ที่แท้แล้วครรภ์ของจางซื่อครบกำหนดสิบเดือนั้แ่ครึ่งเดือนก่อน ทว่าไม่ทราบว่าเหตุใดจึงยังไม่คลอด จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนหลิวเป่าจึงพาจางซื่อไปหาหมอในเมือง พบว่าเด็กตายในครรภ์ไปนานแล้ว
หมอออกเทียบยามาให้และให้หมอตำแยมาช่วยเหลือ สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมากมายกว่าจะทำให้จางซื่อคลอดทารกที่ตายในครรภ์ออกมาได้ เป็ทารกเพศชาย
หลิวเป่าและจางซื่อจึงมาเอะอะโวยวายที่โรงหมอ กล่าวหาว่าหมอและหมอตำแยทำให้เด็กตาย จะให้พวกเขาชดใช้เป็เงินห้าตำลึง
หมอและหมอตำแยโกรธเกรี้ยวเป็อย่างมาก พากันไปฟ้องร้องหลิวเป่าและจางซื่อถึงที่ว่าการอำเภอ
นายอำเภอห่าวจึงเปิดศาล เรียกหมอและหมอตำแยสิบกว่าคนในอำเภอมาร่วมกันวินิจฉัยอาการให้จางซื่อ สุดท้ายจึงตัดสินว่า ทารกตายคาครรภ์จางซื่อนานแล้ว มิใช่ว่าหมอและหมอตำแยทำให้เด็กตาย คดีถูกตัดสินว่า หลิวเป่าและจางซื่อมีความผิดฐานให้การเท็จ สองสามีภรรยาถูกลงโทษตบปากสามสิบครั้งและถูกส่งเข้าคุก จางซื่อจะถูกปล่อยตัว่เดือนสิบสอง ส่วนหลิวเป่าจะได้ออกจากคุกต้นฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า
จ้าวซื่อกำมือแน่น กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “นี่มิใช่ครรภ์แรกของจางซื่อเสียหน่อย เหตุใดจึงโง่งมเช่นนี้!”
คนทั้งหมู่บ้านต่างทราบดีว่า จางซื่อเคยตั้งครรภ์มาแล้วแปดครั้ง กระทั่งวันนี้ก็มีบุตรชายสี่คนและบุตรสาวอีกสองคน
มารดาคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ตั้งครรภ์และคลอดบุตรรวมแปดครั้งจะต้องทราบถึงการเคลื่อนไหวของเด็กในครรภ์เป็อย่างดี ทั้งๆ ที่เป็เช่นนี้จางซื่อกลับทำตัวโง่งมเลอะเลือน ในการตั้งครรภ์ครั้งที่เก้าเด็กในครรภ์ไม่มีการเคลื่อนไหวนานครึ่งเดือน แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็น
หม่าซื่อที่มีสีหน้ามืดมน ส่ายหัวก่อนกล่าวว่า “ใครจะไปรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจางซื่อ”
ขณะเดียวกัน ณ แปลงผักที่ลานด้านหลังของบ้านหลี่ อู่โก่วจื่อนำเื่ที่บ้านหลิวมาเล่าให้หลี่หรูอี้ฟังอย่างออกรสออกชาติเรียบร้อยแล้ว “โชคดีที่ท่านน้าของข้าไม่ให้เ้าไปตรวจครรภ์จางซื่อที่บ้านหลิว มิเช่นนั้นทางบ้านของจางซื่อจะต้องตำหนิเ้าแน่นอน ทั้งคงจะให้บ้านเ้าชดใช้เงินด้วย”
หลี่หรูอี้มีสีหน้าเรียบเฉย กล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “มารดาข้าฉลาด บิดาข้าก็ยอดเยี่ยม ส่วนหลิวเป่าและจางซื่อไม่นับเป็ตัวอะไรได้ สมควรแล้วที่ต้องเข้าคุก”
อู่โก่วจื่อก่นดาสองสามีภรรยาหลิวเป่าอย่างรุนแรง “หมอในโรงหมอทั่วทั้งตำบลจินจีโกรธแทบตายแล้ว ถึงกับบอกว่า ต่อไปนี้จะไม่ตรวจรักษาให้คนในหมู่บ้านหลี่ของพวกเราอีก”
หลี่หรูอี้ทอดถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง “หากคนในหมู่บ้านพวกเราจะไปโรงหมอในตำบลคงทำได้เพียงโกหกว่า เป็คนจากหมู่บ้านอื่นแล้ว”
ขณะนั้นแววตาของอู่โก่วจื่อก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “หรูอี้ ข้าไปขายสมุนไพรที่โรงหมอ คนขายยาในโรงหมอรู้แล้วว่าข้าเป็คนหมู่บ้านหลี่ เช่นนี้เขายังจะรับซื้อสมุนไพรของข้าอีกหรือ”
หลายเดือนมานี้อู่โก่วจื่อติดตามหลี่หรูอี้จนรู้สรรพคุณของสมุนไพร นางคอยหาสมุนไพรไปขายที่โรงหมอในตำบลจินจีอยู่เสมอจนสนิทสนมกับคนในโรงหมอแล้ว
เื่ที่หลิวเป่าและภรรยาใส่ร้ายหมอและหมอตำแย ก็เพราะคนขายยาของโรงหมอเล่าให้อู่โก่วจื่อฟัง
หลี่หรูอี้กล่าวเสียงอ่อย “ยาสมุนไพรที่เ้าทำมีคุณภาพดี อีกทั้งเ้าก็เคยไปขายยาสมุนไพรที่โรงหมอมาสิบกว่าครั้งแล้ว ท่านหมอจะต้องรับยาสมุนไพรของเ้าแน่นอน”
อู่โก่วจื่อมองไปรอบๆ พบว่าซื่อโก่วจื่อและหลี่อิงฮว๋ากำลังยืนหัวเราะเฮฮาอยู่หน้าคอกลา ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ เห็นดังนั้นจึงก้มตัวลงกระซิบบอกหลี่หรูอี้ด้วยท่าทีตื่นเต้นว่า “คราวนี้ข้าขายยาสมุนไพรได้เงินมาสามสิบเจ็ดทองแดง ให้ท่านแม่ไปเจ็ดทองแดง ท่านแม่ข้าดีใจแทบตายเลย”
หลี่หรูอี้รู้มานานแล้วว่า เมื่ออู่โก่วจื่อหาเงินได้ก็จะแบ่งให้หม่าซื่อเล็กน้อย ส่วนที่เหลือจะเก็บไว้เป็สินเดิมยามแต่งงาน นางหัวเราะเบาๆ “เ้าช่างขี้เหนียวจริงๆ”
อู่โก่วจื่อกุมมือเล็กๆ ของสหายสนิทจนแน่น และกล่าวขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หรูอี้ ข้าเก็บเงินได้สามร้อยยี่สิบหกทองแดงแล้ว เ้าช่วยข้าคิดหน่อยเถิดว่า ทำอย่างไรเงินเหล่านี้จึงจะเพิ่มขึ้น”
“เงินของเ้าไม่มากนัก หากจะใช้เป็เงินทุนคงทำได้เพียงการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ” หลี่หรูอี้มองสำรวจอู่โก่วจื่อที่มีรูปร่างผอมแห้งั้แ่หัวจรดเท้า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวัง จึงพานให้นึกไปถึงชาติก่อนของตนเมื่อครั้งที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตอนนั้นนางยังเด็กแต่ก็คิดวิธีหาเงินแล้ว
“ข้าก็อยากทำการค้าเช่นกัน หรูอี้อีกไม่นานจะเข้าฤดูหนาวแล้ว เ้าว่าข้ารับซื้อไข่ไก่จากหมู่บ้านไปขายที่อำเภอดีหรือไม่” ก่อนที่อู่โก่วจื่อจะมาที่นี่ นางขบคิดเื่ทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ มาบ้างแล้ว
“เ้าไม่เคยไปตลาดเล็กในอำเภอกระมัง ข้าเคยไปมาแล้ว จะบอกอะไรเ้าให้ ที่นั่นมีชาวบ้านขายไข่ไก่ทุกวัน หากเ้าขายไข่ไก่คงหาเงินไม่ได้แน่”
“อีกไม่นานจะเข้าฤดูหนาวแล้ว ข้ารับถ่านไม้ในหมู่บ้านไปขายที่อำเภอได้หรือไม่”
“ชาวบ้านบริเวณหลายสิบลี้รอบๆ นี้ ในสิบครอบครัวก็มีเก้าครอบครัวแล้วที่ผลิตถ่านไม้ได้ บ้านข้าทำได้บ้านเ้าก็ทำได้ เ้าคิดว่าจะมีกี่คนไปขายถ่านไม้ในอำเภอเล่า เ้าจะขายออกหรือ”
อู่โก่วจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “ขายไข่ไก่ไม่ได้ ขายถ่านไม้ก็ไม่ได้ เช่นนั้นเ้าว่าข้าควรจะขายอะไรดี”
หลี่หรูอี้กระซิบเสียงแ่ “เ้าต้องขายสิ่งที่ผู้อื่นไม่ขาย”
“ได้หรูอี้ เ้ารีบบอกมาเถิดว่าสิ่งที่ผู้อื่นไม่ขายกันคือสิ่งใด”
หลี่หรูอี้ยิ้มเจื่อนๆ “เ้าให้เวลาข้าคิดสักหน่อยเถิด พรุ่งนี้ค่อยมาหาข้า”
อู่โก่วจื่อเข้าไปกอดแขนหลี่หรูอี้อย่างสนิทสนม “หรูอี้ ขอบคุณเ้าจริงๆ ข้าโง่เขลาเกินไป ทำได้เพียงขอร้องให้เ้าช่วยคิดแล้ว”
“ข้าขอเตือนเ้าไว้ก่อน เ้าเป็เพียงสตรี หากจะทำการค้าคนเดียวคงไม่ได้ เ้าต้องให้พี่ชายเ้าช่วยด้วย” หลี่หรูอี้กล่าวพลางมองไปยังซื่อโก่วจื่อที่กำลังพูดคุยสรวลเสเฮฮาอยู่กับหลี่อิงฮว๋า
อู่โก่วจื่อรีบร้อนกล่าวขึ้นว่า “พี่สี่ของข้าเป็พวกปากมาก หากเขารู้เข้าต้องเอาไปบอกท่านแม่ข้าแน่นอน หากท่านแม่รู้นางต้องเก็บเงินของข้าไปหมดแน่ เมื่อเป็เช่นนี้ข้าจะทำการค้าไปทำไมเล่า”
“เช่นนั้นเ้าก็ให้เงินค่าแรงพี่สี่ของเ้า แล้วบอกเขาว่า หากเขาปากเปราะจะไม่ให้เงินอีก”
“โอ้... เป็ความคิดที่ดี เพื่อเงินค่าแรงแล้วพี่สี่ของข้าต้องยอมหุบปากสนิทแน่นอน” แม้อู่โก่วจื่อจะเสียดายที่ต้องจ่ายเงินค่าแรง แต่คำพูดของหลี่หรูอี้ถูกต้องเสมอ อย่างไรก็ต้องฟัง
วันต่อมา อู่โก่วจื่อเก็บสมุนไพรจากูเาเสร็จแล้ว ก็รีบวิ่งลงจากเขาตรงมายังบ้านหลี่โดยพลัน จากนั้นจึงมอบสมุนไพรทั้งหมดให้หลี่หรูอี้
อู่โก่วจื่อตั้งใจฟังวิธีหาเงินจากหลี่หรูอี้ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง “วันนั้นข้าเห็นเศษผ้าไหมที่ร้านผ้าในตำบล เ้าก็ไปต่อราคากับพนักงานเสียหน่อย ขอซื้อมาห้าสิบทองแดง จากนั้นก็ซื้อผ้าฝ้ายมาอีกสิบห้าทองแดงแล้วนำกลับมาให้เด็กในหมู่บ้านที่มีฝีมือเย็บปักดีไปทำเป็ถุงเงินไหมผสาน และนำไปขายที่ตลาดในอำเภอ”
อู่โก่วจื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามว่า “คำพูดตอนแรกๆ ของเ้าข้าเข้าใจ แต่ที่เ้ากล่าวว่า ถุงเงินไหมผสานคืออะไรหรือ”
“เ้ามากับข้า” หลี่หรูอี้เดินออกมาจากห้องโถงแล้วหยิบกิ่งไม้ท่อนหนึ่งขึ้นมาวาดรูปถุงเงินลงบนพื้น จากนั้นจึงวาดเติมเป็รูปดอกไม้ ใบไม้ และผลไม้ ลงบนถุงเงินนั้น “ใช้ผ้าฝ้ายทำเป็ถุงเงิน จากนั้นก็ใช้ความคิดเล็กน้อย นำเศษผ้าไหมมาตัดเย็บให้เป็ลวดลายดอกไม้ ใบไม้ หรือผลไม้ ลงบนถุงเงิน”
เมื่ออู่โก่วจื่อขบคิดจนเข้าใจกระจ่างแล้วใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน รีบกล่าวขอบคุณโดยพลัน “หรูอี้ ความคิดเ้ายอดเยี่ยมไปเลย ตีข้าให้ตายข้าก็คิดไม่ออกแน่ ข้าจะเชื่อคำพูดของเ้า ข้าจะไปที่ร้านผ้าในตำบลเดี๋ยวนี้” พูดจบก็รีบเดินจากไป
หลี่หรูอี้รีบดึงแขนอู่โก่วจื่อเอาไว้และกล่าวว่า “รอก่อน ข้าขอบอกเ้าไว้ก่อน ครอบครัวข้าไม่เคยทำการค้าสินค้าชนิดนี้ ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะได้กำไรหรือขาดทุน หากหาเงินได้เ้าก็จะร่ำรวย แต่หากขาดทุนเ้าก็จะไม่มีเงิน เช่นนั้นอย่ามาตำหนิข้าเล่า”
อู่โก่วจื่อหัวเราะ “เงินทุนของข้าก็เป็เพราะเ้าสอนจนหามาได้ คราวนี้ทำถุงเงินไหมผสานขาย ต่อให้ขาดทุนก็ไม่เป็ไร ข้าไม่ตำหนิเ้าหรอก”
จ้าวซื่อได้ยินบทสนทนาั้แ่ต้นจนจบ อดคิดไม่ได้ว่าความคิดของบุตรสาวช่างเป็เอกลักษณ์และแปลกใหม่จริงๆ เมื่ออู่โก่วจื่อกลับไปแล้วจึงเดินมาหาบุตรสาวถึงลานบ้าน กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เ้าใจกว้างกับหม่าซื่อเช่นนี้เชียวหรือ จะทำการค้าทั้งทีแต่กลับไม่ยอมบอกน้าหม่าของเ้า”
หลี่หรูอี้กรอกตาคิดก่อนตอบ “ท่านแม่ต้องช่วยอู่โก่วจื่อเก็บความลับด้วยนะเ้าคะ” ไม่ใช่ว่าทุกบ้านจะเชื่อในคำพูดของบุตรสาวเช่นเดียวกับจ้าวซื่อ
ค่ำคืนนี้ฝนตกอีกครั้ง กระทั่งยามเช้าฝนก็ยังไม่ซา ยิ่งตกหนักขึ้นด้วยซ้ำ หลี่ซานไม่อาจออกไปขายของเพื่อหาเงินหลายร้อยทองแดงได้ ในใจถึงกับร้อนรนกระวนกระวาย
จนกระทั่งถึงตอนกลางวันฝนก็ยังตกอยู่ มองท้องฟ้าดูแล้วคาดว่าฝนคงตกถึงเย็น หลี่ซานจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าตาเขม็ง รู้สึกสิ้นไร้หนทางยิ่งนัก ทำได้เพียงไปนอนกลางวันตามคำพูดของจ้าวซื่อ
เพิ่งล้มตัวลงนอนได้เพียงครู่เดียว ก็มีเสียงของบุรุษคนหนึ่งะโเข้ามาจากด้านนอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “น้องซาน รีบออกมาต้อนรับใต้เท้าทั้งหลายเร็วเข้า”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้