มู่หยางซัวแม้จะได้ชื่อว่าเป็หมอเทวดาไร้เงา แต่ความเป็อยู่ก็เรียบง่ายตามประสาสองคนพ่อลูก ไม่มีบ่าวไพร่หรือคนรับใช้ มิใช่อะไร เพราะทั้งสองก็รักษาคนเจ็บป่วยไม่ได้คิดเงินทอง แล้วแต่ผู้มารักษาจะจ่ายให้ บางครั้งก็ได้เป็เงิน บางคราวก็เป็อาหาร และบางหนก็เป็เสื้อผ้า หรือแม้แต่รับใช้ด้วยแรงงานก็มี อย่างลูกชายบ้านใกล้ๆ ป้าของเขาหกล้มจนป่วยไข้ ได้ท่านหมอมู่ดูแลรักษา เขาจึงขึ้นเขาหาฟืนมาแบ่งปัน หรือท่านลุงที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ไอเรื้อรังจนเจ็บทรวงอกก็ได้มู่ฟางเหนียงช่วยต้มยาให้ เมื่อหายดีก็มาช่วยซ่อมแซมหลังคาที่เป็รูให้ ส่วนมู่ฟางเหนียงได้เสื้อผ้าสวยๆ จากเหล่านางคณิกา ก็เพราะหญิงเ่าั้ส่งคนมารับนางไปช่วยตรวจดูอาการอ่อนเพลีย
หมอมู่หยางซัวไม่ได้รับลูกศิษย์ลูกหาแม้จะมีคนมาคุกเข่าอ้อนวอน ไม่ใช่ว่าหวงความรู้ ทว่าท่านหมอคิดเสมอว่าตนเองยังอ่อนด้อยเื่การรักษา มิเชี่ยวชาญให้ผู้ใดมายกย่องเป็อาจารย์ และไม่รั้งอยู่ที่ใดนานนัก การอยู่ที่นี่นานถึงสองปีก็นับว่ายาวนานกว่าที่คิดไว้ หมอมู่เฝ้ามองลูกสาวที่เติบโตเป็หญิงสาวงดงามขึ้นทุกวี่วัน จ้องมองนางที่ขึ้นบันไดเอาถาดสมุนไพรตากลมอยู่นั้น พลางคิดในใจว่าจนป่านนี้แล้ว เขายังมิมีทรัพย์สมบัติใดให้ลูกสาวเลยสักชิ้น หากถึงวันที่ต้องแต่งงานออกเรือนไปก็เกรงว่าจะไม่มีแม้กระทั่งสินเดิมของเ้าสาว คงได้รับความดูแคลนจากผู้อื่นเป็แน่
“ท่านพ่อ”
“หือ”
มู่ฟางเหนียงค่อยๆ ลงจากบันไดแล้วยืนเท้าเอวจ้องหน้าบิดาก่อนจะเปิดรอยยิ้มสดใสออกมา
“เห็นท่านพ่อจ้องลูกตั้งนานแล้ว ท่านจะพูดอะไรก็พูดมาเถิด” หญิงสาวหัวเราะออกมา นางมักยิ้มและหัวเราะง่ายเช่นนี้ ผิดกับบิดาที่มักมีสีหน้าเรียบนิ่งและดูสงบเยือกเย็น
“เ้านี่นะ พ่อยังไม่ทันพูดก็มารู้ความคิดพ่อเสียแล้ว” บิดาถอนหายใจเบาๆ และคลี่ยิ้มที่มุมปาก
“ลูกไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดอะไร” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “รู้แค่ว่าท่านมีเื่อยู่ในใจแต่ปากหนักมิกล้าเอ่ย”
“หน้าตาพ่อดูออกขนาดนั้นเลยรึ” ผู้เป็พ่อหัวเราะขึ้นมา
“ถ้าเป็คนป่วยก็เห็นอาการชัดเลยละเ้าค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส การที่ในโรงหมอไม่มีผู้อื่น ทำให้นางไม่ต้องคอยระวังรักษากิริยาตัวเองให้เรียบร้อยนัก
“ว่าแต่ท่านพ่อมีเื่อันใดเ้าคะ อย่าให้ลูกเดาอยู่เลย”
มู่หยางซัวถอนหายใจแล้วยกมือดึงเอาเศษใบไม้บนศีรษะของลูกสาวออกอย่างเบามือ “ปีนี้เ้าอายุเท่าไหร่แล้วเหนียงเอ๋อร์”
“ท่านพ่อแก่ขนาดหลงลืมอายุลูกสาวคนเดียวได้อย่างไรกัน” นางเบ้ปากน้อยๆ
“ใช่ๆ พ่อย่อมแก่ลงทุกวัน ถึงได้เป็ห่วงว่าจนเวลานี้พ่อคนนี้ยังไม่มีทรัพย์สินอันใดให้ลูกสาวคนเดียวอย่างเ้าเลย หากวันหน้าเ้าแต่งงานออกเรือนไปจะได้มีสินส่วนตัวบ้าง”
“สมบัติที่ท่านพ่อให้ลูกมานั้นล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดแล้วเ้าค่ะ” นางยิ้ม แววตาเป็ประกายดุจมีดวงดาวพราวระยับในแววตาของนาง “ความรู้ที่ท่านพ่อให้นั้น สามารถทำให้ลูกเลี้ยงตัวเองได้ทั้งชีวิต”
ผู้เป็พ่อได้ยินก็ยิ้มปลื้ม แต่กระนั้นก็ยังไม่วางใจนัก ถึงอย่างไรเขาก็เป็พ่อ พ่อที่ไหนที่ไม่มีแม้กระทั่งบ้านสักหลังให้ลูกอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องประดับให้ลูกสักชิ้น
“ท่านพ่ออย่าคิดมากสิ ทุกวันที่ลูกคัดลอกตำรายาให้ท่านก็ได้ทบทวนความรู้ ทุกครั้งที่ได้ติดตามท่านออกตรวจรักษาก็เสมือนได้ฝึกฝนตนเอง เื่เหล่านี้ไม่มีใครให้ลูกได้เท่าท่านพ่ออีกแล้ว แล้วเช่นนี้จะเรียกว่าท่านพ่อมิได้ให้อะไรแก่ลูกได้อย่างไรกัน”
“แต่เ้าเป็หญิง อย่างไรในวันข้างหน้าเ้าก็ต้องแต่งงาน”
“เหตุใดท่านพ่อคิดจะผลักไสลูกเล่า ท่านพ่อไม่อยากให้ลูกอยู่ด้วยแล้วใช่หรือไม่” หญิงสาวทำกระเง้ากระงอด “ลูกไม่คิดว่าท่านพ่อจะมีความคิดเช่นนี้” นางถลึงตาใส่ “ลูกของท่านคนนี้เป็หญิงที่ตั้งปณิธานแล้วว่าจะเป็หมอหญิงที่ผู้อื่นดูแคลน และลูกก็ไม่มีความคิดจะแต่งงานออกเรือน ลูกจะอยู่ดูแลปรนนิบัติท่านพ่อไปชั่วชีวิต”
“ตอนนี้เ้าก็พูดได้ สักวันเ้ามีคนรักแล้วก็จะลืมพ่อคนนี้”
“งั้นท่านก็แต่งงานใหม่ก่อนสิ แล้วลูกจึงจะวางใจยอมแต่งงานบ้าง” นางหัวเราะออกมา
“พ่ออายุมากแล้ว ซ้ำยังเป็หมอจนๆ ใครจะมาสนใจ”
“โถๆ ท่านพ่อ ท่านพ่อของลูกทั้งหนุ่มและหล่อเหลา มีหญิงสาวนับไม่ถ้วนหมายปองท่าน ไม่รังเกียจที่ท่านมีลูกติดและยากจน”
“เอาละๆ เลิกพูดเื่ของพ่อเถิด” บิดาส่ายหน้าไปมา จนใจเพราะไม่เคยเถียงลูกสาวชนะได้สักครั้งครา
“ถ้าเช่นนั้นลูกถามอาการพี่หลิ่งหลินได้หรือไม่เ้าคะ” นางถามจริงจัง หลังจากวันนั้นแล้วบิดาก็ถูกเชิญไปดูอาการอีกสองครั้ง ยังไม่เห็นวี่แววว่าเคอหลิ่งหลินจะตื่นฟื้น “พี่สาวหลับไปครึ่งเดือนแล้วนะท่านพ่อ”
“ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากเป็ผู้อื่นคงได้ไปนั่งเจรจากับยมทูตในปรโลกแล้ว”
“ลูกเป็ห่วงนาง”
น้ำเสียงอ่อนลงและพูดด้วยความจริงใจ นางรอนแรมติดตามบิดาั้แ่จำความได้ เคอหลิ่งหลินเป็ผู้หญิงนิสัยประหลาดแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ หลังจากที่นางหลงป่าเกือบตายในคราวนั้น เคอหลิ่งหลินก็แวะเวียนมาหานางเสมอๆ พานางออกไปนอกบ้าน เป็เพื่อนขึ้นเขาหาสมุนไพร พอคิดถึงตอนนี้นางก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ เคอหลิ่งหลินไม่เคยบอกว่าตนเองเป็ใคร นางก็เข้าใจไปเอง ต่อไปนี้นางคงต้องจ้างใครสักคนนำทางขึ้นเขาหาสมุนไพรแล้ว
“นางเป็คนดี ไม่เป็อะไรง่ายๆ หรอก”
“ท่านพ่อก็ยอมรับว่านางเป็คนดีแล้วสินะ” มู่ฟางเหนียงแสร้งทำเป็หรี่ตามองบิดา ก่อนหน้านี้ท่านพ่อไม่ค่อยชอบใจกับนิสัยของเคอหลิ่งหลินนัก เพราะชอบพานางออกไปนอกบ้านโดยไม่บอกกล่าวอยู่เรื่อย แถมยังเื่กิริยามารยาทอีก แต่ก็เป็คนเดียวที่บิดาไว้ใจ
“เอาอย่างนี้ ครั้งหน้าถ้าคนที่จวนส่งรถม้ามารับ เ้าก็ไปกับพ่อด้วยก็แล้วกัน”
“เ้าค่ะ” นางยิ้มออกมาได้ แล้วก็ทำหน้าครุ่นคิด “แต่ลูกก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมพี่หลิ่งหลินถึงาเ็หนักเช่นนี้ แล้วทำไมผู้หญิงที่มาจากเมืองหลวงคนนั้นมีไข่มุกหมื่นราตรีมารักษาคุณชายเฉินได้”
“เ้ายุ่งเื่ผู้อื่นเกินไปแล้ว” บิดาปราม
“คนอื่นที่ไหนล่ะ” นางย่นจมูก
“เอาละๆ พ่อแตะต้องนางไม่ได้เลยใช่ไหม นี่นะเรอะที่บอกจะอยู่กับพ่อไปชั่วชีวิต”
“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะท่านพ่อ” นางหัวเราะออกมา “ลูกตากสมุนไพรเสร็จแล้วจะไปคัดตำรายาให้ท่านพ่อ ท่านอยากตรวจที่ลูกทำไว้ก่อนแล้วหรือไม่”
“ตำรายาคัดลอกเมื่อใดก็ได้ แต่เ้ามาเดินหมากกับพ่อสักตาจะเป็ไร”
“ลูกเดินหมากกับท่านก็แพ้ท่านพ่อทุกที ท่านพ่อต่อเพลงขลุ่ยให้ข้าดีกว่า หรือไม่ก็เป็หุ่นให้ลูกฝึกฝังเข็ม อ้อ! เมื่อเช้าลูกลองทำขนมจินเด (ขนมงาทอด) ท่านพ่อลองชิมดูหรือยังเ้าคะ”
“งั้นพ่อขอเลือกขลุ่ยดีกว่า” ท่านหมอยิ้มเอ็นดูลูกสาว
“ลูกไปเอาขลุ่ยก่อนนะเ้าคะ” หญิงสาวหมุนตัวจะไปหยิบขลุ่ยของตนเอง แต่ก็มีคนเข้ามาในโรงหมอ นางแย้มยิ้มต้อนรับ
“แม่นางน้อย ไม่ทราบว่าท่านหมอมู่อยู่หรือไม่”
“ท่านพ่ออยู่เ้าค่ะ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใด ข้าจะไปเรียนท่านพ่อให้ทราบ”
“ลูกชายข้าตกจากหลังม้า ข้าจะพาเขามาหาท่านหมอ แต่พอขยับหรือจับตัว เขาก็ร้องโอดครวญเ็ปสาหัส ข้าจึงต้องบากหน้ามาเชิญท่านด้วยตัวเอง”
“โปรดรอสักครู่” นางผงกศีรษะอย่างเข้าใจ หมุนตัวจะเดินไปตามบิดาแต่ท่านพ่อก็เดินมาก่อนแล้ว
“ทำถูกแล้ว คนตกจากม้าไม่ควรขยับตัวมากนัก มิเช่นนั้นกระดูกอาจเคลื่อนได้”
“ท่านหมอจะไปดูอาการลูกชายข้าใช่ไหม?”
“อืม” หมอมู่พยักหน้ารับแล้วหันไปทางลูกสาว นางเดินผลุบหายไปหยิบล่วมยาส่งให้บิดา “เ้าอยู่บ้านดีๆ ล่ะ”
“เ้าค่ะ”
นางรับคำแล้วมองบิดาออกไปกับคนกลุ่มนั้น ใบหน้าหวานระบายยิ้ม ท่านพ่อนี่ก็พูดเหมือนนางจะออกไปที่ไหนได้ หญิงสาวเดินวนกลับเข้าไปในครัว หลังจากไปรักษาเคอหลิ่งหลินที่จวนแม่ทัพจ้าว นอกจากจะได้ค่ารักษามาแล้ว ฮูหยินอี้ซิ่วยังจิตใจดี แบ่งปันแป้งข้าวโพดและแป้งสาลีมาให้นางไว้ทำอาหาร คงเพราะได้ยินมาว่าสองพ่อลูกรักษาผู้คนไม่รับเงินแต่ก็ไม่มีรายได้ จึงแบ่งปันของกินของใช้มาให้ นางไม่แปลกใจเลยที่เคอหลิ่งหลินเป็คนจิตใจงามเพราะดูจากฮูหยินและท่านแม่ทัพแล้วก็ล้วนเป็ผู้มีเมตตา
มีแต่บุรุษผู้นั้น นางได้เจอเขาเพียงครั้งเดียวในวันแรกที่ได้เข้าจวนแม่ทัพจ้าว แล้วก็ไม่ได้พบเขาอีก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแบบที่สังหารสตรีได้เพียงยิ้มเดียว ทว่าหนึ่งในนั้นไม่ใช่นางอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่รบกวนนางก็คือสายตาของเขายามจ้องมองเคอหลิ่งหลินที่าเ็สาหัส แววตามีความห่วงหาอาทรปนปวดร้าวแจ่มชัด นางไม่กล้าเอ่ยปากถามว่าเขาเป็ใคร ดูจากที่เขารำเพลงกระบี่ระบายโทสะนั้นแล้วคงเป็ทหารคนหนึ่งแต่นางก็ไม่กล้าเดายศตำแหน่งของเขา ขนาดเคอหลิ่งหลินที่นางรู้จักมาสองปี มาวันนี้เพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็ถึงบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงผู้เกรียงไกร
นางได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ตั้งใจจะเดินไปหยิบตำราแพทย์กับขนมที่ทำไว้มากินเพลินๆ นานๆ จะมี่เวลาที่ว่าง ไม่มีคนเจ็บคนป่วยสักคราหนึ่ง แต่ยังไม่ทันไร นางก็รู้สึกว่าหน้าบ้านมีคนมาอีกแล้ว คงเพราะอยู่ที่นี่ถึงสองปีจึงคุ้นชินกับความรู้สึกเหล่านี้ นางเดินไปที่หน้าบ้านก็เห็นพ่อบ้านของจวนแม่ทัพจ้าว พอเห็นหน้านางก็ยิ้มออกมาทันที
“แม่นางมู่”
“พ่อบ้านตู้” นางทักทาย “ท่านพ่อเพิ่งออกไปดูคนเจ็บเมื่อครู่เอง”
“อ่อ...” เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“อาการพี่หลิ่งหลิน เอ่อ...ไม่ใช่สิ ท่านหญิงเป็อย่างไรบ้าง มีอะไรผิดปกติหรือไม่เ้าคะ”
“ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมนัก แต่ฮูหยินอี้ซิ่วร้อนใจ อยากให้ไปดูอาการคุณหนูสักหน่อย”
“ได้เ้าค่ะ แต่ไม่รู้ท่านพ่อจะกลับเมื่อไหร่ ถ้าอย่างไรข้าไปดูอาการให้ก่อนดีไหมเ้าคะ”
“เห็นทีต้องรบกวนแม่นางมู่แล้ว”
“โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยเก็บของสักประเดี๋ยว”
หญิงสาวรีบหมุนตัวเดินไปหยิบล่วมยาของตนเอง แล้วนางก็นึกถึง ‘น้องชาย’ ของพี่หลิ่งหลิน ระหว่างที่พี่สาวหมดสติหลับใหลเช่นนี้คงเหงาแย่ นางเดินไปหยิบขนมจินเด รู้ดีว่าในจวนแม่ทัพคงมีของกินอร่อยๆ แต่นางก็จำได้ว่าพี่หลิ่งหลินของนางชื่นชอบขนมที่นางทำขนาดไหน และมักเปรยอยู่เสมอว่าอยากให้น้องชายเอาแต่ใจคนนั้นได้กินขนมอร่อยๆ ฝีมือนาง หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ชีวิตนางโดดเดี่ยว เป็ลูกคนเดียวที่ติดตามบิดาที่ชอบเดินทาง จึงทำให้นางไม่มีเพื่อนสนิท รวมถึงไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน พอได้พบกับเคอหลิ่งหลินแล้ว นางก็รู้สึกราวกับว่ามีพี่สาวจริงๆ และมีน้องชายอีกคน น้องชายที่นางไม่รู้จัก เพียงแต่ได้ยินเื่ราวจากปากของเคอหลิ่งหลินเท่านั้น
“ขออภัยที่ให้รอเ้าค่ะ” นางรีบเดินเร็วๆ ออกไปที่หน้าบ้าน ท่านพ่อบ้านยื่นมือไปรับล่วมยามาช่วยถือ แต่นางส่ายหน้าและยื้อไว้ “มิเป็ไรเ้าค่ะ ข้าน้อยถือเองได้”
“ล่วมยาของแม่นางมู่ดูท่าจะหนัก ให้ข้าช่วยเถอะ”
ในที่สุดพ่อบ้านก็คว้าล่วมยาที่เป็กล่องไม้สี่เหลี่ยมของนางไปถือ นางได้แต่แอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินตามไปที่รถม้า เงื่อนไขเดียวที่จะให้นางไปรักษาก็คือต้องมารับและมาส่งนางด้วย นางไม่ได้ถือตัวว่าตนเองเป็หมอให้ผู้เคารพแต่เพราะนาง ‘หลงทิศ’ ขนาดอยู่เมืองนี้มาสองปี นางยังจำทางไม่ได้ ครั้งก่อนที่คุณชายเฉินอาการทรุดหนัก นางออกจากบ้านเพื่อไปตามหาเคอหลิ่งหลิน รู้เพียงแค่ว่าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว นางถามทางไปทั่วแต่ก็ยังเลี้ยวผิด โชคดีที่เคอหลิ่งหลินกำลังจะไปหาคุณชายเฉินอยู่แล้วจึงเห็นนางเข้า ทำให้นางไม่ต้องร้องไห้เพราะหลงทางในเมืองที่อยู่มาถึงสองปีแล้ว
ไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย หญิงสาวลงจากรถม้าแล้วเดินตามพ่อบ้านไปที่ห้องของเคอหลิ่งหลิน เมื่อเปิดประตูห้องก็พบฮูหยินอี้ซิ่วนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นางย่อตัวคารวะตามมารยาทแล้วจึงขอไปจับชีพจรหญิงสาวที่ยังไม่ได้สติ แต่กระนั้นสีหน้าก็ดีขึ้น แก้มฝาดเื ดูเหมือนคนหลับไปเท่านั้น
“เป็อย่างไรบ้าง เมื่อไหร่นางจะฟื้น”
“ข้าน้อยยังไม่อาจบอกได้ว่าท่านหญิงจะฟื้นเมื่อใด แต่สีหน้าของท่านหญิงดีขึ้นมาก ชีพจรก็ชัดเจนขึ้น ระหว่างนี้ต้องรบกวนพี่ชุนเอ๋อร์พลิกตัวท่านหญิงบ่อยๆ จะได้ไม่เกิดรอยช้ำจ้ำเืเพราะการนอนท่าเดียวนานเกินไปเ้าค่ะ”
“ปกติข้าชอบดุนางที่ซุกซนเกินเหตุ อยากเห็นนางเรียบร้อยเป็กุลสตรี แต่พอเห็นนางเอาแต่นอนแบบนี้ ข้าใจคอไม่ดีเลยจริงๆ”
“ฮูหยินโปรดวางใจ อย่างไรแล้วท่านหญิงต้องฟื้นอย่างแน่นอนเ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงมองสีหน้าฮูหยิน ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากออกไป
“เรียนจ้าวฮูหยิน ข้าน้อยขอบังอาจจับชีพจรของท่านได้หรือไม่เ้าคะ”
“เอ๋? ข้าป่วยรึ”
“สีหน้าท่านอ่อนเพลียมากเ้าค่ะ”
“จริงด้วยเ้าค่ะ ฮูหยินเอาแต่เป็ห่วงคุณหนู ข้าวปลาอาหาร ท่านก็กินได้นิดเดียวเองนะเ้าคะ อย่างไรให้แม่นางมู่ตรวจดูสักเถิดเ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์พูดด้วยความเป็ห่วง
“ข้าว่าข้าไม่ได้เป็อะไรหรอก แต่ถ้าทำให้พวกเ้าสบายใจก็ตรวจดูสักนิดก็ได้”
“เ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงจับชีพจรของจ้าวฮูหยิน แล้วขอให้นางอ้าปากกว้างๆ เพื่อดูลิ้น ลิ้นเป็ฝ้าขาว
“่นี้จ้าวฮูหยินเดินทางตากแดดบ่อยหรือไม่เ้าคะ”
“อืม ระยะนี้ไปวัดวาอารามรวมทั้งศาลเ้า บนบานให้หลิ่งหลินตื่นฟื้นเป็ปกติแทบทุกวัน” ฮูหยินอี้ซิ่วตอบ
“ระยะนี้อากาศร้อน จ้าวฮูหยินควรดื่มน้ำให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าได้กังวลเื่อื่นไป และใช้น้ำเกลือผสมน้ำอุ่นเล็กน้อยคนให้ละลายแล้วนำมากลั้วคอบ้วนปาก จะช่วยลดอาการฝ้าขาวที่ลิ้นและเจ็บคอได้เ้าค่ะ”
“จริงด้วย ่นี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ ซ้ำยังเจ็บคออีกด้วย”
“ข้าน้อยจะเขียนเทียบยาให้ เป็ยาบำรุงสุขภาพเ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยอย่างสงบ ชวนให้คนฟังสบายใจ “ส่วนท่านหญิง ข้าน้อยจะปรับยาบำรุงให้”
“เสียงของเ้านี่ทำให้คนฟังสงบใจลงได้มาก เอาละ...ข้าเห็นเ้าอยู่ก็สบายใจ ใจจริงอยากเชิญเ้ากับพ่อของเ้ามาอยู่เสียด้วยกันจนกว่าหลิ่งหลินจะฟื้น แต่สามีข้าก็เตือนสติว่าพวกเ้าเป็หมอ ชาวบ้านเดือดร้อนเจ็บป่วยจะไปหาใคร หากท่านหมอมู่ว่าไม่เป็อะไร ข้าก็ย่อมต้องเชื่อใจผู้เป็หมอ”
“ขอบพระคุณเ้าค่ะ”
“เอาละ ข้าจะไปพักผ่อนเสียหน่อย ขาดเหลืออะไรเ้าก็บอกชุนเอ๋อร์หรือพ่อบ้านได้”
“ข้าน้อยทราบแล้วเ้าค่ะ”
จ้าวฮูหยินตบหลังมือของมู่ฟางเหนียงเบาๆ และมองใบหน้าอ่อนหวานอย่างเอ็นดู แม้หญิงสาวตรงหน้าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสีซีดจางจากการซักหลายต่อหลายครั้ง แต่ดวงตาที่เป็ประกายและกิริยาอ่อนหวานนี้เป็ที่น่าประทับใจเสียจริง
“อ่อ! ได้ยินว่าเ้าชอบอ่านหนังสือ ในห้องตำรามีหนังสือมากมายนัก เ้าจะหยิบยืมไปอ่านที่บ้านก็ได้ แต่ต้องเอากลับมาคืนนะ”
“จริงหรือเ้าคะ” ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างดีใจ แล้วก็นึกว่าได้ว่าแสดงอาการดีใจเกินไป นางก็หลุบตาลง แต่เรียกเสียงหัวเราะจากจ้าวฮูหยินได้
“เอาสิ ไปเลือกไปหยิบเอาได้ จะอ่านนานแค่ไหนก็ได้ แต่เอามาคืนก็พอ”
“ขอบพระคุณเ้าค่ะ ข้าน้อยจะดูแลอย่างดีที่สุด”
มู่ฟางเหนียงดีใจเป็ที่สุด นางชอบอ่านหนังสือหรือตำราต่างๆ แต่เพราะฐานะของนางและพ่อ นางจะซื้อของใช้แต่ละอย่างต้องคิดแล้วคิดอีก พอได้ยินเช่นนี้ หัวใจของนางก็พองโตด้วยความดีใจและซาบซึ้งใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วเมตตา นางรอส่งฮูหยินอี้ซิ่วออกจากห้องไปแล้ว ก็หันไปดูเคอหลิ่งหลินที่หลับอยู่บนเตียง
“พี่สาว” นางเรียกด้วยรอยยิ้ม เดินไปหยิบขนมจินเดออกมา “ท่านชอบขนมของหวานนัก วันนี้ข้าทำขนมงาหรือจินเดมาด้วย ท่านพ่อไม่ชอบของหวาน ท่านรีบตื่นมากินขนมฝีมือข้าเสียทีสิ ท่านรีบตื่นเถอะนะรอบกายท่านมีแต่คนรักและเป็ห่วงท่าน ท่านควรรีบตื่นให้พวกเขาดีใจได้แล้วนะ”.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้