน?
—— ถ้าจะบอกว่าคนอื่นมีเจตนาที่ดีต่อเขา แต่เขาดันไปทำให้คนอื่นโกรธจนรู้สึกผิดในใจก็พอจะเข้าใจได้ แต่เื่นี้เป็เื่ราวของแก๊งมาเฟียที่ทั้งดื้อรั้นและเผด็จการ บังคับให้เขาเขียนบทหนังไม่พอ ยังบังคับให้เขารับเงินอีก แบบนี้จะเรียกว่ามีเจตนาดีได้อย่างไร? การบังคับซื้อขายแบบนี้มันไม่ใช่เจตนาที่ดีเลย
แล้วเขาจะรู้สึกผิดในใจได้อย่างไร?
เหอชูซานเริ่มมั่นใจแล้วว่าตัวเองมีปัญหาสุขภาพจิต
เขาไม่เคยรู้สึกทุกข์ตรมเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เขากอดหนังสือและนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็เวลานาน ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
“ฉันบอกแล้วไงว่านายยังไม่แก่ ทำไมถึงได้ถอนหายใจเหมือนคนแก่กัน?” ชย่าลิ่วอีพูดด้วยท่าทางเหนือกว่า
เหอชูซานเงยหน้าขึ้นด้วยความใ ตรงหน้าของเขาคือชย่าลิ่วอีในชุดสูทสีดำรับกับรูปร่างที่ผอมเพรียวและขาเรียวยาว เรือนผมที่ปกติแล้วดูยุ่งเหยิงจนทำให้เ้าตัวดูหยาบคาย ตอนนี้กลับถูกจัดแต่งอย่างดีด้วยน้ำมันใส่ผม ทำให้เขาดูสง่างามและมีเสน่ห์ดั่งต้นไม้ที่งดงาม
เหอชูซานไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขามองชย่าลิ่วอีด้วยความหลงใหล
ชย่าลิ่วอีเตะเขาเบาๆ ด้วยท่าทางง่วงเหงาหาวนอน “ลุกขึ้นเถอะ! ทำไมถึงจ้องแบบนั้น?”
“พี่…” เหอชูซานพูด ก่อนที่จะหันไปมองนาฬิกาในล็อบบี้ “พี่มาช้าไปหนึ่งชั่วโมง”
“มี ‘ปาปารัสซี’ ตามมา แถมยังเจอรถติดอีก” ชย่าลิ่วอีพูดด้วยความไม่พอใจ “ต้องวนรอบเกาลูนกว่าจะหลุดมาได้ ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี อย่ามายุ่งกับฉัน”
เหอชูซานยันผนังแล้วลุกขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน เขามองเลยไปที่ด้านหลังของชย่าลิ่วอีด้วยความใ “พี่ถูกตามหรือ? ไม่ได้นำบอดี้การ์ดมาด้วยหรือ?”
“แค่มาดูหนังทำไมถึงต้องมีบอดี้การ์ดด้วย พวกนั้นจะไปเข้าใจอะไร!” ชย่าลิ่วอีพูดด้วยความรำคาญ พลางคว้าจับผมของเขาและทำให้มันยุ่งเหยิงจนไม่เหลือความเรียบร้อยที่เคยมีอยู่ “ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย ทำไมหน้าประตูถึงไม่มีขายลูกชิ้นปลาหรือป็อปคอร์นเลย?”
“ที่นี่ห้ามนำอาหารเข้ามาดูหนัง” เหอชูซานบอก
“บ้า! นี่เรียกว่าดูหนังเหรอ! สถานที่ขยะอะไรกันเนี่ย!”
เหอชูซานไม่มีคำพูดที่จะตอบโต้กลับ ได้แค่พูดว่า “หนังเื่นี้ยาวสามชั่วโมง เข้าไปตอนนี้ยังทัน”
ชย่าลิ่วอีขมวดคิ้วและหันหลังเดินเข้าไปในโรงหนังโดยไม่สนใจเหอชูซานที่ยุ่งกับการจัดกระเป๋านักเรียนอยู่ข้างหลัง
โรงหนังอยู่ชั้นสอง พวกเขาขึ้นบันไดทีละคนโดยชย่าลิ่วอีเป็คนเดินนำหน้า ภายในโรงหนังมีแสงไฟสีทองสาดส่องจนทำให้เห็นเงายาวของชย่าลิ่วอี ขณะที่เหอชูซานเดินขึ้นไปทุกย่างก้าวก็เหยียบลงบนเงาของเขา และนั่นทำให้เหอชูซานไม่สามารถหยุดยิ้มได้
“พี่ลิ่วอี ผมดีใจมากที่พี่มาที่นี่”
“หุบปาก! ถ้าไม่ใช่เพราะหาพากย์ภาษาจีนข้างนอกไม่ได้ ฉันจะมาหรือ! แค่เห็นหน้านายก็รำคาญแล้ว!”
เหอชูซานวิ่งตามชย่าลิ่วอีแล้วหันมายิ้มให้เขา
ชย่าลิ่วอีทำจริงตามที่พูดและเตะเขาไปหนึ่งทีด้วยความรำคาญ
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันเข้าไปในโรงหนัง แล้วนั่งลงยังตำแหน่งด้านหลังภายในความมืด แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที ทุกคนในโรงหนังก็ได้ยินเสียงะโดังมาจากด้านหลัง
“ไอ้เหออาซาน! นี่มันพากย์จีนกลางไม่ใช่หรือ! แล้วพากย์กวางตุ้งล่ะ?”
“ชู่ว!” เสียงอีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นเบาๆ เขาอธิบายว่า “มันเป็ภาษาจีนทั้งหมดนั่นแหละ”
สีหน้าของชย่าลิ่วอีขณะเดินออกจากศูนย์วัฒนธรรมมืดมนยิ่งกว่าตอนที่เข้ามาเสียอีก การพากย์เสียงที่เป็ภาษาจีนกลางยังพอทนได้ ในเมืองกำแพงเจียวหลงมีหลายคนที่ลักลอบเข้ามาจากแผ่นดินใหญ่ และชย่าลิ่วอีที่คุ้นเคยระดับหนึ่งก็พอเข้าใจได้ แต่ที่แย่ที่สุดคือการที่โรงหนังห่วยๆ นี้ไม่เพียงแต่ไม่ขายลูกชิ้นปลาและป็อปคอร์น ที่นี่ยังห้ามเขาสูบบุหรี่อีกด้วย!
พนักงานวิ่งเข้ามาห้ามเขาหลายครั้ง ยังไม่ทันที่เขาจะหมดความอดทนแล้วจับพนักงานขว้างออกไป— ผู้ชมทั้งหมดในโรงหนังลุกขึ้นยืนแล้วประณามเขา พวกเขาทนไม่ไหวกับการที่เขารบกวนผู้ชมคนอื่นๆ หลายครั้ง และเรียกร้องให้เขาออกไปจากโรงหนังทันที!
ชย่าลิ่วอีได้รับความอับอายอย่างใหญ่หลวง เขากำบุหรี่ไว้ในมือ สีหน้าเขามืดมนและไม่พูดอะไร เหอชูซานคิดว่าเขาจะะเิอารมณ์ออกมาอย่างฉับพลัน ดึงปืนออกมาขู่ทุกคน หรือไม่ก็ลุกขึ้นมาซ้อมคนแล้วเผาโรงหนัง แต่สุดท้ายเขากลับทำเพียงแค่ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ขว้างบุหรี่ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ผลักพนักงานที่ขวางอยู่ให้พ้นทาง แล้วเดินออกจากโรงหนังไปตรงๆ
เหอชูซานรีบวิ่งตามออกไปและตามจับเขาได้ตรงบันไดที่ประดับด้วยทองคำ “พี่ลิ่วอี”
ชย่าลิ่วอีไม่พูดอะไร มือทั้งสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เขาลงบันไดอย่างรวดเร็วแล้วก้าวขายาวๆ ออกไปยังหน้าประตูของศูนย์วัฒนธรรม เหอชูซานรีบวิ่งตามมาและจับแขนขวาของเขาไว้ “พี่ลิ่วอี ขอโทษครับ”
ชย่าลิ่วอีเงียบ ก่อนจะหันมามองเขา คราวนี้เหอชูซานที่ปกติจะหลบตาและก้มหน้า ตอนนี้กลับยืนตรงจนสามารถเห็นชัดเจนได้ว่ามีส่วนสูงพอๆ กับเขา พวกเขาสบตากันอยู่สักพัก ก่อนที่ชย่าลิ่วอีจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ขอโทษทำไม?”
“ผม…” เหอชูซานพูด “ผมไม่ควรเลือกสถานที่แบบนี้และทำให้พี่โกรธ”
ชย่าลิ่วอีทำเสียงฮึดฮัด เขาดึงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า หมุนตัวหันไปข้างๆ แล้วจุดไฟสูบบุหรี่ พอสูบไปคำหนึ่ง เขาก็พูดว่า “นายคิดว่าฉันไม่เข้าใจกฎของคนมีการศึกษาแล้วทำให้ฉันอับอายในนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ครับ เป็พวกเขาต่างหาก” เหอชูซานพยายามอธิบายให้ฟัง แต่เมื่อคิดถึงเื่ที่ชย่าลิ่วอีมีพฤติกรรมเผด็จการและรบกวนการชมภาพยนตร์ของคนอื่น เขาจึงได้แต่พูดออกมาเสียงค่อย “พวกเขามีความคิดมากเกินไป”
ชย่าลิ่วอีคาบบุหรี่ในปากและหัวเราะเยาะ ขณะที่ตบหัวเหอชูซานเบาๆ เขาพูดว่า “มีความคิดมากเกินไปหรือ? อย่ามาช่วยพูดแทนพวกเขาเลย! ฉันเห็นว่าคนพวกนี้ดูเหมือนจะมีปัญหาสุขภาพจิต! หนังมันดูแบบนี้หรือ? อาทิตย์หน้ามาที่บริษัทของฉันซะ ฉันจะสอนให้นายดูหนังอย่างถูกวิธีเอง!”
เหอชูซานตอบอย่างสุภาพ “อืม” แล้วถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นพี่ลิ่วอียังโกรธผมอยู่ไหมครับ?”
“จะโกรธนายทำไม ถ้าฉันโกรธจะมาที่นี่หรือ! ไปซะ!”
เหอชูซานเดินตามเขาไปและยืนเคียงข้างกัน “ผมขอเลี้ยงลูกชิ้นปลาพี่ได้ไหมครับ พี่ลิ่วอี?”
“โกรธจนเต็มท้องแล้ว จะไปกินอะไรได้อีกล่ะ!”
“…” พี่เพิ่งบอกว่าไม่โกรธนี่?
เหอชูซานจึงทำได้เพียงเงียบและพยายามให้ชย่าลิ่วอีได้ยินเสียงท้องของเขาที่กำลังร้องจ๊อกๆ
ชย่าลิ่วอีขมวดคิ้ว ก่อนจะถามขึ้น “ยังไม่ได้กินข้าวหรือ?”
“อืม”
ชย่าลิ่วอีตบหลังเขาอย่างแรงพร้อมทั้งพูดว่า “อย่ากินลูกชิ้นปลาเลย พี่ลิ่วอีจะพาไปกินกุ้งัที่โรงแรมป้านเต่า [1]!”
เหอชูซานใจนสะดุ้งจนตัวโยน “ไม่ต้องหรอก…”
“หยุดพูดมาก! ไป!” ชย่าลิ่วอีที่อารมณ์ไม่ดีในวันนี้ตั้งใจจะใช้เงินเป็คนรวย เขาดึงสายสะพายกระเป๋านักเรียนของเหอชูซานแล้วลากออกไป
เชิงอรรถ
[1] โรงแรมป้านเต่า คือ โรงแรม เดอะ เพนินซูล่า