จ้าวเหม่ยหลินจับชายแขนเสื้อของจ้าวซ่งจื่อแน่นตลอดทาง จนเดินทางมาถึงจุดบริเวณรถม้าจอดอยู่ ทั้งสองใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเดินทางมาถึงที่หมาย
ครั้นมาถึงจ้าวซ่งจื่อก็เริ่มตรวจสอบสถานที่รอบตัวอย่างคร่าวๆ จากร่องรอยที่เห็นพอจะสรุปได้ว่าไม่ใช่การปล้นทั่วไป หากแต่มีเป้าหมายคือจ้าวิจูหรืออาจ้าบางอย่างจากนาง
“เ้าพอรู้หรือไม่ว่าโจรพวกนั้นพาจ้าวิจูไปทางไหน” จ้าวซ่งจื่อเอ่ยถาม แต่เมื่อมองเห็นเสื้อผ้าของจ้าวเหม่ยหลินดูไม่เรียบร้อยนัก เขาก็รู้สึกเป็ห่วงคนตรงหน้าขึ้นมาทันที
จ้าวซ่งจื่อจึงถอดเสื้อคลุมของตนยื่นให้จ้าวเหม่ยหลิน
“ข้าไม่้า” จ้าวเหม่ยหลินเอ่ย แล้วยกมือชี้ไปยังพื้นหินกรวดที่มีรอยเท้าและรอยล้อของรถม้าอีกคันจางๆ
จ้าวซ่งจื่อเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงเก็บเสื้อคลุมกลับมาสวมใส่เช่นเดิม
จากนั้นก็นั่งย่อตัวลงตรวจสอบรอยเท้าที่ปรากฏอยู่บนพื้น พบว่ามีรอยเท้าอยู่หลายคู่คาดว่าน่าจะมีคนร่วมไม่น้อยกว่าสามสี่คน
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจไม่ตามไปในทันที แต่เลือกที่จะรอคนจากกรมอาญาหรือทางจวนมาสมทบจะดีกว่า
จ้าวเหม่ยหลินเห็นอีกฝ่ายเพียงนั่งเงียบ ไม่แสดงอาการวิตกกังวลใด จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านไม่ตามไปหรือ”
“ข้าดูจากร่องรอยแล้ว น่าจะมีคนไม่น้อย หากบุกไปเพียงลำพังเกรงจะไม่ปลอดภัย รอให้เสี่ยวเปาไปแจ้งที่จวนหรือทางการก่อน อีกไม่นานพวกเขาก็คงตามมาทัน” จ้าวซ่งจื่อเอ่ยเสียงเรียบ
“แล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราอยู่ที่นี่” จ้าวเหม่ยหลินเอียงคอถาม ใบหน้างามฉายแววสงสัยชัดเจน
ท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าทำให้จ้าวซ่งจื่อหลุดยิ้มบาง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อหยิบดอกไม้ไฟแท่งเล็กๆออกมา
“บางทีอาจจะเป็เ้านี่” ชายหนุ่มเอ่ยพลางยกมันขึ้นให้คนตัวเล็กดู แล้วดึงชนวนให้ดอกไม้ไฟลอยขึ้นบนอากาศ พร้อมแสงสีแดงพุ่งขึ้นฟ้าชี้นำตำแหน่งของพวกเขา
“เช่นนี้นี่เอง” จ้าวเหม่ยหลินพยักหน้าตามจังหวะ สีหน้าแสดงความประหลาดใจ นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นการเรียกกำลังเสริมในยุคโบราณกับตาตัวเอง จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
หลังจากจุดดอกไม้ไฟได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าก็เริ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง องครักษ์ในชุดดำจากหน่วยพิทักษ์กฎหมายก็ปรากฏตัวขึ้นจำนวนสี่นาย
จ้าวซ่งจื่อพยักหน้าให้พวกเขา จากนั้นก็พาพวกเขาเดินตามรอยเท้าที่จ้าวเหม่ยหลินได้บอกไว้
ระหว่างทางชายหนุ่มก็ถือโอกาสอธิบายหน้าที่หน่วยพิทักษ์กฎหมายขององครักษ์ชุดดำให้จ้าวเหม่ยหลินฟัง ร่างเล็กเองก็ให้ความสนใจในทุกคำที่เขาเอ่ย
“ระวังหน่อย” จ้าวซ่งจื่อเอ่ยเตือน ขณะเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของจ้าวเหม่ยหลิน เพื่อหลบกิ่งไม้ที่โน้มต่ำลงมาขวางทาง
จ้าวเหม่ยหลินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกชายหนุ่มดึงแขนเสื้อ “ขอบคุณเ้าค่ะ” นางถอยหลังหนึ่งก้าว ดวงตาเหลือบมองกิ่งไม้ที่เฉียดศีรษะไปเพียงนิดเดียว
จ้าวซ่งจื่อมองจ้าวเหม่ยหลินสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะก้าวเดินนำหน้านาง แล้วคอยเหลียวมองหญิงสาวเป็ระยะด้วยความเป็ห่วง
จ้าวเหม่ยหลินพยายามเว้นระยะห่างจากเขาอยู่ตลอด จ้าวซ่งจื่อย่อมรู้ดี เช่นนั้นชายหนุ่มจึงยอมถอยห่างตามที่คนตัวเล็ก้า
เดินมาได้สักพัก องครักษ์ชุดดำที่เดินอยู่หน้าสุดก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้หยุดการเคลื่อนไหว เนื่องจากเบื้องหน้าของพวกเขามีชายวัยกลางคนท่าทางมีพิรุธนั่งอยู่ด้านหน้ากระท่อมเก่า
“นั่นคือคนขับรถม้าคนใหม่ของจวน” จ้าวเหม่ยหลินเอ่ยขึ้น
“เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าที่จวนรับคนขับรถม้าคนใหม่” จ้าวซ่งจื่อเอ่ยด้วยความแปลกใจ เพราะเื่เล็กน้อยภายในจวนล้วนเป็ฮูหยินรองจัดการ จ้าวิจูก็มักจะเป็คนมาเล่าให้เขาฟังทุกเื่
“ไม่มีใครรู้เลยหรือ…” จ้าวเหม่ยหลินพึมพำ คิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์หน้าจวนก็จำได้ว่าฮูหยินรองเกาดูจะรู้จักกับชายคนนั้น ตอนที่กำลังจะออกจากจวนทั้งสองยังพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง
เสื้อคลุม ฮูหยินรอง คนขับรถม้า จ้าวิจู เกาฟางในางไม่สวมชุดที่นำมาให้
ไม่ชอบหน้านางถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงยังยอมให้นางใช้เสื้อคลุม
ทว่ายังไม่ทันที่จ้าวเหม่ยหลินจะได้ขบคิดให้ถี่ถ้วน เสียงะโร้องขอความช่วยเหลือก็ดังแว่วออกมาจากกระท่อม เสียงนั้นสั่นเครือ
จ้าวเหม่ยหลินสะดุ้งเล็กน้อย สายตาเบิกกว้างด้วยความใ ก่อนจะรีบหันไปมองทางจ้าวซ่งจื่อที่กำลังพยักหน้าให้เหล่าองครักษ์เตรียมเข้าจู่โจม
“เสียงของจ้าวิจู” จ้าวเหม่ยหลินเอ่ย พลางเดินตามหลังบุรุษทั้งห้าคนไปยังต้นเสียง
ภายในใจของจ้าวเหม่ยหลินได้แต่ภาวนาให้จ้าวิจูปลอดภัย แม้จะไม่ชอบหน้ากันนัก แต่ก็เป็พี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน นางไม่อาจเพิกเฉยได้
เมื่อองครักษ์ชุดดำจับกุมคนขับรถม้าไว้ได้แล้ว ประตูไม้ของกระท่อมก็เปิดผางออกทันที
จ้าวิจูวิ่งพรวดออกมาสีหน้าตื่นตระหนก น้ำตานองหน้า นางโผเข้ากอดจ้าวซ่งจื่อแน่นพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดอะไรบางอย่างที่ฟังจับใจความไม่ได้ ก่อนจะชี้นิ้วไปยังจ้าวเหม่ยหลินแล้วกล่าวหาว่าเป็ผู้บงการให้สังหารนาง
จ้าวเหม่ยหลินเบิกตากว้าง “ขะ…ข้าเนี่ยนะ “เอ่ยเสียงหลง “หากข้าคิดจะฆ่าเ้า ข้าจะพาคนมาช่วยเ้าหรือ”
ทว่าก่อนใครจะได้ซักถามหรือตอบโต้ จ้าวิจูก็ทรุดฮวบหมดสติลงไปในอ้อมแขนของจ้าวซ่งจื่อ
ชายหนุ่มจึงรีบอุ้มนางขึ้นมาอย่างเบามือ แล้วหันไปสั่งองครักษ์ “จับตัวชายผู้นี้ไปคุมขังไว้ก่อน เื่ราวเป็มาเช่นไร ไว้สอบสวนกันภายหลัง”
ก่อนถังซื่อจะถูกองครักษ์นำตัวออกไป เขาได้หันกลับมามองจ้าวเหม่ยหลิน “คุณหนูใหญ่…ข้าทำใจฆ่านางไม่ได้ ต้องขออภัยด้วยขอรับ”
“ไปได้แล้ว!” จ้าวซ่งจื่อเอ่ยเสียงเข้ม เมื่อได้ยินคำพูดใส่ร้ายจากปากชายแปลกหน้า
ชายหนุ่มรู้ดีว่าจ้าวเหม่ยหลินไม่มีทางอยู่เื้ัเหตุการณ์นี้ จึงไม่อยากฟังคำพูดเ่าั้ หากยังปล่อยให้ชายคนนี้อยู่ตรงนี้ ต่อให้จ้าวซ่งจื่อจะต้องเป็คนจัดการเองก็คงไม่ลังเล