"ไม่เปลี่ยน” เว่ยซูหานมองหน้าเขาด้วยใบหน้ายากจะคาดเดาและไร้ยางอายหลังจากมองเหยียนชิงอยู่่หนึ่ง จึงตอบด้วยน้ำเสียงที่เกียจคร้าน
แก้ไขไม่ได้ และไม่อยากเปลี่ยน เขามีปัญหามากมาย รู้ทั้งรู้ว่าชาติที่แล้วฮ่องเต้ชอบเหยียนชิง จะให้เขาไม่ใส่ใจก็คงทำไม่ได้ ต่อให้ตี้จวินในชาตินี้ไม่มีความคิดเช่นนั้นกับเหยียนชิงเขาก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้
“เ้า...” เหยียนชิงจนปัญญา ช่างมันเถอะ ต่อให้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เห็นเว่ยซูหานทำหน้าซื่อก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่มีทางเปลี่ยน
เว่ยซูหานใช้มือยาวโอบเอวเขาแล้วเอ่ยว่า “เ้าแค่อธิบายออกมาให้ชัดเจน ใช่ว่าข้าจะเป็คนไร้เหตุผล”
เขาเป็คนที่มีเหตุผล ตราบใดที่เหยียนชิงปฏิเสธเขาก็จะไม่เห็นด้วย
เหยียนชิงส่ายหน้ากล่าวอย่างหมดคำจะพูด
"ช่างมันเถอะ เ้าชอบอะไรก็แล้วแต่... ตี้จวินให้ดาบไม่ใช่เื่หาได้ง่ายๆ เ้าเก็บดาบนี้ไว้ให้ดี เอาออกมาใช้ในยามจำเป็”
เว่ยซูหาน “ได้"
เื่ราวเป็ไปในทางที่ดี ความกังวลในใจของเหยียนชิงก็ลดลงไปไม่น้อย ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย เว่ยซูหานเอะอะก็เอาแต่จะลงมือ โผเข้ากอดคนที่อยู่ตรงหน้าลงบนพรมนุ่มๆ ในห้องหนังสือ
เหยียนชิงยกนิ้วขึ้นแตะหน้าผากของใครบางคนที่มีเจตนาร้าย
“ข้าขอเตือนเ้าไว้ก่อนนะ เ้าเล่นสนุกได้ แต่อย่ามาทำตัววุ่นวายที่นี่ ห้องหนังสือคือสถานที่ที่สำคัญมาก”
“รู้แล้ว...”
เว่ยซูหานกดคนไว้และก้มหน้าซุกไปที่คอของเขา ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรก็อารมณ์ดี เป็ที่เขาคิดไว้ เขารักคนผู้นี้มาก เหยียนชิงตามใจเขาหนึ่งส่วน เขาก็ยังได้คืบจะเอาศอก
เหยียนชิงตบหลังเขาเบาๆ “เ้าหนักมาก อย่าทับข้าสิ...”
เว่ยซูหานกลับยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ “เดี๋ยวก็ชิน เพราะข้าจะทับเ้าตลอดชีวิตเลยนะ”
เหยียนชิงหน้าแดงเรื่อ “เ้า!”
“ฮ่าๆๆ...” เว่ยซูหานหัวเราะอย่างลำพองใจ เขากอดคนตรงหน้าก่อนจะกลิ้งหนึ่งรอบเพื่อให้เหยียนชิงขึ้นมาอยู่บนร่าง “งั้นเ้าก็ทับข้า”
“ปล่อยข้า”
การทำเช่นนี้ของทั้งสองคน ทำให้เสื้อผ้ายุ่งเหยิงก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แปลกขึ้นมากไปอีก
เว่ยซูหานเลียริมฝีปากพลางคิดในใจว่าท่าแบบนี้ช่างดีจริงๆ จึงไม่ได้ปล่อยอีกฝ่ายออกไป ผ่านไปไม่นานสองมือก็รัดเอวเหยียนชิงแล้วพูดอย่างจริงจังว่า
“ชิงเอ๋อร์ เ้าโตขึ้นใช่หรือไม่?”
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน คนรักตัวน้อยของเขาดูเหมือนจะโตขึ้นมาก นอกจากนี้เสื้อผ้าและรองเท้าของเหยียนชิงก็เปลี่ยนขนาดแล้ว
“เห็นชัดเลยหรือ?” เหยียนชิงพยักหน้าที่แดงเรื่อ “ข้าอยู่ในวัยที่กำลังโต ตัวสูงขึ้นก็เป็เื่ปกติไม่ใช่หรือ”
นอกจากนี้หลังจากฝึกวรยุทธ์ทุกวันแล้ว เขาก็โตเร็วขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สูงไปกว่าเว่ยซูหาน แต่จะสูงกว่าชาติที่แล้วหรือไม่?
เว่ยซูหานขมวดคิ้วด้วยเจตนาแอบแฝง “ได้เห็นเ้าโตขึ้นจริงๆ ก็ดีแล้ว”
“เ้าจะเอาเปรียบข้าเกินไปแล้วกระมัง”
เหยียนชิงดิ้นรนออกจากมือของเขาแล้วลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าและกวานที่อยู่บนศีรษะ
เว่ยซูหานลุกขึ้นแล้วตะแคงข้างใช้มือข้างหนึ่งค้ำใบหน้าเอาไว้ ไม่ปิดบังความอยากของตัวเองแม้แต่น้อย “แน่นอนว่ามีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถเอาเปรียบเ้าได้”
เหยียนชิงคร้านจะสนใจเขาแล้ว เสื้อผ้าหน้าผมที่จัดระเบียบไม่เสร็จสักที เว่ยซูหานจึงลุกขึ้นมาแล้วกล่าวว่า
“ให้ข้าช่วย”
เหยียนชิงปล่อยมือที่มัดผมของตนแล้วนั่งลงบนเบาะนุ่มอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลัง เริ่มมัดผมให้เขาอย่างพิถีพิถัน
ส่วนรางวัลของตี้จวิน เหยียนชิงได้แจ้งฮูหยินเหยียนไปแล้ว เดิมฮูหยินเหยียนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเพราะนางได้ยินเื่ซุบซิบนินทาที่ยุแยงให้แตกคอกันมามากเกินไป หลังจากได้ยินคำพูดของเหยียนชิงและได้เห็นรางวัลของตี้จวิน ในที่สุดการกินยาสงบใจมันช่วยขจัดความกังวลทั้งหมด
หลังจากเว่ยซูหานกลับมาได้สามวัน ไม่นานก็เริ่มจัดการเื่ของตระกูลเหยียน อากาศหนาวแล้ว ให้ฮูหยินเหยียนได้พักผ่อนให้มากขึ้น ฮูหยินเหยียนรู้สึกปลื้มใจมาก ่นี้เหยียนหานไม่ค่อยได้ติดตามอาจารย์ออกไปข้างนอกจึงยิ่งพอใจในตัวของเว่ยซูหานมากขึ้น
ในฐานะที่เป็พันธมิตรกัน คุณหนูใหญ่ตระกูลเหยียนบอกเว่ยซูหานว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้านเหยียนชิงคิดถึงเขาแค่ไหน เมื่อได้ยินเช่นนั้นเว่ยซูหานก็ใจเต้น ดังนั้นขอเพียงนางร้องขอหรืออยากได้อะไรหรืออยากทำอะไร เว่ยซูหานก็จะช่วยออกหน้าบอกเหยียนชิงให้
หากจะบอกว่าในจวนนี้เหยียนชิงมีอำนาจตัดสินใจ แต่คนที่สามารถทำลายกฎนี้ได้มีเพียงเว่ยซูหานคนเดียว ไม่ว่าจะเป็อย่างไร เหยียนชิงก็ไม่เคยทำให้เว่ยซูหานเสียหน้าไม่ว่าจะในจวนหรือนอกจวน ต่อให้ไม่พอใจก็จะแสดงออกมาตอนที่พวกเขาอยู่กันตามลำพัง
“ซูหาน เ้าจะตามใจหานหานเกินไปไม่ได้ เ้าตามใจนางจนเสียคนแล้ว วิ่งออกไปข้างนอกทุกวันเหมือนเด็กสาวบ้านป่า”
หลังจากเว่ยซูหานออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอีกครั้ง เมื่อกลับมาก็ถูกเหยียนชิงบ่นเป็การใหญ่ เหยียนหานเป็เหมือนไข่มุกในมือของจวนสกุลเหยียน แต่นิสัยกลับไม่เหมือนกับคุณหนูตระกูลใหญ่เลย เดิมทีก็เพียงพอที่จะทำให้เขาในฐานะพี่ชายปวดหัวแล้ว ตอนนี้ยังมีเว่ยซูหานคอยหนุนหลัง นับวันยิ่งไม่มีขื่อมีแป ประหนึ่งม้าป่าที่หลุดจากบังเหียน
เว่ยซูหานเดินเข้ามาถอดเสื้อตัวนอกแล้วเอ่ยปลอบใจ
“หานหานออกนอกบ้านก็ใช่ว่าจะไปเถลไถล เ้าไม่ได้สังเกตหรือว่า่นี้ทุกครั้งที่นางกลับมาจากบ้าน นางก็มักจะปักผ้าลวดลายใหม่ๆ ออกมา แถมยังขยันอีกด้วย”
เหยียนหานมีพร์เช่นนี้ ต้องให้โอกาสนางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ เขายังส่งองครักษ์ลับมาคอยดูแลความปลอดภัย ในฐานะสตรีประหลาดแห่งยุค จะเป็เหมือนคุณหนูตระกูลสามัญได้อย่างไร?
“จริงหรือ?” เหยียนชิงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“แน่นอน” เว่ยซูหานยิ้มแล้วดึงเขาให้นั่งลงข้างเตาถ่าน “เื่แบบนี้ถ้าข้าหลอกเ้า ก็เท่ากับทำร้ายหานหาน เ้าวางใจเถอะ ข้ามีขอบเขตของตัวเอง”
เด็กหญิงตัวเล็กๆ ดูดื้อรั้น แต่ก็เข้าใจเื่ลำดับพิธีการ
“เฮ้อ แค่เ้ามีขอบเขตของตัวเองก็พอแล้ว”
แม้ว่าเหยียนชิงจะไม่เห็นด้วยกับการที่จะปล่อยเหยียนหานให้ทำตัวตามอำเภอใจ แต่พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็สบายใจแล้ว ตอนนี้มีหลายเื่ที่ต่างจากชาติที่แล้ว แม้ว่าชาติที่แล้วน้องสาวจะกลายเป็ช่างเย็บปักที่ยอดเยี่ยม แต่หากเบี่ยงเบนไปทางอื่นนั่นก็ยุ่งยากแล้ว
ตอนที่เว่ยซูหานออกไป ในที่สุดเหยียนชิงก็มีโอกาสได้คุยกับอิ้งหลีเกี่ยวกับเื่ที่เขาออกไปกับตี้จวินในวันนั้น อิ้งหลีตอบคำถามของเหยียนชิงอย่างละเอียด
เหยียนชิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ดูเหมือนว่าพวกเ้าจะเข้ากันได้ดี”
อิ้งหลียิ้มบาง “เรียกว่าสนทนากันอย่างสนุกสนานดีกว่า คุณชายหวังมีความสามารถมาก มีความเห็นที่เป็เอกลักษณ์ของตัวเอง คำพูดและการกระทำล้วนไม่มีข้อบกพร่อง”
เหยียนชิงเลิกคิ้วขึ้นคล้ายยิ้มแต่ไม่เชิง “เ้ามีความเห็นที่ตรงกันหรือไม่?”
ตอนนี้เขามักจะให้อิ้งหลีออกไปทำงานข้างนอก เพื่อหาข้อมูลหรือช่วยเขาวางแผนเื่ต่างๆ อยู่เสมอ ถือว่านี่เป็คนแรกที่ได้รับการประเมินจากอิ้งหลีเช่นนี้
“ข้ารู้สึกว่าคุณชายหวังสมควรได้รับมิตรภาพที่จริงใจ สมแล้วที่เป็สหายเก่าของคุณชาย”
อิ้งหลีพยักหน้าชมเชยอีกครั้ง คิดไปคิดมาก็เอ่ยขึ้น
“แต่ว่าคุณชายหวังดูเป็คนเ้าชู้ จะรู้จักกับคุณชายได้อย่างไร? ท่านเหมือนไม่เคยไปเมืองหลวงเลยไม่ใช่หรือ? อีกอย่างคุณชายหวังยังแก่กว่าท่านตั้งหลายปี”
“เ้าชู้?” เหยียนชิงยิ้มและขมวดคิ้ว “เ้าคิดว่าเขาเ้าชู้หรือ?”
ทั้งๆ ที่ตี้จวินเป็คนโเี้ นิ่งขรึม เ้าเล่ห์ ขาดความยับยั้งชั่งใจ หักห้ามความปรารถนา ซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิด... ไม่มีตรงไหนที่ดูเ้าชู้เลย
อิ้งหลีลังเล “เอ่อ...”
เหยียนชิงเห็นสีหน้าแปลกๆ ของเขา ในใจก็เกิดนึกเื่หนึ่งขึ้นมาได้ “เ้าคงไม่ได้พาเขาไปยังสถานที่แปลกๆ หรอกนะ?”
อิ้งหลีลูบจมูก “พวกเราไปดื่มกันที่หอนางโลม เขาดูเหมือนจะรับมือกับสถานการณ์แบบนั้นได้ดี...”
“เ้า...” เหยียนชิงทำหน้าตะลึง "เ้าพาฮ่อง... พาเขาไปที่หอนางโลม?”
“พวกเราคุยกันเื่การต้มเหล้า ข้าบอกให้ฟังว่าโรงกลั่นเหล้าที่ดีที่สุดในเมืองฝูซังมาจากหอนางโลม ดังนั้นสุราของภัตตาคารในหอนางโลมจึงอร่อยที่สุด เขาอยากไป ข้าจึงต้องพาเขาไป...”
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ว่าเหตุใดคุณชายของตนและคุณชายหวังถึงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเช่นนี้
“คำพูดของเ้าทำให้เขาเข้าใจผิดหรือไม่?...”
เห็นได้ชัดว่ามันกระตุ้นความอยากรู้ของคนอื่น? เหยียนชิงรู้สึกว่าศีรษะของตนใหญ่ขึ้นเล็กน้อย คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอีกครั้งว่า
“องครักษ์ของเขาไม่ได้ห้ามปรามหรือ?”
เซี่ยวอวิ๋นมู่เป็เหมือนท่อนไม้แข็งทื่อที่จริงจัง เกรงว่าตอนนั้นคงมีความคิดอยากคว้านหัวใจของอิ้งหลีออกมาเลยกระมัง
อิ้งหลีแบมือออก “ห้ามแล้ว แต่คุณชายเขาจะไปห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่างคุณชายหวังยังชอบมาก จริงๆ แล้วยังให้รางวัลแก่พวกนางโลมไปไม่น้อย”
“เอ่อ...”
เหยียนชิงจนปัญญา เขากุมขมับอยู่บนโต๊ะ คิดไปคิดมาก็รู้สึกขบขัน
เห็นตี้จวินเที่ยวชมหอนางโลมแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่คนผู้นั้นคงเคยชินกับการรับมือกับการประจบสอพลอและการหลอกลวงต่างๆ มามากมาย ในฐานะที่สามารถนั่งอยู่ท่ามกลางชายาและนางสนมถึงสามพันนางในวังหลังได้ แม้ในความจริงแล้วจะไม่ได้เยอะขนาดนั้น น้อยจนกระทั่งขุนนางต้องรีบเร่งหามาเติม แต่ในฐานะฮ่องเต้แล้ว จะสนใจสตรีในหอนางโลมได้อย่างไร?
“คุณชายมีอะไรผิดปกติหรือ?”
อิ้งหลีฉลาดมาก แค่เห็นปฏิกิริยาของเหยียนชิงก็รู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์เป็อย่างไร
“ข้าควรจะบอกเ้าล่วงหน้า...”
เหยียนชิงจนปัญญา เดิมทีก็กังวลว่าอิ้งหลีจะเครียดจึงไม่ยอมบอกฐานะตี้จวิน คิดไม่ถึงว่าเช่นนี้กลับทำให้เขากับตี้จวินเที่ยวเตร่เถรไถลเกินไป ตี้จวินเองก็เอากับเขาด้วย ไปสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร ในตำหนักของเขา ไม่ว่าจะสุราหรือหญิงงามก็ใช่ว่าจะไม่มี เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
อิ้งหลีตะลึงงัน ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดี “มีอะไรหรือจะบอกอะไรข้า?”
“ข้าควรจะบอกฐานะของเขากับเ้า...” เหยียนชิงเงยหน้ามองเขา “แท้จริงแล้วคุณชายหวังเป็ฮ่องเต้ที่ปลอมตัวออกมาจากวัง แต่เ้ากลับพาเขาไปหอนางโลม”
เหยียนชิงเพิ่งพูดจบก็ตระหนักได้ว่าอิ้งหลีที่มีสีหน้านิ่งเฉยก่อนหน้านี้ ได้เปลี่ยนไปไม่หยุด ราวกับกินยาพิษเข้าไป ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา
“คุณชายหวังเป็ฮ่องเต้งั้นหรือ?”
“อืม” เหยียนชิงพยักหน้า ลูบหว่างคิ้วอย่างกระอักกระอ่วน “ข้ากังวลว่าเ้าจะเครียด ดังนั้นจึงไม่ได้บอกฐานะของเขากับเ้า”
“คุณชาย...ท่าน...” อิ้งหลีลูบหน้าผากอย่างจนปัญญา “ท่านควรบอกข้าล่วงหน้า ต่อให้รู้ว่าเขาเป็ตี้จวิน ข้าก็รับมือได้ กิริยามารยาทของข้าก็ดีขึ้นกว่านี้ ไม่เสียมารยาทเช่นนี้แน่นอน”
นี่นับเป็การดูิ่ฮ่องเต้หรือไม่ จะถูกลงโทษหรือไม่?
คุณชายหวังเป็ตี้จวิน คนที่อยู่ด้านข้างของเขาก็คือองครักษ์ของฮ่องเต้ มิน่าเล่าตอนนั้นเมื่อท่านองครักษ์ได้ยินว่าท่านตี้จวินกำลังจะไปดื่มสุราที่หอนางโลม แววตาถึงได้ดูมืดครึ้มถึงเพียงนี้ คาดว่าตอนนั้นคงคิดจะฟาดฝ่ามือใส่เขาสักคราเลยกระมัง
“เอ่อ เื่มันจบแล้ว... ช่างมันเถอะ ไม่เป็ไรหรอก” เหยียนชิงถอนหายใจเบาๆ และโบกมืออีกครั้ง
“ท่านตี้จวินก็คงไม่ค่อยได้คลุกคลีกับโลกภายนอก คงเป็เพราะความอยากรู้อยากเห็น มิเช่นนั้นก็จะไม่ไป ดังนั้นจึงไม่โทษเ้าหรอก”
ั้แ่เกิดมาก็แบกรับการประพฤติตนในกฎเกณฑ์มาั้แ่เด็ก ถูกยึดติดกับหลักคำสอนต่างๆ มากมาย เกรงว่าจะสนใจเื่ที่มันเหมือนกับว่าจะไม่เข้ากับฐานะของราษฎรหลายเื่กระมัง ทุกคนล้วนแต่มีใจอยากรู้อย่างเห็นทั้งนั้น
“พูดแบบนี้ก็ไม่ผิด แต่สุดท้ายก็เสียมารยาทอยู่ดี...”
อิ้งหลียังคงรู้สึกไม่สบายใจ นี่เป็เื่ที่เสียมารยาทที่สุดที่เขาทำมาั้แ่เล็กจนโต คิดไปคิดมาก็เอ่ยต่อว่า
“คุณชาย หากฮ่องเต้คิดจะตำหนิท่าน ท่านอย่ารับโทษเองเด็กขาด ข้าขอรับแต่เพียงผู้เดียว”
“ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เ้าคิดหรอกน่า”
เหยียนชิงยิ้มปลอบใจพลางรินน้ำชาให้เขา
“ฮ่องเต้ไม่ถือสาเื่เล็กน้อยเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วฮ่องเต้จะชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ เื่แบบนี้ไม่ได้สำคัญต่อเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายากที่จะออกนอกวัง จึงมีความสนใจมากเป็พิเศษ ไม่ต้องใส่ใจก็พอแล้ว”
อิ้งหลีขมวดคิ้ว ในใจยังคงไม่มั่นใจ
เหยียนชิงไม่พูดปลอบใจแล้ว ไม่ว่าใครเจอเื่แบบนี้ในใจก็อาจรับไม่ได้ไปชั่วขณะ แต่พอสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วหวนกลับไปคิด ครั้งนี้ตี้จวินเองก็น่าจะประทับใจอิ้งหลีมาก พร์ของอิ้งหลีก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถูกฮ่องเต้คิดว่าเขาทำตัวไม่ดีหรือไม่ คุณชายดีๆ ตระกูลไหนจะเดินเข้าหอนางโลมยามว่างกัน
จนกระทั่งไม่กี่วันต่อมา เหยียนชิงได้รับจดหมายจากตี้จวินฉบับหนึ่ง ้าถามอิ้งหลีอย่างอ้อมค้อมว่ายินดีสอบเข้ารับราชการในปีหน้าหรือไม่ ดังนั้นจึงขจัดความกังวลของเหยียนชิงออกไป
การสอบขุนนางแคว้นเทียนซูจัดขึ้นทุกๆ สองปี จะแบ่งออกเป็การสอบแบบดั้งเดิมและการสอบของฮ่องเต้ ตอนนี้ตามจดหมายของตี้จวินแล้ว เห็นได้ชัดว่าอิ้งหลีอยู่ในประเภทหลัง การสอบของฮ่องเต้จะถูกจัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนการสอบแบบดั้งเดิมจะอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง
เหยียนชิงเคยสอบแบบดั้งเดิมที่เมืองฝูซังมาหลายครั้ง ดังนั้นจึงสอบติด แต่ถึงแม้จะเป็คำสั่งของท่านพ่อ อิ้งหลีจึงไม่เคยเข้าร่วมการสอบ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเปลี่ยนความคิดหรือไม่
“คุณชาย ท่านคิดเช่นนี้มานานแล้วหรือไม่?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเหยียนชิง และอ่านจดหมายของตี้จวิน อิ้งหลีก็เข้าใจในทันที
เหยียนชิงไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าไม่ได้อยากให้เ้าอยู่กับข้าตลอดไป สัญญาทาสของเ้าสามารถเอามันไปได้ทุกเวลา อิ้งหลีเ้าและข้าโตขึ้นมาด้วยกัน เ้าน่าจะรู้ว่าเ้าไม่จำเป็ต้องกังวลอะไร เพียงแค่ทำในสิ่งที่เ้า้าเ้า เ้ามีความสามารถขนาดนี้ ตราบใดที่ข้าอยู่ในตระกูลเหยียนแห่งนี้ เ้าสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา”
อิ้งหลีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ข้าเพียงอยากอยู่ใกล้ๆ ตัวท่าน เพื่อตอบแทนบุญคุณที่นายท่านและท่านที่ช่วยชีวิตข้า”
เหยียนชิงยิ้ม
“อิ้งหลี ข้าจะไปเมืองหลวง ข้าจะไปกับซูหาน หากเ้าอยากช่วยข้าจริงๆ ก็ไปเมืองหลวงเถอะ เมื่อเ้าไป วันหน้าข้าก็จะได้มีที่พึ่งมากขึ้น”
อิงหลี “...”
“ข้าพูดจริงๆ ข้าหวังว่าเ้าจะไม่ทำให้พร์ที่เ้ามีผิดหวัง แต่ถ้าเ้ายินดีที่จะใช้พร์ของเ้าช่วยให้ข้าได้ขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น ข้าและตระกูลเหยียนจะซาบซึ้งใจเ้ามาก
เหยียนชิงกล่าวด้วยความจริงใจ หลายปีมานี้ รวมถึงชาติที่แล้ว สุดท้ายคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดก็คืออิ้งหลี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบุญคุณที่บิดาช่วยชีวิตเขากลับมาจากเมืองโรคระบาด ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็ทำได้เพียงโน้มน้าวคนดื้อรั้นเท่านั้น
อิ้งหลีจ้องเขาพลางครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้า
“ขอรับ ข้าจะไป ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าข้าจะเข้าไปสอบที่เมืองหลวง คุณชาย ชีวิตของข้าถูกนายท่านช่วยเหลือไว้ ั้แ่นั้นเป็ต้นมา ข้าก็เป็คนของตระกูลเหยียนแล้ว”
อิ้งหลีโขกศีรษะให้เหยียนชิงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็กล่าวเสริมอย่างหนักแน่นว่า
“คุณชาย ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ข้าก็จะไปกับท่าน”
เหยียนชิงกำมือไว้แน่น “ได้”
คำตอบเช่นนี้ คาดว่าตี้จวินจะต้องพอใจมากแน่ๆ
