เนื่องจากเป็งานเลี้ยงตรุษจีนของตระกูล ดังนั้นครอบครัวของฮูหยินถังและครอบครัวของเขาจึงต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย ซึ่งจะเป็งานที่จัดอย่างยิ่งใหญ่อยู่ทุกปี
หลังจากเหยียนชิงเดือดดาลอยู่นาน ทำให้ผู้มาเยือนเรือนในตอนนี้เมื่อได้เห็นสีหน้าก็เข้าใจถึงสถานการณ์ สำหรับเหยียนชิงฮูหยินเหยียนนั้นยังไม่ต้องเอ่ยถึง แม้ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนในจวนตอนนี้จะไม่ได้ดูแคลนเว่ยซูหานที่ดูแลเื่ในจวนเฉกเช่นเมื่อก่อน ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ได้รับการต้อนรับจากเว่ยซูหานอยู่ดี จึงทำได้เพียงบากหน้าเดินเข้ามาเอ่ยคำทักทาย
โดยเฉพาะเหยียนิฮ่วน จนถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมเว่ยซูหานถึงไม่ต้อนรับเขา ไม่ว่าจะเื่อะไรเว่ยซูหานก็แอบกดดันเขาอยู่เงียบๆ ทว่าเขากลับหาข้อบกพร่องของอีกฝ่ายหรือข้อโต้แย้งอันใดมาทัดทานไม่ได้เลย
กระทั่งบางครั้งยังรู้สึกว่าสายตาของเว่ยซูหานถึงขนาดแผ่กลิ่นไอสังหารออกมา ทำให้เขาขนลุกขนพอง บอกได้คำเดียวว่าเขาไม่กล้าแม้จะเดินทางไปกับเว่ยซูหานในที่เปลี่ยวตามลำพัง ใครจะรู้ว่าหากเขาไปแล้วจะได้กลับมาอีกหรือไม่ แต่จนถึงตอนนี้เว่ยซูหานก็ยังไม่เคยแตะต้องเขาแม้แต่ปลายผม ความอึดอัดที่มีอยู่เต็มท้องจึงทำได้แต่เพียงกลืนกลับไป
การกระทำของเหยียนชิง ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดจาถากถางหรือเยาะเย้ยต่อหน้าเว่ยซูหานอีก บรรยากาศงานเลี้ยงครอบครัวดูสนุกสนาน เหยียนชิงพอใจยิ่งนัก ทั้งอารมณ์ของเว่ยซูหานก็ยังดีขึ้น ในตอนนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับครอบครัวของเหยียนิฮ่วนได้อย่างเปิดเผยแล้ว เื่ชาติที่แล้วไม่อาจหวนคืนกลับไปได้ ตอนนี้เขาจึงไม่อยากก่อให้เกิดความวุ่นวายเพราะเศษเดนเพียงคนเดียว
ฮูหยินเหยียนพึงพอใจกับเว่ยซูหานเป็อย่างมาก นางย่อมไม่เข้าไปก้าวก่ายเื่ที่เหยียนชิงตามใจเว่ยซูหาน หลังจากเว่ยซูหานแต่งเข้าจวนมา นางก็เหมือนมีบุตรชายที่มีหน้าตาดี
ที่มีความสามารถโดดเด่นเพิ่มขึ้นมาอีกคน นางไม่รู้สึกอายทั้งยังรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ฮูหยินเหยียน ฮูหยินถังและผู้าุโในเรือนต่างจิบชาพูดคุยกัน ส่วนลูกหลานก็พากันเข้ามาบอกลากันไปตามลำดับ
เหยียนิฮ่วนเป็จอมเ้าชู้เ้าสำราญ ไม่ต้องบอกกล่าวผู้คนต่างก็รู้ดี เขาเรียกกลุ่มเพื่อนที่มีนิสัยเ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอกออกไปหาความสำราญ ส่วนเหยียนหานที่มีนิสัยร่าเริง นางนัดเหยียนหรูเสวี่ยลูกพี่ลูกน้องออกไปปล่อยโคมลอยขอพรที่ริมแม่น้ำ สุดท้ายงานเลี้ยงของตระกูลจึงดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด
เหยียนชิงเป็ห่วงน้องสาวจึงส่งองครักษ์เงาสองคนตามไปอารักขาจึงได้วางใจ
“ชิงเอ๋อร์ พวกเราไปดูโคมลอยที่ริมแม่น้ำกันเถอะ”
เว่ยซูหานพูดกล่าวด้วยรอยยิ้ม เหยียนชิงเองก็เห็นดีด้วย เมื่อพวกเขาจวนจะออกจากเรือน อิ้งหลีก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อย จะว่าไปแล้วนี่เป็ครั้งแรกที่พวกเขาได้ออกไปเที่ยวด้วยกันั้แ่แต่งงานกันมา ไม่ได้มีใครติดตาม มีเพียงแค่พวกเขาสองคน ปกติต่างคนต่างมีเื่ต้องสะสาง จึงไม่ได้มีโอกาสแบบนี้
เพียงแต่ว่าตลอดเส้นทางที่เดินไป จิตใจของเหยียนชิงกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด ไม่รู้ว่าหลังจากเว่ยซูหานกลับห้องไปแล้วเห็นสตรีอยู่ในห้องจะรู้สึกอย่างไร...
“ชิงเอ๋อร์ เ้ามีเื่อะไรในใจงั้นหรือ?”
บนหอหลินเจียง มือของเว่ยซูหานโอบรอบเอวเหยียนชิง มือที่ถือจอกเหล้าของเหยียนชิงอยู่ๆ ก็สั่นเทา ก่อนที่เขาจะกล่าว “ดื่ม”
เว่ยซูหานดื่มไปหนึ่งคำก่อนจะเม้มปาก “เหล้าใบไผ่เขียวมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คิดไม่ถึงว่าชิงเอ๋อร์จะชอบ”
นี่เป็ครั้งแรกที่เขารู้ว่าเหยียนชิงชอบดื่มเหล้าใบไผ่เขียว แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เหยียนชิงมีข้อบกพร่องแต่กำเนิด สูตรการต้มที่เป็เอกลักษณ์ของใบไผ่เขียวนี้เหมาะกับเขาที่สุดแล้ว
“หืม?” เหยียนชิงเลิกคิ้วขึ้น “เมื่อเทียบกับเหล้าที่อื่นแล้ว ข้าชอบเหล้าใบไผ่เขียวมากกว่า”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว พอดื่มแล้วจะทำให้ร่างกายรู้สึกสบายไม่ป่วยง่าย
“อืม ข้าจะทำเหล้าให้เ้าดื่ม เมื่อก่อนข้าเคยไปชายแดนกับท่านพ่อ ข้าเคยเห็นท่านหมอทหารชงมาก่อน ช่วยบำรุงร่างกายได้ดี”
เว่ยซูหานยิ้มพลางหันรินเหล้าลงจอกแล้วมอบให้เหยียนชิง
“ชิงเอ๋อร์ เ้ามีเื่อะไรก็บอกกับข้าได้”
หลังจากเกิดใหม่ ด้วยความที่ว่าเขาเป็คนสองชาติ เขาเชื่อว่าเหยียนชิงเป็เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีที่พอรู้ความ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น เขามองคนรอบข้างได้อย่างชัดเจน แต่เขาไม่สามารถมองเหยียนชิงออก ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ความคิดที่รอบคอบของเหยียนชิงทำให้เขาประหลาดใจ
“อืม”
เหยียนชิงจิบเหล้าพลางกระซิบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ทว่าความคิดกลับพร่ามัวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะอายุยี่สิบปีในชาติที่แล้ว เขาเอาแต่เรียนหนังสืออยู่ที่จวนตระกูลเหยียน มีทุกอย่างพร้อม ไม่ว่าจะเป็เสื้อผ้าหรืออาหารต่างก็มีคนนำมาประเคนให้ หลังจากสอบขุนนางและเข้าราชสำนักเข้าก็เริ่มวิ่งวุ่นไปทั่ว ในความทรงจำของเขา ไม่เคยได้นั่งดื่มสุราอย่างสบายๆ เช่นนี้มาก่อน... ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่ชอบอยู่ข้างๆ เช่นนี้ด้วย
เขาหวังเพียงว่าอยากให้มีวันเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ
เว่ยซูหานไม่ได้พูดอะไรอีก เหยียนชิงต้องปิดบังอะไรจากเขาแน่ๆ ทว่าคนผู้นี้หากไม่อยากพูดถามไปก็ไร้ประโยชน์
ตอนขากลับ ไม่รู้ว่าเป็เพราะดื่มเหล้ามากไปหรือไม่ เหยียนชิงไม่ได้จงใจเว้นระยะห่างจากเขาเหมือนตอนมา ทั้งยังเอาแขนคล้องแขนแนบชิด พูดคุยกันตลอดทางที่เดินกลับ จนกระทั่งกลับมาถึงจวน จึงไปหาอิ้งหลีที่รออยู่
“อิ้งหลี ให้ข้าดูแลคุณชายเถอะ”
เว่ยซูหานเอ่ยปาก อิ้งหลีและพวกมีสายตาเฉลียวฉลาด ทว่าวันนี้กลับเพิกเฉยต่อการกระทำของเขา
เหยียนชิงโบกมือให้เขา “ไม่ต้อง เ้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน อิ้งหลี พาข้ากลับหอชิงเฟิง”
พูดจบก็จากไปพร้อมกับอิ้งหลี อิ้งหลีพยักหน้าให้เว่ยซูหานด้วยความรู้สึกผิด แล้วค่อยๆ เร่งเดินตามเหยียนชิงออกไป
ความคับข้องใจของเว่ยซูหานที่เพิ่งจะสงบลงก็เดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากกลับมาจากเมืองหลวงก็เกิดเื่ไม่สบอารมณ์ เหยียนชิงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ หลายวันมานี้เขาทำอะไรไม่ได้เลย เวลาอยู่กันตามลำพังยังไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่ เขาไม่อาจก้าวร้าวต่อเหยียนชิงได้
ในใจมันอัดอั้นจนน่ารำคาญ และเมื่อกลับมาถึงลานบ้านก็เห็นสีหน้าของหลินชวนและคนอื่นๆ ผิดปกติ จึงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก จนกระทั่งผลักประตูเข้าไปในห้องก็เห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง หัวใจทั้งดวงของเขาพลันจมดิ่งลง ความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจแตกซ่านจนไม่อาจควบคุมได้
หญิงสาวร่างบางบนเตียงสวมชุดผ้าโปร่งคลุมเรือนร่าง แม้จะปิดตาไว้แต่ก็พอจะมองออกว่านางผู้นี้ต้องมีใบหน้าที่งดงาม นับได้เลยว่าเป็หญิงโฉมงามคนหนึ่ง และเมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาจึงหันหน้ามา พร้อมเผยอริมฝีปากอมชมพู
“คุณชายมาแล้วหรือเ้าคะ?”
น้ำเสียงขลาดกลัวนั้นแฝงไว้ด้วยความเขินอาย มือขาวผ่องดุจหยกของนางปัดเส้นผมที่วางอยู่บนหน้าอกเบาๆ ดูมีเสน่ห์และยั่วยวนไม่น้อย
เว่ยซูหานเก็บมือทั้งสอง กลืนไอร้อนที่ลอยขึ้นมาจากลำคอลงอย่างแรงจึงระงับแรงกระตุ้นที่พร้อมจะะเิใส่หญิงสาวที่อ่อนแอผู้นี้ได้ทุกเมื่อ เขาไม่แม้แต่เดินเข้าไปใกล้ แต่กลับหันหลังเดินออกมาทันที
“ปัง”
หลินชวนและพวกที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกใจนคุกเข่าลงทันที ในใจต่างร้องคร่ำครวญ เวรแล้วๆ ฮูหยินน้อยโกรธจริงๆ ด้วย
เว่ยซูหานไม่ได้ตั้งใจจะโกรธพวกเขา แต่กลับโกรธคนผู้นั้น เขาฝืนกลั้นความโกรธไว้แล้วลดเสียงลงถาม
“หลินชวน คุณชายทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ไม่ต้องคิดให้มากความ คนพวกนี้จะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรหากไม่มีคำสั่งของเหยียนชิง
หลินชวนปาดเหงื่ออันเย็นเยียบบนหน้าผากพลางตอบว่า “เป็คำ... คำสั่งของคุณชายท่านขอรับ”
เว่ยซูหานกัดฟัน ถอนหายใจอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกเ้าได้ช่วยเกลี้ยกล่อมแล้วหรือไม่?”
ไป๋เส่าที่อยู่ด้านข้างรีบตอบขึ้นมา
“เกลี้ยกล่อมเขาแล้วขอรับ แต่คุณชายบอกว่า... นายหญิงน้อยคือทายาทคนเดียวของแม่ทัพเว่ย ในวันหน้าตระกูลเว่ยยังต้องได้รับการสืบทอดทายาท... ดังนั้น ดังนั้น...”
“ดังนั้นเขาจึงยัดสตรีเข้ามาในห้องของข้า”
เว่ยซูหานกัดฟัน หลินชวนและคนอื่นๆ ต่างก็พากันก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรอีก แม้แต่การหายใจก็ยังช้าลง
พวกเ้า...” เว่ยซูหานหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสั่งพวกเขา “เอานางมาจากไหนก็เอากลับไปที่นั่น และอย่าได้มีแบบนี้อีกเป็ครั้งที่สอง”
หลังจากกล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง และพวกเขาก็ไม่คิดจะขวางด้วย หากเว่ยซูหานรั้งนางให้อยู่ต่อนั่นสิถึงจะเป็เื่ที่ทำให้คนผิดหวัง ตอนนี้ฮูหยินน้อยที่โกรธจัดคงไปมาหาเื่คุณชายแล้วกระมัง ก็สมควรแล้วที่คุณชายจะโดน
หลังจากมาถึงหอชิงเฟิง เหยียนชิงก็ไม่พูดอะไรสักคำ พอล้างหน้าล้างตาเสร็จจึงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน แม้ตาจะจดจ้องอยู่บนหนังสือแต่ใจไม่รู้ลอยไปไหน อิ้งหลีที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาพักผ่อนอยู่หลายครั้งถึงได้ยอมไปนอนด้วยสีหน้าคับข้องใจ แม้หัวจะถึงหมอนทว่าดวงตายังคงเบิกกว้างจ้องมองผ้าม่านที่ปลิวไสว อิ้งหลีดับเทียนให้เขาก่อนจะกล่าวเบาๆ ข้างผ้าม่าน
“คุณชาย ข้าไม่ได้จะดุท่านหรอกนะ แต่การที่ท่านทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ฮูหยินน้อยลำบากใจซ้ำยังจะทำให้เขาโกรธท่าน เหตุใดถึงได้ชอบหาเื่ใส่ตัวนักเล่า? จะโกรธข้าที่พูดตรงๆ ก็ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด การที่ท่านมอบคนที่ชอบไว้ในอ้อมกอดของคนอื่นมันไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่กลับเป็เื่ที่โง่เขลามาก”
“ข้า...” เหยียนชิงดึงผ้าห่มขึ้น หลังจากคิดอยู่นานเขาก็เลือกที่จะไม่พูด ต่อให้รู้ว่าผิด ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
อิ้งหลีส่ายหัว ขณะที่กำลังจะกล่าวบางอย่าง กลับััได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยกำลังใกล้เข้ามา มุมปากจึงยกยิ้ม ก่อนจะบอกเหยียนชิงให้รีบพักผ่อนและถอยออกไป
และแล้วเว่ยซูหานก็มาถึงหอชิงเฟิง เฉินเซียงที่เฝ้าอยู่นอกประตูของเหยียนชิง เมื่อเห็นเว่ยซูหาน ก็พอจะคาดเดาสถานการณ์คร่าวๆ ได้ จึงเดินเข้าไปต้อนรับอย่างนอบน้อม
“ฮูหยินน้อย”
เว่ยซูหานเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณชายล่ะ?”
เฉินเซียงโน้มตัวลงเล็กน้อย “เมื่อครู่นายน้อยเพิ่งอาบน้ำเสร็จ อิ้งหลีคอยดูแลอยู่เ้าค่ะ”
เว่ยซูหานก้มหน้ามองนางแวบหนึ่งแล้วถามว่า “เฉินเซียง เ้ารู้เื่นี้มากมายเพียงใด”
เฉินเซียงรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป
“ั้แ่ต้นจนจบบ่าวล้วนทราบดี บ่าวคือคนเลือกสตรีมาให้ท่าน ท่านพอใจหรือไม่เ้าคะ”
“...” เว่ยซูหานพูดไม่ออก ดีมาก สมแล้วที่เป็คนที่เหยียนชิงอบรมมา เว่ยซูหานหายใจเข้าลึกๆ
“ข้าอยากพบคุณชาย”
มุมปากของเฉินเซียงโค้งขึ้น “ฮูหยินน้อยสามารถพบคุณชายได้ทุกเมื่อ บ่าวมิกล้าขวาง”
เว่ยซูหานไม่ได้กล่าวอันใด เดินขึ้นบันไดไปหาอิ้งหลีที่กำลังเดินออกมาจากประตู พอเห็นเขาแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทันที เพียงพยักหน้าแล้วเดินไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นอิ้งหลีก็กล่าวเสียงเบา
“คุณชายสำนึกผิดแล้ว ฮูหยินน้อยโปรดยกโทษให้เขาเถอะ อย่าทำให้เขากลัวเลย”
หลังจากพูดจบก็พยักหน้าอีกครั้งก่อนจะเดินจากไปกับเฉินเซียง
เว่ยซูหานรู้สึกอึดอัดจนไม่มีที่ระบาย โชคดีที่คนรับใช้เหล่านี้ก็รู้จักมารยาท ไม่อย่างนั้นเขาคงะเิออกมาแล้ว
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง ก็ผลักประตูเข้าไปและลงกลอน เว่ยซูหานรู้ดีว่าเขาต้องทำให้เหยียนชิงเข้าใจความรู้สึกของเขาก่อน มิเช่นนั้นหากทะเลาะกันบ่อยๆ ก็อาจทำให้ทั้งคู่เองเสียความรู้สึก แต่ทั้งหมดเป็เพราะเหยียนชิงไม่เชื่อฟังก่อน ก็อย่าหาว่าเขาไม่รักษาสัญญา
เพราะเสียงลงกลอนจากด้านในและเสียงฝีเท้าที่มั่นคง เหยียนชิงจึงรู้ว่าใครเข้ามา เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างประหม่าทันที
เสียงฝีเท้าหยุดอยู่ที่ปลายเตียง ร่างสูงตระหง่านปรากฏนอกผ้าม่านของเตียง จากนั้นก็มีมือคู่หนึ่งเอื้อมเข้ามาเลิกม่านขึ้น พลันปรากฏคนที่หน้าตาเคร่งขรึมขึ้นตรงหน้า
“เว่ย... ซูหาน...”
นี่เป็ครั้งแรกที่เหยียนชิงต้องเผชิญหน้ากับเว่ยซูหานด้วยหัวใจที่เต้นเร็วราวกับนี่ไม่ใช่หัวใจของตน
เว่ยซูหานไม่พูดไม่จา มองคนที่สวมชุดบางราวกับกำลังเปลื้องผ้า ในเมื่อคนผู้นี้ไม่อาจดุด่าหรือทุบตีได้ เช่นนั้นก็ต้องแก้ไขด้วยวิธีพิเศษของคู่รักทั่วไป
เขาขยับเข้าไปหาอีกฝ่ายจนกระทั่งพื้นที่เตียงเหลือเพียงไม่กี่คืบ กดดันจนอีกฝ่ายมีใบหน้าแดงระเรื่อและหดตัวไปที่มุมเตียง เว่ยซูหานจึงถามเบาๆ
“เ้าชอบว่านหางจระเข้ หรือน้ำมันหอม ชอบกลิ่นแบบไหน?”
ขณะที่เขาพูดเขาก็หยิบขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กออกมาจากเสื้อ สิ่งที่เขาเลือกนั้นมีประสิทธิภาพในการหล่อลื่นและมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่เคยทำเื่อย่างว่า