บทที่ 11 เปิดเส้นชีพจร ท่านอาจารย์ตะลึงงัน
เงาร่างหนึ่งปรากฏวาบขึ้นบนูเา
เซวี่ยจิง นึกถึงศิษย์หลานของตนที่กำลังเปิดเส้นชีพจรภายใต้การสั่งสอนของซางอู่ ก็อดรู้สึกขนลุกซู่ไม่ได้ หากไปช้ากว่านี้ คงไม่ใช่แค่ศิษย์จะเข้าใจวิธีผิด ไม่แน่ว่าคงต้องเตรียมการกู้ชีพให้ศิษย์หลานเสียแล้ว เื่นี้ไม่ใช่เื่เกินจริงแม้แต่น้อย
เมื่อก่อนศิษย์น้องซางอู่เคยคิดรับศิษย์ ทุกคนต่างก็คิดว่าแม้นางจะยังเยาว์วัยแต่ก็บรรลุขั้นขอบเขตภูมิทัศน์ภายในแล้ว ตามปกติอาจจะดูไม่น่าเชื่อถือ แต่การสอนศิษย์คงเป็เื่ง่าย ๆ ทุกคนจึงยอมรับ ใครจะรู้ว่าในวันแรก เ้าเด็กผู้โชคร้ายคนนั้นก็ธาตุไฟเข้าแทรกเสียแล้ว หลังจากนั้นซางอู่ก็ไม่เคยเอ่ยถึงเื่การรับศิษย์อีกเลย อาจเป็เพราะรู้สึกว่าการรับศิษย์ไม่น่าสนใจ ไม่ก็รู้ว่าตนนั้นไม่เหมาะสมกับการเป็ครูบาอาจารย์
น่าเสียดายที่หลี่โม่ เด็กคนนั้นแม้จะมีพร์ดี แต่กลับไม่มีใครรู้จะเริ่มสอนอย่างไรดี ผู้าุโท่านอื่นนั้นจนปัญญา แถมโควต้าศิษย์สายตรงของตนก็เต็มแล้ว มิฉะนั้นด้วยพร์ที่สามารถขึ้นถึงยอดเขาพร้อมกับอิ๋งปิงได้ ไฉนเลยจะต้องมาตกอยู่ใน "รังปีศาจ" เช่นนี้
ตอนนี้ เซวี่ยจิง ไม่หวังแล้วว่าหลี่โม่จะสามารถเปิดเส้นชีพจรได้ในวันเดียวเหมือนอิ๋งปิง แค่ปลอดภัยไร้อันตรายก็ถือว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว
หลังถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใต้ฝ่าเท้าของเซวี่ยจิงพลันบังเกิดลมขึ้น ราวกับร่างกายของเขาหลอมรวมเข้ากับสายลม เกิดความเร็วถึงขั้นที่สายตาไม่อาจตามทัน ในไม่กี่อึดใจ เขาที่กำลังแบกกล่องยาขึ้นสู่ยอดเขาหยกงาม ทว่ายังไม่ทันจะขึ้นถึงยอดเขา ความกังวลบนใบหน้าของเซวี่ยจิงก็แปรเปลี่ยนเป็ความสงสัย
“ไม่ถูกต้อง”
“มีใครกำลังดึงพลังงานฟ้าดินมาฝึกวิชา?”
การดึงพลังงานแห่งฟ้าดิน หรือที่เรียกว่า "รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ" (天人合一) สภาวะนี้เป็สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนปรารถนา ผู้ฝึกวิชาจำเป็ต้องบำรุงร่างกายด้วยอาหารหรือยาเม็ดวิเศษ เพื่อให้ได้พลังงานที่จำเป็สำหรับการหล่อหลอมโลหิต ทว่า ไม่ว่าจะเป็อาหารหรือยาเม็ด ก็ไม่อาจบริโภคได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้โอกาสอันเหมาะสม จอมยุทธ์ก็อาจบรรลุสภาวะ "รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ" ได้ สภาวะนี้ค่อนข้างคล้ายกับขั้นขอบเขตกายภาพนอก คือการที่โลกภายในของตนเองสะท้อนและหมุนเวียนไปพร้อมกับโลกภายนอกอันยิ่งใหญ่ ความเร็วในการดูดซับพลังงานจะเร็วกว่าเดิมร้อยเท่า! ยิ่งกว่านั้นคือไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ แถมยังได้รับผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงอีกด้วย
“ซางอู่ตอนนี้ควรจะกำลังนอนหลับสิ ไฉนวันนี้ถึงฝึกวิชา แถมยังบรรลุสภาวะ "รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ" ด้วย?”
เซวี่ยจิงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกหลายส่วน
บนยอดเขา ปรากฏภาพหลี่โม่นั่งสงบนิ่งอยู่หน้าเรือนไม้ ร่างกายของเขาราวกับหลอมรวมเข้ากับธรรมชาติ รูขุมขนทั่วร่างของเขาราวกับเปิดออกทั้งหมด แลกเปลี่ยนลมปราณกับภายนอกอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าร่างกายของเขาได้เชื่อมโยงกับฟ้าดินแล้ว
เขาเปรียบเสมือนแอ่งน้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง พลังงานบริสุทธิ์ที่สุดที่ไหลเวียนอยู่ระหว่างฟ้าดินจึงพรั่งพรูมาจากทุกสารทิศ ราวกับ้าเติมเต็มแอ่งน้ำเล็ก ๆ แห่งนี้ให้เต็ม
ััได้เลือนราง... ในตันเถียนของเ้าเด็กนั่น ราวกับมีเมล็ดบัวเมล็ดหนึ่งถูกปลูกลงไปแล้ว ในตอนนี้มันกำลังดูดซับพลังงานปราณอย่างบ้าคลั่ง มุ่งหน้าไปสู่การหยั่งรากงอกเงย และพยายามแม้กระทั่งการออกดอกบานสะพรั่ง
ฉึก—
เสียงเบา ๆ ดังขึ้น ยังไม่ทันที่เซวี่ยจิงจะใ
ฉึก—
อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เปิดเส้นชีพจรแล้ว แถมยังทะลวงเส้นชีพจรหลักได้อีกหนึ่งเส้นรึ?”
เซวี่ยจิงอ้าปากค้าง หนวดเคราสะบัดพลิ้วไปตามลม ร่างกายของเขาตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน ไม่เพียงแต่เปิดเส้นชีพจรสำเร็จแล้วเท่านั้น แต่! ภายในวันเดียว ยังทะลวงเส้นชีพจรหลักได้อีกหนึ่งเส้น รวดเร็วราวกับไม้ไผ่ผ่าซีก ไม่เพียงแต่เรียนรู้วิชา 《จิตเพลิงก่อบัว》 โดยไม่มีผู้ชี้แนะ ยังเข้าสู่สภาวะ "รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ" ได้อีกด้วย!
เซวี่ยจิง ตอนนี้สงสัยในชีวิตแล้ว ไม่อาจใช้คำพูดใดมาบรรยายความรู้สึกของตนได้
“ท่านผู้าุโเซวี่ยจิง ท่านมาเมื่อไหร่ขอรับ?”
หูของหลี่โม่ขยับเล็กน้อย แล้วลืมตาขึ้น
“เ้า... เ้าอย่าเพิ่งเสียสมาธิพูด! สภาวะ "รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ" นั้นหาได้ยากยิ่งนัก!”
เซวี่ยจิง รีบกล่าวด้วยหนวดเคราที่สั่นสะบัดและดวงตาที่เบิกกว้าง
“อ๊ะ? รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติรึ?”
หลี่โม่งงงันเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างไม่เข้าใจ
“แต่ข้าอยากเข้าห้องน้ำนี่ขอรับ”
เซวี่ยจิง หน้ามืดไปชั่วขณะ ตอนนี้ใช่เวลาจะปลดทุกข์หรืออย่างไร เขาอยู่ในขั้นขอบเขตภูมิทัศน์ภายในแล้ว สภาวะ "รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ" นั้น เท่ากับเป็การได้ััประสบการณ์ขอบเขตขั้นสูงกว่าล่วงหน้า ซึ่งเป็สิ่งล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง หากโอกาสนี้ตกอยู่กับเขา เขาก็คงมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะก้าวไปอีกขั้น เ้าเด็กนี่ช่างไม่รู้คุณค่าเสียจริง
“เ้าจะทำลายของล้ำค่าเสียแล้ว!”
“อ๋อ ขอรับ”
หลี่โม่ไม่รู้ว่าทำไมเฒ่าเซวี่ยจิงถึงได้หงุดหงิดขึ้นมาทันที เมื่อครู่เขารู้สึกว่าตรงนี้แดดแรงไปหน่อย จึงย้ายที่ไปใต้ต้นไม้ และฝึกวิชาต่อ ความเร็วก็ยังคงเร็วเช่นนี้ หรือว่า... คนอื่นฝึกวิชาไม่เป็แบบนี้หรือ? บางทีอาจเป็ผลดีที่ได้จากการได้กายเซียนหยินก็เป็ได้... เมื่อคิดถึงเื่นี้ หลี่โม่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“วิชา 《จิตเพลิงก่อบัว》 กล่าวว่า หากทะลวงสิบสองเส้นชีพจร และปลูกเมล็ดบัวสิบสองดอกได้สำเร็จ ก็ถือว่าบรรลุวิชา และได้บรรลุขั้นสมบูรณ์ในขั้นพลังปราณแล้ว”
“แต่... ข้ากลับรู้สึกว่า มันไม่น่าจะหยุดแค่นั้น?”
เขาััได้ เส้นชีพจรหลักทั้งสิบสองเส้น ยังห่างไกลจากขีดจำกัดของเขา ร่างกายของเขาราวกับหลุมดำที่ไม่มีที่สิ้นสุด การทะลวงเส้นชีพจรที่หนึ่งและสอง ยังไม่ถือว่าเป็จุดเริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ
“ช่างเถอะ ค่อย ๆ ดูกันไป”
“พื้นฐานนั้นสำคัญยิ่ง ต้องฝึกฝนให้สมบูรณ์แบบที่สุด”
หลี่โม่หลับตาลง เข้าสู่สภาวะฝึกวิชาอีกครั้ง
ขณะที่เซวี่ยจิงเตะประตูไม้ที่อยู่ไม่ไกลออกไป เห็นซางอู่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติ คิ้วก็กระตุกถี่ด้วยความหงุดหงิด เขาจึงหยิบธูปหอมสำหรับปลุกสติออกมาจากกล่องยา แล้วนำไปแกว่งไกวบริเวณปลายจมูกของนาง
“ฮัดเช้ย!”
ซางอู่จามออกมาทีหนึ่ง ใบหน้าอันงดงามบิดเบี้ยวด้วยความรำคาญ ถูกรบกวนการนอนถึงสองครั้งติด นางกำหมัดแน่น แต่เมื่อเห็นว่าเป็เซวี่ยจิงผู้าุโผู้ใจดีของสำนัก ก็ได้แต่กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า
“ตาเฒ่าเซวี่ยจิง เ้ามีเื่สำคัญอะไรหรือไม่”
“ศิษย์ของเ้าอยู่ข้างนอกกำลังรวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติแล้ว เ้ายังจะนอนหลับลงได้อย่างไร เ้าหลับลงได้อย่างไรกัน!”
เซวี่ยจิง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“เ้าดื่มมากไปหรือข้าดื่มมากไป”
ซางอู่เอียงคอเล็กน้อย ยังคงคิดว่าตาเฒ่ากำลังพูดเื่เหลวไหล
“เ้าออกไปดูเองก็รู้แล้วมิใช่หรือ”
เซวี่ยจิงกล่าวจบ ก็ี้เีต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก จึงเดินออกไปนอกประตู
ซางอู่ดวงตาพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเกาหัวมองออกไปข้างนอก เพียงแค่สบตาครั้งนั้น ท่านอาจารย์ซางก็ยืนตัวตรงทันที
【ยินดีด้วยเ้าของระบบ การแสดงสภาวะ "รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ" ทำให้เซวี่ยจิงเกิดความเข้าใจ.】
【ยินดีด้วยเ้าของระบบ การแสดงสภาวะ "รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ" ทำให้ซางอู่เกิดความเข้าใจ.】
【กำลังประมวลผลรางวัล...】
【ผลตอบแทนจากการลงทุน: สุราน้ำแข็งอัคคี.】
【ผลตอบแทนจากการลงทุน: ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ยี่สิบปี.】
【สุราน้ำแข็งอัคคี】: “เมื่อดื่มแล้ว จะได้รับประสบการณ์เหมือนอยู่ในนรกน้ำแข็งและไฟ เพื่อฝึกฝนร่างกาย เป็ของวิเศษสำหรับการเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย.”
หา?
ดูข้าฝึกวิชาแล้วยังลงทุนได้อีกหรือนี่?
รางวัลนี้แทบไม่ต่างจากที่ได้จากดาบเลยนี่นา
“สุราน้ำแข็งอัคคี...”
หลี่โม่ตัดสินใจว่าจะยังไม่นำมันออกมาลองตอนนี้ จากความเข้าใจที่เขามีต่ออาจารย์ใน่เวลาสั้นๆ หากนำเหล้าออกมา คงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวเป็แน่ พอดีเลย เขายังไม่รู้ว่าจะชำระล้างร่างกายอย่างไร สุราน้ำแข็งอัคคีถือเป็ของดีที่เหมาะสมกับการใช้งานพอดี ฝึกวิชาได้ประมาณสองชั่วยาม เขาก็อดทนไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกปวดเมื่อยหรือกล้ามเนื้อตึงตามที่ระบุไว้ในตำราวิชากลับไม่มี แต่กระเพาะปัสสาวะนี่สิ ตอนนี้ทั้งปวดและตึงจริงจัง
คิดเช่นนั้น หลี่โม่ก็หยุดการดูดซับพลังงานจากฟ้าดิน เขาตบชายเสื้อเบา ๆ แล้วลุกยืนขึ้น สภาวะแปลกประหลาดนั้นก็จางหายไปทันที สิ่งแรกที่เห็นคือ เซวี่ยจิงถอนสายตากลับมาด้วยความอาลัยอาวรณ์ แล้วกล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความรู้สึก:
“เฒ่าผู้นี้ ควรจะติดหนี้บุญคุณเ้า”
ในวัยอย่างพวกเขา คอขวดของพลังได้ฝังรากลึก การที่จะก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นนั้นเป็เื่ยากยิ่งนัก การได้เฝ้าดูสภาวะ "รวมเป็หนึ่งกับธรรมชาติ" สำหรับเขานั้น ถือว่าได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล
“ท่านผู้าุโเซวี่ยจิงกล่าวเกินไปแล้ว ท่านพ่อที่บ้านมักจะกล่าวยกย่องท่านอยู่เสมอ”
หลี่โม่ประสานมือคำนับอย่างสุภาพ บิดาของเขา หลี่ต้าหลง เคยเป็ศิษย์ของเซวี่ยจิง ในเวลานั้นเซวี่ยจิงยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้าุโ
“ฮ่า ๆ ๆ ได้แต่หวังว่าเขายังจำเฒ่าผู้นี้ได้”
เซวี่ยจิงลูบหนวดเครายาว ถอนหายใจ “ต้าหลงผู้นี้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก หากเขาไม่ประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้ก็คงเป็ศิษย์ชั้นในแล้ว”
รูปลักษณ์ของเฒ่าเซวี่ยจิงดูเหมือนจะอยู่ในวัยเดียวกันกับบิดาของเขา แต่หลี่โม่รู้ดีว่า ตอนที่บิดาของเขาเข้าสำนักเซวี่ยจิงก็คงมีรูปลักษณ์เป็ชายวัยกลางคนเช่นนี้แล้ว
หลี่โม่กล่าวแทรกขึ้นอย่างเหมาะสม
“คนเราต่างมีวาสนาเป็ของตนเอง ท่านพ่อกล่าวว่าการที่เขารอดชีวิตมาได้ก็เพราะท่านผู้าุโเซวี่ยจิงช่วยเหลือไว้ หากท่านพ่อไม่ได้รับาเ็และเดินทางกลับบ้าน ก็คงไม่ได้พบกับท่านแม่ และคงไม่มีข้าในวันนี้ เสียทางตะวันออก ได้คืนทางตะวันตก ก็ด้วยเหตุผลนี้”
“ต้าหลงช่างมีวาสนาดีนัก”
ศิษย์น้องหลี่นี่เชี่ยวชาญการเอาใจผู้ใหญ่จริง ๆ
เซวี่ยจิง มองหลี่โม่ด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความพอใจยิ่งขึ้นหลายส่วน เ้าเด็กนี่ ไม่เห็นจะดื้อรั้นเหมือนที่หลี่ต้าหลงเขียนในจดหมายเลยนี่นา บางทีพ่อมองลูก ก็มักจะเข้มงวดเป็พิเศษกระมัง ผู้เฒ่าและคนหนุ่มสนทนากันอย่างออกรส ทันใดนั้น จมูกของหลี่โม่ก็ได้กลิ่นสุรา พลันคอก็ตึงขึ้นและรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
ซางอู่โอบรอบคอศิษย์รักเพียงหนึ่งเดียวของนาง พร้อมประกาศสิทธิ์ความเป็เ้าของอย่างระแวดระวังว่า
“นี่ ๆ ๆ นี่ศิษย์ข้า! เ้าเฒ่าบ้า อย่าคิดจะขุดรากถอนโคนไปจากข้านะ!”
“เฒ่าผู้นี้ก็อยากจะขุดอยู่หรอก แต่ศิษย์ในสำนักข้าจะไปมีที่ว่างเหลือจากไหนกัน”
เซวี่ยจิง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อมองซางอู่ที่โวยวายเอะอะ เขาก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ศิษย์หลานเป็ต้นกล้าที่ดี จะไม่ถูกซางอู่พาออกนอกลู่นอกทางไปเสียก่อนใช่ไหม ความรู้ไม่แตกฉานเป็เื่เล็ก แต่เด็กดี ๆ จะต้องเห็นด้านสันดานเสีย ๆ เ่าั้ แค่คิดก็ปวดหัว
“เสี่ยวโม่ หากเ้าอยากทดสอบวิชาการต่อสู้ หรือหาคนประลองฝีมือ ลองไปที่หอฝึกยุทธ์ใต้เขาสิ”
ซางอู่หรี่ตาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
“ถ้า้าฝึกฝนกระบวนท่าหยาบ ๆ หอฝึกยุทธ์ ก็เพียงพอแล้ว”
หลี่โม่ “......”
ท่านอาจารย์ ท่านี้เีสอนใช่ไหม แต่เมื่อมีเคล็ดวิชา เขาก็เตรียมที่จะเรียนรู้การต่อสู้อยู่แล้ว การไปหอฝึกยุทธ์ยังสามารถถือโอกาสมองหาเป้าหมายที่คุ้มค่าแก่การลงทุนได้อีกด้วย นับว่าเป็สถานที่ที่ดีไม่เลว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้