บทที่ 10 พลังเพิ่มขึ้น
ฉินชูกับไป๋อวี้ทำภารกิจไปพร้อมๆ กับฝึกกระบวนท่ากระบี่ไปในตัว ครั้งนี้เมื่อเจอสัตว์อสูร พวกเขาล้วนใช้กระบี่เข้าต่อสู้
ตกดึกฉินชูก็มักจะนั่งสมาธิฝึกตน แม้ไม่มีตำรายุทธ์ฝึกปราณ แต่ภายใต้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูดซับและกักเก็บอณูปราณของไป๋อวี้ก็ค่อนข้างได้ผลดีเยี่ยม จุดตันเถียนของฉินชูเริ่มหมุนโคจรและค่อยๆ ดูดซับอณูปราณธรรมชาติเข้ามากักเก็บและค่อยๆ หลอมรวมและแปรเปลี่ยนเป็พลังปราณในที่สุด
เมื่อเห็นฉินชูนั่งสมาธิฝึกตน แล้วเห็นอณูปราณรอบตัวของฉินชูถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว ไป๋อวี้ก็เกิดรู้สึกละอายใจขึ้นมา เพราะว่าฉินชูดูดซับอณูปราณธรรมชาติได้เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เร็วกว่าตอนที่เขาเริ่มฝึกตนเสียอีก
ไป๋อวี้รู้สึกผิดอยู่รำไร อันที่จริงเขามีตำรายุทธ์ฝึกปราณอยู่ แต่เขาไม่ได้ให้ฉินชู เพราะมันเป็ของตระกูลเขาที่สืบทอดเฉพาะภายในตระกูล ห้ามเผยแพร่นอกตระกูลเด็ดขาด เขาจึงจำใจต้องทำเช่นนี้
เข้าฌานฝึกตนผ่านไปหนึ่งคืน หลังจากออกฌาน ฉินชูกับไป๋อวี้ก็ทำภารกิจกันต่อ
“ลูกพี่ อันที่จริงข้ามีตำรายุทธ์ฝึกปราณ แต่มันเป็ความลับของตระกูล ข้าจึงให้ลูกพี่ไม่ได้ หากทำแบบนั้นจะถือเป็การทรยศต่อวงศ์ตระกูล” ไป๋อวี้มองฉินชูที่เดินนำทางอยู่ข้างหน้า ไป๋อวี้เกิดลังเลอยู่พักหนึ่งว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่ เขากลัวฉินชูจะเข้าใจผิดและกลัวว่าจะเป็การทำลายความสัมพันธ์
เมื่อได้ฟังที่ไป๋อวี้พูดมา ฉินชูก็หันกลับมาตอบ “ข้าดีใจที่เ้าพูดออกมา ข้าเข้าใจ นั่นเป็รากฐานของสำนักหรือต้นตระกูลเ้า การที่ห้ามแพร่งพรายสู่ภายนอกถือว่าเป็เื่ปกตินัก อย่าคิดมากไปเลย ข้าคิดว่าหากข้าทำภารกิจต่อไป อีกสักสองเดือน ข้าก็สามารถแลกตำรายุทธ์ฝึกปราณได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าแน่นอน”
ไป๋อวี้คลี่ยิ้ม เขาดีใจที่ฉินชูเข้าใจเขา
วันต่อมา ฉินชูกับไป๋อวี้ก็ทำภารกิจกันอย่างบ้าคลั่ง ชนิดที่ออกไปทำภารกิจกันทุกๆ เจ็ดวัน และแต้มคุณูปการของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไป๋อวี้เป็คนโปร่งใสชัดเจน เขาไม่คิดเอาเปรียบเื่แต้มคุณูปการกับฉินชูแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าตำรายุทธ์ฝึกปราณสำคัญกับฉินชูมากแค่ไหน ยิ่งฝึกปราณช้าก็ยิ่งเสียเวลาเปล่า
ครึ่งเดือนผ่านไป แต้มคุณูปการของฉินชูก็ทะลุสองหมื่นเข้าไปแล้ว อีกทั้งตบะก็ยังเพิ่มขึ้นอีกสองระดับ กลายเป็ขั้นจวี้หยวนระดับสี่
ไป๋อวี้รู้สึกอิจฉาความเร็วในการฝึกตนของฉินชูยิ่งนัก เพราะตอนที่เขาฝึกตนขั้นจวี้หยวน แม้มีตำรายุทธ์ฝึกปราณคอยชี้แนะและมีทรัพยากรจากตระกูลคอยเกื้อหนุน แต่ความเร็วในการฝึกของเขาก็ยังเทียบกับฉินชูไม่ติด
“ไป๋อวี้ พวกเราออกไปติดต่อกันสองครั้งแล้ว ข้าคิดว่าควรพักสักหน่อย แล้วดึกๆ ค่อยออกไปอีกครั้งก็แล้วกัน” ฉินชูหันมาบอกกับไป๋อวี้ เมื่อส่งมอบภารกิจเสร็จ พวกเขาก็พากันกลับหอศิษย์รับใช้
“งั้นข้าขอตัวไปฝึกตามลำพังก่อนแล้วกัน หากมีเื่ด่วนอะไรก็เรียกข้าได้ทุกเมื่อ ดีเหมือนกันที่มีเพื่อนเป็หัวหน้าศิษย์รับใช้ ทำอะไรก็ราบรื่นดี” ไป๋อวี้ผายมือพูดกับฉินชู จากนั้นก็กลับไปเข้าฌานที่ห้องของตัวเอง เขารู้ว่าฉินชูต้องไปฝึกตนที่ผาหินตัด ก่อนหน้านี้เอ้อพั่งกับศิษย์รับใช้คนอื่นๆ ได้สร้างกระท่อมเล็กๆ ไว้ให้ฉินชูแล้ว เมื่อไม่ได้ทำภารกิจ ฉินชูก็มักจะมาขลุกตัวเข้าฌานฝึกตนอยู่ที่นั่นตลอด
ฉินชูตักน้ำใส่ครุจนเต็มและแบกจากหอศิษย์รับใช้มาที่ผาหินตัด เขาเรียงก้อนหินสามก้อนใหญ่ เว้นช่องไว้ตรงกลาง วางอ่างดินใบใหญ่เท่าตัวไว้้า และจุดไฟต้มน้ำ
ขณะต้มน้ำ ฉินชูก็เริ่มใส่สมุนไพรลงไป เขา้าทำน้ำโอสถเพื่อแช่ตัว ในระหว่างทำภารกิจ เขาได้เก็บรวบรวมพืชสมุนไพรและวัตถุดิบที่้าจนครบแล้ว แถมยังเป็สมุนไพรที่อุดมไปด้วยสรรพคุณมากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
ครั้นผิวน้ำเริ่มมีไอควัน ฉินชูก็ถอดเสื้อผ้าและลงไปแช่จนกระทั่งน้ำเริ่มเดือด
เขานั่งสมาธิเข้าฌานอีกครั้งท่ามกลางอ่างน้ำเดือด หลังจากนั้นก็เริ่มกำหนดสมาธิจดจ่อที่ตำรายุทธ์ไร้นามและซึมซับสารสรรพคุณในน้ำโอสถเข้าร่างกายไม่หยุดหย่อน
ฉินชูไม่ค่อยรู้เื่ตำรายุทธ์ไร้นามเท่าไรนัก ผู้เฒ่าเป็ผู้ถ่ายทอดตำรานี้ให้แก่เขา เขารู้เพียงแค่ว่ามันเป็ตำราที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก มันสามารถดูดซับสารสรรพคุณในน้ำโอสถเข้าร่างกายเพื่อเสริมสร้างพละกำลังและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การที่เขาสามารถฆ่าสัตว์อสูรขั้นที่สามได้ตอนนี้ ทั้งหมดเป็เพราะพละกำลังทางร่างกายของเขาทั้งสิ้น
ขณะเข้าฌานอยู่ เขารู้สึกถึงสารสรรพคุณมากมายที่แล่นมารวมกันอยู่ที่บริเวณหน้าอก ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากผู้เฒ่าบอกเขาว่าในร่างกายของเขามีเืศักดิ์สิทธิ์อยู่และมันกำลังอยู่ในสภาพฟื้นฟู เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเืศักดิ์สิทธิ์บริเวณหน้าอกของเขากำลังดูดซับสารสรรพคุณในน้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูร่างกาย
ถ่านไม้เผาไหม้ น้ำโอสถเดือดระอุ แต่ฉินชูยังคงนั่งเข้าฌานแน่นิ่ง เขาชินกับสภาพเช่นนี้แล้ว เขารู้สึกว่าเหมือนมีเยื่อหุ้มบางๆ ป้องกันอยู่ที่ผิวชั้นนอกทั่วร่างกายของเขา
เมื่อแช่อยู่ในน้ำราวๆ สองชั่วยาม ในที่สุดฉินชูก็ะโออกมาจากอ่างดิน
ฉินชูหาที่อาบน้ำชะล้างน้ำโอสถและกลับมาฝึกตนและฝึกวิชากระบี่ต่อที่ผาหินตัด ถึงวิชากระบี่ที่เขาฝึกจะเป็วิชากระบี่ระดับล่างสุด แต่ฉินชูรู้สึกว่ามันมีประโยชน์ยิ่งนัก มันสามารถใช้ต่อสู้กับพวกสัตว์อสูรได้อย่างไม่มีปัญหา
เมื่อฝึกกระบวนท่ากระบี่ไปสักพักใหญ่ ฉินชูก็แบกอ่างดินที่บรรจุน้ำโอสถอยู่เต็มอ่างมาวาง แล้วเข้าไปแช่ในน้ำ หลังจากนั้นเขาก็โคจรดูดซับอณูปราณต่อในกระท่อม
ฝึกตนจนกระทั่งเช้าอีกวัน ฉินชูรู้สึกว่าตัวเองพัฒนาขึ้นจนถึงขั้นจวี้หยวนระดับสี่แล้ว อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ขั้นจวี้หยวนระดับห้า
ผ่านไปอีกสองวัน ฉินชูยังคงขลุกตัวอยู่ในกระท่อม และในเช้าวันที่สาม ตบะของเขาก็บรรลุขั้นจวี้หยวนระดับห้า
เมื่อตบะของตนเองเริ่มสเถียร ฉินชูก็ออกจากกระท่อมและกลับมาหาไป๋อวี้ที่หอศิษย์รับใช้
“ลูกพี่ ข้าก็นึกว่าลูกพี่จะไม่สนใจทำภารกิจแล้ว ข้าล่ะใจร้อนอยากทำเหลือเกิน” เมื่อเห็นฉินชูกับมา ไป๋อวี้ก็พูดขึ้นอย่างดีใจ
“จะไม่สนใจได้อย่างไร ข้าเล็งตำราเล่มหนึ่งที่หอคัมภีร์ไว้ตั้งนาน คิดว่าทำภารกิจอีกสองครั้งก็แลกมันมาได้แล้ว” ฉินชูเอ่ยปากพูด
ไป๋อวี้พยักหน้า ตอนนี้เขาดูตื่นเต้นเป็ที่สุด เพราะเขาตั้งหน้าตั้งตารอดูวันนี้ วันที่ฉินชูจะซัดพวกศิษย์สายนอกที่ยอดเขาชิงหยุนจนหน้าหงาย เขาคิดว่าศิษย์สายนอกนั้นไม่เท่าไร แต่ที่น่ากังวลใจแทนฉินชูหลังจากนั้นคือพวกศิษย์สายในที่ฉินชูต้องเผชิญหน้าในอีกหนึ่งปีให้หลัง เพราะพวกศิษย์สายในเป็พวกคร่ำโลกมากประสบการณ์ จะโค่นพวกเขานับว่าไม่ใช่เื่ง่าย
และเป็เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ฉินชูกับไป๋อวี้มารับภารกิจ พวกลูกศิษย์แห่งยอดเขาชิงจู๋ก็มักจะหลีกทางให้
พวกลูกศิษย์บนยอดเขาชิงจู๋ล้วนรู้ว่าฉินชูเป็หัวหน้าคลั่งของบรรดาศิษย์รับใช้ ความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อฉินชูค่อนข้างหลากอารมณ์ จริงอยู่ที่ฉินชู้ากู้หน้าและศักดิ์ศรีให้ยอดเขาชิงจู๋ แต่เวลาฝึกตนเพียงแค่นั้นมันจะเป็ไปได้หรือ เพียงครึ่งปี เขาจะรักษาวาจาสัตย์ที่ลั่นออกไปเสียดิบดีได้จริงๆ หรือ
มันคงเป็แค่ลมปากทั้งเพ นอกจากพวกศิษย์รับใช้ที่เชื่อมั่นในตัวฉินชูแล้ว พวกลูกศิษย์บนยอดเขาชิงจู๋คนอื่นๆ ล้วนคิดว่าคำท้าทายของฉินชูเป็แค่เพียงลมปาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่ที่จะไปจัดการพวกศิษย์สายในบนยอดเขาชิงหยุนภายในหนึ่งปีเลย
หลังจากรับภารกิจเสร็จ ฉินชูกับไป๋อวี้ก็ออกจากหอคุณูปการ
“ทำไมเงียบกันล่ะ กำลังคิดว่าเขาทำไม่ได้หรือไม่ก็เขากำลังรนหาที่ตายอยู่สินะ แต่พวกเ้ากลับไม่มีแม้แต่ความกล้า มีความกล้าเหมือนเขาก่อนเถอะ พวกเ้าถึงจะมีสิทธิ์คิดแบบนั้นกับเขาได้” ผู้ดูแลหานเอ่ยปากพูด เขาเริ่มชื่นชอบในตัวฉินชูขึ้นมาบ้างแล้ว ทั้งแข็งแกร่ง ทั้งดุดันและขยันทำภารกิจ นับว่าเป็การกดดันตัวเองเพื่อพัฒนาตัวเองไปสู่ระดับที่สูงขึ้น
“ลูกพี่ อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปเลย หากเอาชนะศิษย์สายนอกบนยอดเขาชิงหยุนได้ ก็มากพอที่จะทำให้ผู้าุโลำดับสูงๆ บนยอดเขาชิงจู๋หันมาสนใจแล้ว แล้วหลังจากนั้นอะไรๆ ก็คงจะง่ายขึ้น” หลังจากออกมาจากยอดเขาชิงจู๋ ไป๋อวี้ก็พูดขึ้นกับฉินชู
ฉินชูพยักหน้า การได้รับความสนใจจากผู้าุโลำดับสูงก็คือหนึ่งในเป้าหมายของเขาเช่นกัน เพราะเขา้าเข้าพบผู้เฒ่าโม่เพื่อให้ท่านผู้เฒ่าย้อนนิมิตเหตุการณ์เมื่อสิบสี่ปีก่อนของเขา ดังนั้นเขาต้องมีคุณสมบัติมากพอที่จะทำให้ผู้เฒ่าโม่สนใจ
ทั้งทำภารกิจ ทั้งฝึกฝนวิชากระบี่พื้นฐาน ฉินชูไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปแม้แต่อย่างเดียว
ไป๋อวี้รู้สึกชื่นชมกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานของฉินชูยิ่งนัก เพราะถึงแม้มันจะเป็กระบวนท่าพื้นฐานง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่กลับเฉียบคม ไหลลื่น พลิ้วไหวไม่ขาดห้วง เมื่อวาดลวดลายในสถานการณ์ต่อสู้ มันช่างให้ผลลัพธ์ที่น่าพิศวงราวกับเวทมนตร์ก็มิปาน