“พี่สะใภ้ ข้าได้ยินจากพี่รองว่าวรยุทธ์ของท่านช่างล้ำเลิศ เช่นนั้นท่านอยากจะลองพิจารณาสอนข้าดูได้หรือไม่?”
เหยียนหานกะพริบตาอย่างเ้าเล่ห์ เห็นอีกฝ่ายตะลึงงันจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าบอกเื่พี่รองแก่ท่านได้หลายเื่เลยนะ รวมถึงสตรีที่ชอบเขาด้วย ท่านยังไม่รู้อะไร สตรีที่ชมชอบเขาในเมืองฝูซังมีมากมายนัก ฮ่าๆ”
“หืม?”เว่ยซูหานเลิกคิ้วพลางพยักหน้า “ได้สิ”
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็แผนการเล็กๆ น้อยๆ ของแม่นางน้อย เว่ยซูหานยังคงยิ้มรับคำ
เหยียนหานยิ้มตาหยี สุดท้ายความจริงก็เปิดเผย ทั้งๆ ที่นางบอกว่าจะเล่าเื่เหยียนชิงให้เว่ยซูหานฟัง แต่ความจริงแล้วกลับเป็ตัวนางเองที่เอาแต่ถามเว่ยซูหานไม่จบ แต่เว่ยซูหานยังคงตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนู ฮูหยินให้ท่านไปที่เรือนหลานถิงเ้าค่ะ คุณหนูม่อมาเยี่ยม จึงอยากให้ท่านไปดื่มชาเป็เพื่อนนาง”
คนที่พูดคือจิ้งเอ๋อร์สาวใช้ในเรือนของฮูหยินเหยียน นางเอ่ยด้วยท่าทางหวาดกลัว
เหยียนหานเบ้ปากกล่าวอย่างโกรธเคือง “...ไม่ไปได้หรือไม่?”
จิ้งเอ๋อร์ส่ายหัวด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ “เกรงว่าจะไม่ได้นะเ้าคะ”
เว่ยซูหานที่อยู่ด้านข้างหัวเราะขึ้นมา “ในเมื่อมีแขกมา หานหานก็ไปเป็อยู่เป็เพื่อนนางเถอะ”
ตระกูลเหยียนเป็ตระกูลที่มีชื่อเสียง มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายใน่เทศกาลตรุษจีน ไม่ว่าใครก็ตามที่พอจะมีฐานะก็ต้องมาพบปะกับตระกูลเหยียนสักครา
“ก็ได้” เหยียนหานตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะหันไปพูดกับจิ้งเอ๋อร์ “เ้ากลับไปบอกท่านแม่ก่อน เดี๋ยวข้าตามไป”
จิ้งเอ๋อร์กล่าวลา เว่ยซูหานมองเด็กหญิงที่บุ้ยปากแล้วยิ้มปลอบใจ
“เ้าค่ะ” เด็กสาวพยักหน้า มองจิ้งเอ๋อร์เดินจากไปไกลแล้ว นางถึงได้ลดเสียงกระซิบเว่ยซูหาน
“พี่สะใภ้ คุณหนูม่อคนนี้เป็หนึ่งในคนที่ชื่นชอบพี่รอง วันตรุษจีนของทุกปีจะมาเยี่ยมท่านแม่ แต่นางเป็คนรู้ความ ท่านแม่เองก็ชอบนางเช่นกัน”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยซูหานก็หุบลง พอนางพูดต่อไป คนแซ่ม่อในเมืองฝูซังมีไม่น้อย ก็ไม่รู้ว่าเป็บ้านไหน
เหยียนหานเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เชื่อ จึงอธิบายต่อ
“เฮ้อ พี่สะใภ้ไม่เชื่อข้าสินะ ม่อเสียวเสี่ยวอายุมากกว่าข้าหนึ่งปี นางอายุสิบหกปีแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เรียนอยู่สำนักประจำกับข้า ตอนนั้นที่กลับมาบ้านพร้อมกับข้า นางก็ตกหลุมรักพี่รองแล้ว”
“ม่อเสียวเสี่ยว?”เว่ยซูหานพลันตกตะลึง “บุตรสาวของเถ้าแก่ม่อเจียโหลวน่ะหรือ?”
“ก็นางนั่นแหละ” เหยียนหานพยักหน้า
“ภัตตาคารมากมายในเมืองฝูซังแห่งนี้ล้วนเป็ของเรือนนาง ถึงแม้จะเป็บุตรสาวคนเดียวของนายท่านม่อ แต่ก็ได้รับความโปรดปราน"
“อ่อ”
หัวใจของเว่ยซูหานจมดิ่งลง ไม่รู้สึกสบายเลยสักนิด
ตระกูลแซ่ม่อในเมืองฝูซังมีหลายคน อาจไม่บังเอิญเกี่ยวข้องกันขนาดนั้น ม่อเสียวเสี่ยวผู้นี้ชาติที่แล้วเขารู้จักดี เพราะชาติที่แล้วหลังจากเหยียนิฮ่วนได้ดูแลตระกูลเหยียน ม่อเสียวเสี่ยวผู้นี้ก็กลายเป็อนุภรรยาที่เหยียนิฮ่วนโปรดปราน
และเพราะความอิจฉาริษยาของม่อเสียวเสี่ยว รวมไปถึงแรงกดดันจากเหล่าแม่ทัพเก่าของท่านพ่อ ผนวกกับสถานการณ์ชายแดนในตอนนั้นตึงเครียด ท่านตี้จวินจึงทำเป็ปิดตาข้างหนึ่งและทำให้เขามีโอกาสหนีเหยียนิฮ่วนไปที่ชายแดนได้ หลังจากได้หนังสือหย่าเขาก็กลับมาเป็ขุนนางอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ใช่สตรีที่น่ารักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ช่วยเขาทางอ้อม เขาจึงไม่มีความแค้นต่อนาง
แต่ชาติที่แล้วเขาไม่เคยได้ยินว่าม่อเสียวเสี่ยวชอบเหยียนชิง กลับกันเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากเหยียนิฮ่วน นางต่อสู้กับเหล่าสตรีของเหยียนิฮ่วนอย่างเอาเป็เอาตาย ตอนนี้พอได้ยินเหยียนหานกล่าวเช่นนี้ ก็ทำให้เขาได้สติกลับมา
ในชาติที่แล้วม่อเสียวเสี่ยวอายุยี่สิบปีก็ไม่เคยหมั้นหมาย แต่พออายุมากขึ้นกลับได้เป็อนุภรรยาของเหยียนิฮ่วน เกรงว่าอาจมีเื่อะไรแอบแฝงอยู่ นางอาจทนรอเหยียนชิงไม่ได้ หรืออาจเป็เพราะเหยียนชิงไม่ใช่หัวหน้าของตระกูลเหยียน...
“พี่สะใภ้”
เหยียนหานใช้พัดโบกไปมาตรงหน้าเขา
เว่ยซูหานที่จมอยู่ในห้วงความคิดได้สติกลับมา ถามเสียงเบาว่า “แล้วชิงเอ๋อร์มีท่าทีอย่างไร?”
เหยียนหานส่ายหน้าไปมา
“พี่ชายข้าเป็หนอนหนังสือ รู้เพียงแต่อ่านตำราจะไปเข้าใจอะไร ท่านแม่เคยกล่าวว่ารอให้พี่ชายเข้าพิธีสวมกวานเสียก่อนจึงตัดสินใจ แต่ตอนนี้เขาแต่งงานกับท่านแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แหะๆ พี่สะใภ้ ท่านระแวงล่ะสิ? พี่รองเป็คนที่เข้าใจสถานการณ์ หากทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล ไม่แน่ว่าเขาอาจจะแต่งงานกับม่อเสียวเสี่ยวก็ได้”
“สาวน้อยเ้าพูดเหลวไหลอะไร” เว่ยซูหานหุบยิ้มทันที แต่พอคิดอีกทีก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นเ้าจะช่วยข้าหรือไม่”
ดวงตาของเหยียนหานเป็ประกายและกระซิบว่า
“พี่รองเป็คนจริงจัง ไม่เหมือนพี่ใหญ่ที่ทำตามข้าทุกอย่าง ดังนั้นข้าจึงกลัวพี่รองมากกว่าพี่ใหญ่ พี่สะใภ้สัญญากับข้าก่อนว่าในอนาคตถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้า ก็ช่วยข้าดูแลพี่รอง สัญญากับข้าว่าจะไม่ให้ใครแย่งเขาไป ได้หรือไม่?”
จากสัญชาตญาณของหญิงสาว นางรู้สึกว่ามีเพียงเว่ยซูหานเท่านั้นที่สามารถกดพี่รองลงได้
เว่ยซูหานจนปัญญากับแผนการเล็กๆ น้อยๆ ของนาง ยังคงยิ้มพลางพยักหน้า “ได้ ข้ารับปากเ้า”
เหยียนหานยื่นนิ้วก้อยออกมาด้วยใบหน้าซุกซน “เกี่ยวก้อยสิ”
เว่ยซูหานยิ้มพลางยื่นนิ้วออกไป ทั้งสองสัญญากันแล้ว เหยียนหานจึงฮัมเพลงแล้วเดินจากไป เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดเดินแล้วหันหลังกลับมา
“พี่สะใภ้ ตอนที่ท่านเรียกพี่ชายข้าว่าชิงเอ๋อร์มันช่างน่าขนลุกเหลือเกิน”
นางพูดจบก็ก้าวออกไป
เว่ยซูหานหัวเราะและส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ก่อนจะไปจัดการเื่ของตนต่อ ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่มีใครแย่งเหยียนชิงไปจากเขาได้ แม้เขาจะเข้าใจเื่ราวทั้งหมด ทั้งมีจิตใจที่มั่นคง แต่ตลอดทั้งวันนี้หัวใจของเขากลับไม่อาจสงบลงได้ เขามักจะคิดถึงเื่ที่ม่อเสียวเสี่ยวชอบเหยียนชิงอยู่ตลอด...
โดยเฉพาะยามบ่ายเมื่อเห็นเหยียนชิงและเหยียนหานส่งม่อเสียวเสี่ยวออกมาจากเรือนหลันถิง ในใจของเขาก็ยังคงตกตะลึง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอย่างไรเหยียนชิงก็จะต้องเป็หนึ่งในคนที่อยู่เป็เพื่อนด้วยแน่นอน
“พี่สะใภ้”
เหยียนหานที่ตาเฉียบคมสังเกตเห็นเขาอย่างรวดเร็ว จึงะโเรียกไว้ เว่ยซูหานที่เดิมทีไม่อยากจะไป ทว่าเมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ในใจก็แอบชื่นชมไหวพริบของตน หากเหยียนชิงไม่เอ่ยปากเขาก็คงไม่กล้าก้าวก่าย
เหยียนชิงแอบสังเกตสีหน้าของเว่ยซูหานก่อนจะเอ่ยแนะนำม่อเสียวเสี่ยว
“แม่นางม่อ ท่านนี้คือฮูหยินของข้า เว่ยซูหาน นามรองคือ ฉือเฟิง”
พูดจบก็แนะนำเว่ยซูหาน
“ซูหาน นี่คือคุณหนูม่อผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลม่อ เ้าก็น่าจะรู้ดี”
ม่อเสียวเสี่ยวที่เป็คุณหนูตระกูลใหญ่ผู้ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี ได้ยินเช่นนั้นจึงโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “คารวะฮูหยินน้อย”
เว่ยซูหานพยักหน้า “คุณหนูม่อเกรงใจเกินไปแล้ว”
ใบหน้างดงามของม่อเสียวเสี่ยวในตอนนี้ช่างเยาว์วัยอ่อนหวาน แตกต่างจากหญิงสาวที่งดงามเ้าเล่ห์และเต็มไปด้วยแผนการในชาติก่อนนัก
ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แข็งกระด้างของเว่ยซูหาน ม่อเสียวเสี่ยวแอบปรายตามองเหยียนชิงครู่หนึ่ง แต่กลับพบว่าเหยียนชิงไม่ได้แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงลอบมองเว่ยซูหานอยู่หลายรอบ ก่อนจะนึกถึงข่าวลือในเมืองฝูซังว่าคุณชายใหญ่แห่งจวนตระกูลเหยียนเคารพภรรยาชายมาก ดูท่าจะเป็เื่จริง
เหยียนหานมีสายตาที่เฉียบคม หลังจากพูดคุยกันไม่กี่ประโยค นางก็เป็ฝ่ายดึงมือของม่อเสียวเสี่ยว
“เอาละ พี่ชาย พี่คุยกับพี่สะใภ้ไปเถอะ พี่อยู่เป็เพื่อนพวกเรามาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวข้าจะเป็คนไปส่งพี่สาวเอง ไม่ได้เจอกันเสียนาน พวกเรายังมีเื่ต้องพูดคุยกันอีกเยอะนัก”
ม่อเสียวเสี่ยวกัดริมฝีปากเบาๆ เพื่อปกปิดความไม่พอใจ นางมองเหยียนชิงอย่างเขินอายและกระซิบว่า
“คุณชายรอง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน หากมีเวลาข้าจะมาเยี่ยมใหม่”
พูดจบก็พยักหน้าให้เว่ยซูหานก่อนจะเดินหันหลังจากไป
เว่ยซูหานไม่พอใจกับสายตาระริกระรี้ของนางที่ไม่ปิดบังสักนิด ทว่ากลับไม่ได้พูดอะไร ส่วนเหยียนชิงยิ้มพลางประสานมือคารวะ
“คุณหนูม่อเดินระวังด้วย”
เห็นเหยียนหานกับม่อเสียวเสี่ยวพูดคุยหัวเราะแล้วเดินออกจากประตูไป เหยียนชิงจึงหันกลับไปมองเว่ยซูหาน ก็เห็นว่าเขากำลังจ้องมองมาทางตน ทำให้เขารู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก จึงจับมือเว่ยซูหานขึ้นมา
“เ้ายังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่? ไปกินข้าวกันเถอะ เ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว?”
“อืม”
เมื่อเว่ยซูหานกุมฝ่ามือของเขาไว้ ในใจจึงรู้สึกสบายขึ้น ว่ากันว่าสตรีที่ขี้อิจฉาริษยาทุกคนจะมีนิสัยที่ต่างออกไปจากเดิมเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่นางชอบ แต่กระนั้นเขาก็ไม่อยากจะให้เหยียนชิงเจอม่อเสียวเสี่ยวอีก
เหยียนชิงย่อมรู้ว่าเว่ยซูหานรู้สึกไม่สบายใจเพราะม่อเสียวเสี่ยว ถึงแม้ว่าม่อเสียวเสี่ยวจะหยิ่งยโส แต่แววตาของนางกลับไม่ปิดบัง คนอย่างเว่ยซูหานจะมองไม่ออกได้อย่างไร
เพียงแต่เขาคงไม่อยากพูดให้มากความ ในใจของเขาไม่มีความคิดเป็อื่นกับม่อเสียวเสี่ยว เมื่อก่อนเขาอาจจะไม่เข้าใจ ทว่าหลังจากเกิดใหม่กลับรู้ชัดแจ้ง ชาติที่แล้วม่อเสียวเสี่ยวเป็หนึ่งในพี่สะใภ้ของเขา เพียงตอนนี้ในใจของเขา คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหยียนิฮ่วน นอกจากเว่ยซูหานแล้ว เขาก็ไม่ชอบใครทั้งนั้น
เว่ยซูหานรู้สึกขัดใจเล็กน้อย แต่ด้วยประสบการณ์จากการหึงหวงเมื่อหลายวันก่อนจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่เก็บเอาไว้ในใจ ทุกอย่างเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงชามและตะเกียบเท่านั้น
“บ่ายแล้ว ชิงเอ๋อร์ เ้าพักผ่อนเถอะ ข้ายังมีเื่ต้องทำอีก”
เว่ยซูหานวางชามและตะเกียบลงก่อนจะลุกขึ้น วันนี้ต่อให้ไม่สบอารมณ์แค่ไหนก็ะเิออกมาไม่ได้
ในใจของเหยียนชิงอึดอัดยิ่งนัก ก่อนจะพยักหน้าอย่างเศร้าๆ “เ้าเองก็อย่าเหนื่อยเกินไป อย่าหักโหมมากนัก”
เว่ยซูหานออกจากหอชิงเฟิง ส่วนเหยียนชิงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะ เขาจัดการเื่ทุกอย่างได้ดี ยกเว้นเื่ระหว่างพวกเขาสองคน ทุกครั้งเขารู้สึกว่าตัวเองควรจะมีเหตุผล แต่พอจัดการด้วยเหตุผลก็รู้สึกทุกข์ใจ กระทั่งรู้สึกกลัว ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเ็าเช่นนี้ต่อไปหรือไม่?
อิ้งหลีและเฉินเซียงเข้ามาก็เห็นคนที่มีสีหน้าคับข้องใจและเ็ปของเขา พวกเขามองหน้ากันพลางส่ายหัว พวกเขาติดตามเหยียนชิงมาั้แ่เด็ก เหยียนชิงรู้สึกอย่างไรกับเว่ยซูหานไม่อาจปิดบังพวกเขาได้ ชอบมากแต่กลับต้องควบคุมตัวเอง นั่นมันวิธีทรมานตนชัดๆ
“คุณชาย”
เฉินเซียงเดินไปข้างหน้าเพื่อเก็บจานและตะเกียบ เหยียนชิงจึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะนวดหว่างคิ้วและสั่ง
“ข้าจะไปห้องหนังสือ อีกเดี๋ยวก็ยกเหยือกน้ำชามาส่งให้ด้วยนะ”
พูดจบก็หันหลังเดินออกไป อิ้งหลีเดินตามหลังเข้าไปในห้องหนังสือ รอจนเขานั่งลงจึงเดินไปตรงหน้าแล้วกล่าวว่า
“คุณชาย เื่ที่ท่านให้พวกเราทำ ตอนนี้จัดการเรียบร้อยแล้วนะขอรับ”
คนที่ยังไม่ได้สติกลับมาเอ่ยถามว่า “เื่อะไรหรือ?”
อิ้งหลี “ก็เื่ที่หาสตรีให้ฮูหยินน้อยอย่างไรล่ะขอรับ”
“อ๋อ...” เหยียนชิงพยักหน้าทันที “ข้าเกือบลืมไปแล้ว...”
อิ้งหลีก้มหน้าลง “จะให้พามาคืนนี้เลย หรือว่าค่อยเลือกวันดีล่ะขอรับ?”
หรือควรจะบอกว่าไม่ส่งแล้ว หาก้ายัดเยียดสตรีให้เว่ยซูหานจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตนจะเสียใจจนมีสภาพอย่างไรบ้าง?
เหยียนชิงกำหมัดแน่นแล้วพยักหน้า
“...ส่งคืนนี้เถอะ เ้าเองก็จัดการให้เรียบร้อย จำไว้ว่าต้องปิดหูปิดตานางด้วย”
ส่งสตรีไยต้องเลือกวันด้วยเล่า วันนี้ก็คือวันดีไม่ใช่หรือไง? แต่ว่าเว่ยซูหานบอกว่าคืนนี้จะไปดูโคมไฟริมแม่น้ำกับท่านแม่....
“ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
อิ้งหลีถอยออกไป เหยียนชิงใช้มือค้ำหน้าผาก ก่อนจะหลับตาลง เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกแย่ขนาดนี้เล่า