เ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็บุรุษหนุ่มสีหน้าเคร่งขรึมที่ยังมาไม่ถึงนั่นเอง
ตอนนี้รอยประทับสายฟ้าสีม่วงตรงหน้าผากของเขากำลังสว่างไสว มีพลังน่าอัศจรรย์แผ่ซ่านออกมา และเป็พลังนี้ที่ช่วยผีซานไป
เดิมทีเสิ่นเสวียนยังใคิดว่าเป็เคล็ดวิชาของผีซาน แต่หลังจากนั้นก็เห็นว่าร่างของเขาถูกกระชากไป
“เมืองชางฉงมีเสือัซ่อนเขี้ยวเล็บอยู่จริงๆ”
เสิ่นเสวียนตบฝ่ามือลงไปบนร่างไร้ิญญาของชายชราที่อยู่ข้างๆ พลังน่ากลัวปะทุออกมาทำให้ร่างนั้นแตกสลาย หลอมรวมเข้ากับมิติรอบด้าน แม้อยากตรวจสอบสิ่งใดก็ไม่เจออะไร
“สืออี เข้ามานี่ พวกเราไปกัน”
เสิ่นเสวียนปรายตามองคนเ่าั้ที่ยังห่างออกไปอีกเจ็ดแปดสิบลี้ พลางกล่าวกับเสิ่นสืออี
“ขอรับ”
เสิ่นสืออีรับคำสั่งเสิ่นเสวียนแล้วเข้าไปซ่อนตัวในมิติของเสิ่นเสวียนเป็อย่างดี
จากนั้นเสิ่นเสวียนก็เหลือบตามองผีซานเล็กน้อย พลางส่งยิ้มชั่วร้ายให้อีกฝ่าย แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากตรงนั้น
ผีซานที่โดนพลังกระชากร่างไปกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เพราะสายตาของเสิ่นเสวียนก่อนไปนั้นประทับลงไปในจิตใจของเขาแล้ว
สายตาคู่นั้น รอยยิ้มแบบนั้น ชั่วชีวิตนี้เขาคงมิอาจลืมเลือน หรือกระทั่งอาจต้องสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายทุกครั้งไป
ส่วนเหตุผลที่เสิ่นเสวียนไม่สังหารอีกฝ่าย เนื่องจากคนที่เข้ามามีพลังไม่ธรรมดา เขาไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ และแม้แต่เสิ่นสืออีก็ยังไม่มั่นใจ
แม้กล่าวว่าอีกฝ่ายจะดึงตัวผีซานไปแล้ว แต่เสิ่นเสวียนยังคงสังหารผีซานได้อย่างง่ายดาย ที่ไม่สังหารเพราะหากลงมือไปแล้วจะต้องเข้าปะทะพลังกับอีกฝ่าย และอีกฝ่ายจะจดจำตนเองได้ ทำให้อาจเกิดปัญหามากมายขึ้นได้ในภายหลัง
เขาเตือนผีซานแล้วก่อนที่จะไป สายตาของเขาทำให้ผีซานต้องจดจำไปตลอดกาล
ทุกการกระทำของเสิ่นเสวียนฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของผีซานแล้ว แม้จะถูกช่วยไว้ได้ แต่เขาคงไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเสิ่นเสวียนออกไปแน่
อีกทั้งถอยกันไปก้าวหนึ่งก็คงไม่มีอะไรแล้ว
อันดับแรก เสิ่นเสวียนเจอกับเขาเป็ครั้งแรก คงตัดสินความสัมพันธ์ระหว่างเสิ่นเสวียนและเฝิงเป่าเป่าได้จากคำพูด แต่ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ แม้อีกฝ่ายคิดตรวจสอบก็คงไม่เจออะไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาคงไม่กล้ากล่าวออกมา
จากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อ บุรุษหนุ่มสีหน้าเคร่งขรึมคนนั้นก็มาถึงสถานที่ที่เกิดการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ผีซานนั่งยองๆ อยู่ที่พื้น ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
“หายไปไหนแล้ว”
บุรุษหนุ่มคนนั้นถามผีซาน
“คารวะท่านชาย”
ผีซานเห็นบุรุษหนุ่มคนนี้ก็ตั้งสติได้ในทันที จึงคุกเข่าลงคารวะเขา
สามารถทำให้ขั้นราชันระดับสูงสุดคนหนึ่งคุกเข่าลงคารวะได้เช่นนี้ นอกจากพลังของบุรุษหนุ่มคนนี้จะแข็งแกร่งมากแล้ว ยังรวมไปถึงฐานะของเขาอีกด้วย
เว่ยหลงแห่งราชวงศ์เฟิงเหลย ทายาทแห่งเจิ้นกั๋วกง[1] ท่านพ่อของเขาคือเจิ้นกั๋วกงผู้กุมอำนาจยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็ฐานะ ตำแหน่ง หรือด้านอื่นๆ ล้วนเป็ผู้นำในชนชั้นสูงของเมืองชางฉง หาใช่คนที่จอมยุทธ์ต่ำต้อยอย่างผีซานจะล่วงเกินได้
“เขาหายไปไหนแล้ว”
เว่ยหลงมองผีซานด้วยแววตาเย็นเยียบ เขาถามออกมาเป็ครั้งที่สอง เขาเบื่อหน่ายคนที่ทำอะไรชักช้าอืดอาดเป็ที่สุด เห็นได้ชัดว่าผีซานคือหนึ่งในนั้น
“เขา... เขา... เขาหนีไปแล้ว”
“หนีไปทางไหน”
“ไม่... ข้าน้อยไม่ทราบ”
ผีซานคุกเข่าอยู่ที่พื้น ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง หากกล่าวว่าเสิ่นเสวียนเป็ดั่งปีศาจร้ายสำหรับเขา อย่างนั้นแล้วเว่ยหลงก็คงเป็ปีศาจร้ายอีกตนหนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่าจะรอดตายแล้ว คิดไม่ถึงว่าต้องตกอยู่ในมือของคนที่น่ากลัวยิ่งกว่า
อีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มีไอพลังแข็งแกร่งไม่ต่างกัน พวกเขาคนหนึ่งสามารถใช้นิ้วมือนิ้วเดียวบดขยี้เขาให้ตายได้
เมื่อได้ยินคำของผีซาน เว่ยหลงจึงเดินไปยังสถานที่ที่เสิ่นสืออีต่อสู้กับอู๋ิก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่านอกจากหลุมที่เกิดจากพลังโจมตีของสากวายุอัสนีแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นอีกเลย
รอยประทับสายฟ้าสีม่วงตรงหน้าผากสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง เปล่งประกายแสงสีม่วงพลางตรวจสอบอาณาเขตโดยรอบ
แต่ก็ไม่เจออะไรเลย
“ยังอยากมีชีวิตอยู่ไหม”
เว่ยหลงหันกลับไปมองผีซานอีกครั้ง เขาช่วยผีซานมาไม่ได้้าช่วยชีวิตผีซาน แต่้าเบาะแสจากปากของผีซาน
รอยที่พื้นนี้เขามั่นใจว่าเป็รอยของสากวายุอัสนี ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็เป็สิ่งที่เกิดจากสากวายุอัสนี แสดงว่าผู้ถือครองสากวายุอัสนีก็คือคนที่ทำลายผนึกใต้หนองน้ำออกมา เมื่อหาตัวเขาเจอก็จะเสร็จสิ้นภารกิจ
“อยาก ข้าอยากมีชีวิตต่อ”
ผีซานพยักหน้ารัว พลางพร่ำบอกว่าอยากมีชีวิต
“อีกฝ่ายฉลาดมาก รู้ว่าหากสู้กับข้าอาจเปิดเผยตัวตนออกมาได้ จึงตั้งใจหลบเลี่ยงไป ขอเพียงเ้าบอกตัวตนของเขาออกมา ข้าจะไว้ชีวิตเ้า”
“ตัวตนอย่างนั้นหรือ ข้าไม่ทราบเลย” ผีซานส่ายหัว เพราะเขาไม่รู้จริงๆ
“หืม?”
แววตาของเว่ยหลงแผ่ซ่านเจตจำนงสังหารออกมาปกคลุมร่างผีซานไว้ทันที หลังจากที่ได้ยินเขาบอกว่าไม่รู้
เมื่อััได้ถึงเจตจำนงสังหาร ผีซานที่ร่างสั่นเทิ้มอยู่แล้วพลันมีเหงื่อไหลโซมกาย จนเสื้อผ้าของเขาเปียกชื้นไปหมด
“บอกมา”
ทายาทแห่งเจิ้นกั๋วกงเว่ยหลงขึ้นชื่อเื่ความโเี้ ผีซานยังเรียกได้ว่าเป็บุคคลที่มีหน้ามีตา รู้ว่าอีกฝ่ายมีบุคลิกอย่างไร หากทำอะไรโง่ๆ ออกไป อีกฝ่ายคงทำให้เขาเหมือนตายทั้งเป็
แต่เขาไม่รู้จริงๆ
หากรู้ก่อนหน้านี้ว่าจะเกิดเื่แบบนี้ขึ้น ปล่อยให้เสิ่นเสวียนสังหารไปก็สิ้นเื่ ไม่ต้องมาทุกข์ทรมานเช่นนี้
“ข้า... ข้านึกขึ้นได้แล้ว!”
ผีซานครุ่นคิดอยู่ในหัว แล้วเขาก็นึกออก
“ว่ามา”
“ข้าเจอเขาเป็ครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้ข้าและอู๋ิท้าสู้กับเขา เขาสังหารอู๋ิตายไปแล้ว อู๋ิเป็ผู้าุโที่ตระกูลเฝิงเคารพ ตระกูลเฝิงต้องรู้ตัวตนของเขาอย่างแน่นอน”
ผีซานกล่าวออกไปก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา เขาเองก็เป็ผู้าุโที่ตระกูลเฝิงเคารพเช่นกัน ของกินของใช้ก็มาจากตระกูลเฝิง แต่ตอนนี้พอเกิดเื่ขึ้นเขากลับทำให้ตระกูลเฝิงเดือดร้อน
เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว แม้เว่ยหลงไม่สังหารเขา ตระกูลเฝิงก็คงไม่ปล่อยเขาไป
แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น คงต้องปล่อยให้เป็ไป
“ตระกูลเฝิง...”
หลังจากได้ยินชื่อตระกูลเฝิง เว่ยหลงขมวดคิ้วในทันที เห็นได้ชัดว่าตระกูลเฝิงไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แม้แต่เขายังล่วงเกินไม่ได้
“ตามข้ามา”
เว่ยหลงเหลือบตามองผีซานเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไพล่มือสองข้างไว้ด้านหลังเข้าไปในเมืองชางฉง
ผีซานที่อยู่ด้านหลังตื่นกลัวจนขาอ่อนแรง แต่ข้างๆ ยังมียอดฝีมืออีกสองคน ทำให้เขาต้องฝืนเดินตามไป
ระหว่างที่เดินไป เขารู้สึกกระวนกระวายใจเป็อย่างมาก
เพิ่งออกจากถ้ำเสือ กลับเข้าไปเจอรังหมาป่า และตอนนี้ยังต้องเข้าไปในรูงูอีก เหตุใดชีวิตของเขาถึงขมขื่นเพียงนี้!
เขาเพียงได้รับคำสั่งจากเฝิงเทียนให้มาเฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองทิศใต้เท่านั้นเอง เหตุใดถึงต้องเผชิญกับความตายเช่นนี้ด้วย!
ขณะนี้เว่ยหลงเดินนำหน้าไป ผีซานและคนอื่นๆ เดินตามหลัง มุ่งหน้าสู่ตระกูลเฝิงอย่างรวดเร็ว
แม้ตระกูลเฝิงจะไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรทายาทเจิ้นกั๋วกงอย่างเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลที่เติบใหญ่ได้ด้วยการค้า ไม่มีอำนาจเื้ัใดๆ หากล่วงเกินราชวงศ์อาจต้องตายเช่นเดียวกัน
ทางด้านเสิ่นเสวียน หลังจากหายตัวไปก็มุ่งหน้าเข้าในเมืองชางฉงอย่างรวดเร็ว
เขาออกเดินทางเร็วกว่าอีกฝ่ายราวหนึ่งเค่อ ซึ่ง่ระยะเวลานี้นับว่าสำคัญมาก
หลังจากเข้าในเมืองชางฉงแล้ว เขาโคจรพลังจิติญญาในทันที ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเสิ่นเสี่ยวเม่ยก่อนหน้านี้ ตราบใดที่ของชิ้นนั้นไม่ถูกทำลายไปก็จะหาตัวนางเจอได้อย่างรวดเร็ว
สวนของเฝิงเป่าเป่า ทางตะวันตกของเมืองชางฉง
เสิ่นเสี่ยวเม่ยเดินออกมาจากเรือนหลังหนึ่งพลางบิดี้เี หลายวันมานี้ต้องอยู่แต่ในสวนไม่ได้ออกไปไหน นางจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝน และนางเพิ่งฝึกฝนแล้วเสร็จจึงออกมาด้านนอกสักครู่
“น้องเสี่ยวเม่ย เ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย”
ขณะนั้นเริ่นเสี้ยวเทียนเดินเข้ามาจากที่ไม่ไกลกันนัก
เริ่นเสี้ยวเทียนหายจากอาการาเ็สักพักหนึ่งแล้ว ผ่านการต่อสู้ครั้งนี้ไปทำให้พลังยุทธ์ของเขาก้าวหน้ากว่าเดิมมาก อีกเพียงก้าวเดียวก็เข้าสู่ขั้นจักรพรรดิแล้ว
“พี่ใหญ่เริ่น”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยเห็นเริ่นเสี้ยวเทียนจึงกล่าวทักทาย
“เป็อย่างไร น่าเบื่อใช่ไหม”
เริ่นเสี้ยวเทียนเดินมาตรงหน้าเสิ่นเสี่ยวเม่ย แล้วทั้งสองก็เดินไปบนถนนที่ปูด้วยหินภายในสวนด้วยกัน
“ใช่! ไม่รู้พี่ชายข้าเป็อย่างไรบ้าง พวกเราออกไปไม่ได้จริงๆ หรือ”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา พลังของตาแก่นั่นแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก หากออกไปอาจเกิดเื่ได้ง่าย ส่วนพี่ชายเ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้างกายเขามีผู้แข็งแกร่งปกป้องอยู่”
เริ่นเสี้ยวเทียนกล่าวเื่จริง ผู้แข็งแกร่งข้างกายเสิ่นเสวียน กระทั่งถึงตอนนี้เขายังจำได้ ผู้มีร่างเป็มนุษย์หัวเป็ม้า ไอิญญาแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมาจากร่าง สังหารผู้ศักดิ์สิทธิ์จื่อกวงได้ในพริบตา
พลังระดับนี้ แม้แต่อาจารย์ของเขายังทำไม่ได้เลย
“คนผู้นั้นน่ารังเกียจยิ่งนัก”
เมื่อนึกถึงอู๋ิ แววตาของเสิ่นเสี่ยวเม่ยทอประกายแสงโเี้ออกมาทันที ไม่มีความแค้นเคืองต่อกัน แต่อีกฝ่ายกลับคิดสังหารพวกเขา
“หากพี่ชายข้ารู้เื่ต้องไม่ไว้ชีวิตเขาแน่”
“ข้ารู้เื่แล้ว”
ขณะนั้นเอง เสียงของเสิ่นเสวียนพลันดังขึ้นภายในสวน
.....................................................
[1] เฟิ่งเอินเจิ้นกั๋วกง (奉恩镇国公) เรียกลำลองว่า ‘เจิ้นกั๋วกง’ เป็ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 5 คำว่า เจิ้น (镇) แปลว่า ผู้รักษาเมืองหลัก ตำแหน่งนี้เป็ตำแหน่งของกั๋วกงขั้นที่ 1 และถือว่ามีศักดิ์เป็ท่านชาย