บทที่ 6 ห้าสิบเอ็ดปีแห่งการฝึกฝนอย่างหนักเข้าสู่หนทางนี้
“เพ่งจิตถึงตัวฉันเป็ กระดูกขาวโพลน เป็ ร่างกายที่เน่าเปื่อยผุพัง เป็ ซากศพที่ร่วงโรย...”
ท่ามกลางการกัดกินของ โครงกระดูก ที่หนาแน่น จางฝูเซิง เริ่มคุ้นเคยกับมันมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเ็ปที่เหมือนถูกฉีกขาดก็ค่อย ๆ บรรเทาลง
“ดูเหมือนว่าการ จมดิ่งในขุมนรก ครั้งนี้ จะสามารถหลุดพ้นได้ก็ต่อเมื่อฉัน เข้าถึง เคล็ดวิชาเพ่งจิตกระดูกขาวโพลน และแสดง รูปภายนอก ของกระดูกขาวโพลนและร่างกายที่เน่าเปื่อยได้เท่านั้น”
“หรือ... เจตจำนง ทางจิติญญาของฉันที่จมดิ่งอยู่ในภาพลวงตา จะ ล่มสลาย โดยสมบูรณ์?”
จางฝูเซิง รู้สึกพูดไม่ออก ราวกับว่าตัวเองติดอยู่ในวงจร
พันธสัญญา ดูเหมือนจะมีประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ โดยมัน ปราบปรามตัวตนที่แท้จริง ไว้ใน ตำหนักหว่างคิ้ว ทุกครั้งที่จิติญญาของเขากำลังจะพังทลาย พันธสัญญา ก็จะ ‘ช่วย’ เขากลับมา
“นี่ไม่ใช่ข่าวดีเลย... ต้องใช้ [ระยะเวลาเพ่งจิต] ของ คุณตาหวัง ทันทีเลยไหม?”
จางฝูเซิง ลังเล นี่เป็การพยายามครั้งแรกของเขาใน สำนักยุทธ์หงจี้ และเขาไม่รู้ว่าจะเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นหรือไม่
“ลองอีกครั้ง!”
เขาพยายามที่จะเพิกเฉยต่อความเ็ปที่เหมือนถูก ทรมาน พยายามเพ่งจิตให้ตนเองเป็ ซากศพที่เน่าเปื่อย และ กระดูกขาวโพลนที่ไม่มีเนื้อหนัง
ครั้งนี้ได้ผลเล็กน้อย ในภาพลวงตาที่จมดิ่ง เนื้อหนัง และ อวัยวะภายใน ที่ถูก โครงกระดูก กัดกินนั้น งอกกลับคืนมา ช้าลงเล็กน้อย
แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“เป็เพราะ ภาพเพ่งจิต หรือเป็เพราะเสียง เคาะเบา ๆ สามครั้งของท่านเ้าสำนัก?”
“อาจจะทั้งสองอย่าง”
จางฝูเซิง คิดวนไปมาหลายตลบ เขารู้ตัวเองดี ด้วย ปัญญาญาณ ในปัจจุบันของเขา เป็ไปไม่ได้เลยที่จะมีความก้าวหน้าใน เคล็ดวิชาเพ่งจิตกระดูกขาวโพลน ได้รวดเร็วขนาดนี้
ดังนั้นต้องเป็ผลจาก ภาพเพ่งจิต และ การเคาะสามครั้ง ของท่านเ้าสำนักอย่างแน่นอน
“ค่าเล่าเรียนนี้ คุ้มค่า จริง ๆ ถ้าได้มาแบบนี้ทุกวัน ถึงแม้ ปัญญาญาณ ของฉันจะห่วยแตก แต่เต็มที่ภายในครึ่งปี หรืออาจจะแค่สองถึงสามเดือน ก็ยังสามารถ เข้าถึง เคล็ดวิชาเพ่งจิตระดับสูง นี้ได้!”
ขณะที่จมดิ่งอยู่ในขุมนรก มองดู โครงกระดูก หนาแน่นที่เกาะอยู่บนร่างกายของเขา จางฝูเซิง ก็ถอนหายใจออกมา
“ไม่มีทางเลือกแล้ว”
“พันธสัญญา... เสริมพลังให้ฉัน!”
พันธสัญญา สั่นะเืใน ตำหนักหว่างคิ้ว
ในวินาทีต่อมา
จางฝูเซิง รู้สึกราวกับว่า ‘จิติญญา’ ของเขาถูก ยัด ด้วยสิ่งที่ไม่ชัดเจนจำนวนมหาศาล
ใน่เวลาแห่งความพร่ามัว เขาเห็นภาพลวงตาบางอย่าง ดูเหมือนเป็ประสบการณ์ที่เขา จมดิ่งในขุมนรก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะเดียวกัน ก็มี ความทรงจำใหม่ ปรากฏขึ้นในสมองของเขา
เป็ความทรงจำเกี่ยวกับการฝึก เคล็ดวิชาเพ่งจิตกระดูกขาวโพลน
[ในปีแรก ฉันเข้าถึง เคล็ดวิชาเพ่งจิตกระดูกขาวโพลน ก้าวเข้าสู่ระดับ ‘รูปภายนอก’ เมื่อฝึกเพ่งจิต ฉันเห็นร่างกายตัวเองเป็ซากศพเน่าเปื่อย เห็นร่างกายตัวเองเป็กระดูกขาวโพลน ฉันสามารถััได้ถึง ปัจจัยลึกลับ จำนวนมหาศาลที่เต้นอยู่รอบตัว]
[สองปีครึ่งต่อมา ฉันตระหนักได้ว่า เคล็ดวิชาเพ่งจิต ไม่ได้เป็เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก ‘รูปภายนอก’ เป็เพียงจุดเริ่มต้น ฉัน้าแสวงหาแก่นแท้และความหมายที่แท้จริงของมัน]
[ปีที่เจ็ด ท่ามกลางการจมดิ่งในขุมนรกครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันพลันเข้าใจสัจธรรมบางอย่าง การผุพังและความรุ่งเรืองที่สลับกัน การหมุนเวียนของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ่เวลาที่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาวเชื่อมต่อกัน จุดเชื่อมต่อของการเกิดและความตาย]
[ปีที่แปด ในที่สุดฉันก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ เคล็ดวิชาเพ่งจิตกระดูกขาวโพลน เคล็ดวิชาเพ่งจิต สำเร็จขั้นต้น ฉันก้าวเข้าสู่ระดับ ‘สภาวะภายใน’]
[ปัจจัยลึกลับ ในความรู้สึกของฉัน ชัดเจนอย่างยิ่ง เมื่อฉันเพ่งจิตถึงกระดูกขาวโพลน ผู้อื่นที่มองมาจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง]
[ปีที่สิบสี่ ฉันรวมระดับ สภาวะภายใน ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ไม่พอใจกับระดับนี้ ฉันเริ่มก้าวไปสู่ระดับ สำเร็จขั้นสูง ของ เคล็ดวิชาเพ่งจิตกระดูกขาวโพลน ซึ่งเป็ระดับใหญ่ที่สาม—ฉันระลึกถึงอะไร สิ่งนั้นจักเป็จริง]
[อะไรคือ ‘ฉันระลึกถึงอะไร สิ่งนั้นจักเป็จริง’? ฉันไม่เข้าใจ]
[ปีที่สิบห้า ฉันไม่มีความเข้าใจใด ๆ]
[ปีที่สิบหก ฉันไม่มีความเข้าใจใด ๆ]
[ปีที่สิบเจ็ด...]
[ปีที่ยี่สิบเก้า ฉันมีความคิดแวบขึ้นมา ราวกับว่าจับจุดองค์ประกอบบางอย่างได้]
[ปีที่สามสิบ ฉันไม่มีความเข้าใจใด ๆ]
[ปีที่สามสิบเอ็ด ฉันไม่มีความเข้าใจใด ๆ]
[ปีที่สี่สิบห้า ฉันมีความคิดแวบขึ้นมา ราวกับว่าจับกุมองค์ประกอบบางอย่างได้]
[ปีที่สี่สิบหก ฉันมีความคิดแวบขึ้นมา และเข้าใจบางสิ่ง]
[ปีที่สี่สิบเจ็ด ปัญญาญาณของฉันพวยพุ่งเหมือนน้ำพุ ตื่นรู้โดยสมบูรณ์]
[ฉันเริ่มพยายามยืนยันระดับการเพ่งจิต ‘ฉันระลึกถึงอะไร สิ่งนั้นจักเป็จริง’ หรือจะเรียกว่า อาณาจักรทางจิติญญา]
[การสั่งสมมาหลายสิบปีทำให้ฉันทะลวงผ่านได้ง่ายดายราวกับทำลายไม้ไผ่]
[นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ใน่ปลายชีวิต!]
[ปีที่ห้าสิบ ฉันบรรลุการตื่นรู้ ฉันเข้าใจแล้ว!]
[ปลายปีที่ห้าสิบ ฉันประสบความสำเร็จในการฝึก เคล็ดวิชาเพ่งจิตกระดูกขาวโพลน จนถึงระดับ สำเร็จขั้นสูง ก้าวเข้าสู่ระดับ ‘ฉันระลึกถึงอะไร สิ่งนั้นจักเป็จริง’ ฉันไม่ยึดติดว่าจะต้องเพ่งจิตหรือไม่ ทุกขณะคือความผุพังและรุ่งเรือง คือการเกิดและการตาย ฉันเข้าใจสัจธรรมที่ว่าโลกมนุษย์เปรียบเสมือนเรือนจำ และร่างกายเปรียบเสมือนกรงขัง]
[ฉันเพ่งจิตเห็นร่างกายเน่าเปื่อย กลายเป็กระดูกขาวโพลน จากนั้นเพ่งจิตเห็นกระดูกขาวโพลนเกิดเนื้อหนังขึ้นใหม่ สร้างร่างกายขึ้นใหม่ และเพ่งจิตเห็นแสงเรืองรองไหลเวียนบนกระดูกขาวโพลน]
[ฉันพบว่ากระดูกของฉันเปล่งแสงออกมาจริง ๆ—นี่คือ ‘ฉันระลึกถึงอะไร สิ่งนั้นจักเป็จริง’!!]
[ปีที่ห้าสิบเอ็ด ฉันพยายามศึกษาอาณาจักร ‘ผู้อื่นเพ่งจิตถึงฉัน ฉันจักเป็จริง’ แต่ฉันพบว่าการสำเร็จขั้นสูงของ เคล็ดวิชาเพ่งจิต ได้ใช้การสั่งสมทั้งหมดของฉันจนหมดสิ้น ฉันไม่มีเบาะแสใด ๆ เลย]
ความทรงจำในการฝึกฝนห้าสิบเอ็ดปีท่วมทับ จางฝูเซิง ราวกับกระแสน้ำ
เคล็ดวิชาเพ่งจิตกระดูกขาวโพลน ขั้น เข้าถึง สำเร็จขั้นต้น สำเร็จขั้นสูง!
รูปภายนอก สภาวะภายใน ฉันระลึกถึงอะไร สิ่งนั้นจักเป็จริง!
ท่ามกลางภาพลวงตาของขุมนรกที่จมดิ่ง
จางฝูเซิง ลืมตาขึ้น นั่งตัวตรงในภาพลวงตาขุมนรกที่จมดิ่ง ปล่อยให้ ซากศพ กัดกินตัวเอง ความคิดของเขาเพียงแค่ขยับ
ในวินาทีต่อมา ร่างกายทางจิติญญาที่สะท้อนอยู่ในภาพลวงตานี้ ครึ่งหนึ่งก็ผุพัง ครึ่งหนึ่งก็เป็กระดูกขาวโพลน กระดูกขาวโพลนกำลังเปล่งประกาย แสงเรืองรองระยิบระยับ
ซากศพและภูตผี หยุดชะงัก ถอยออกไปทีละน้อย เบียดเสียดกันและผลักกัน ส่งเสียงกรีดร้องที่ไม่มีความหมายออกมา แต่เสียงกรีดร้องนั้นค่อย ๆ เป็ระเบียบ และ ประสานกัน
ราวกับกำลัง ร้องสรรเสริญ
จางฝูเซิง สามารถเข้าใจเสียงสรรเสริญนี้ได้ ซึ่งก็คือ—มหาาาแห่งการแพทย์!
อะไรกันเนี่ย?
เขาไม่ได้คิดมากและไม่สนใจ เพียงแค่ถอนหายใจออกมา
“เพ่งจิตเห็นตัวฉันและผู้อื่น ถูกก่อร่างด้วยกระดูกขาวโพลน แล้ว กระดูกขาวโพลนก็เกิดเนื้อหนังขึ้น เมื่อ เนื้อหนังเกิดกระดูกก็จะเปล่งแสง”
จางฝูเซิง ที่ครึ่งหนึ่งผุพังครึ่งหนึ่งเป็กระดูกขาวโพลน ก็ เกิดเนื้อหนังและิั ขึ้นมาจริง ๆ และ โครงกระดูกภูตผี เ่าั้ก็ เกิดเนื้อหนังและิั ขึ้นมาตามไปด้วย
จากนั้น
พวกมันทั้งหมดก็ หมอบคลาน ลง กราบไหว้
ราวกับได้เห็น นายเหนือหัว ของพวกตน
ภาพลวงตาของการจมดิ่งก็ พังทลาย ลงทันที
...
เป็เวลารุ่งสางแล้ว
สำนักยุทธ์หงจี้ ทั้งหมดเงียบสงัด หอพักนักเรียนปิดไฟหมดแล้ว ห้องฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ว่างเปล่า
พนักงานทำความสะอาดหนุ่มของ สำนักยุทธ์ กำลังถือไฟฉายตรวจตราและตรวจสอบรอบสุดท้าย
“ห้องแสดงยุทธ์หมายเลข 1 ตรวจสอบเรียบร้อย”
“ห้องแสดงยุทธ์หมายเลข 2 ตรวจสอบเรียบร้อย”
“ห้องฝึกยุทธ์หมายเลข 1 ตรวจสอบเรียบร้อย”
พนักงานทำความสะอาดพูดซ้ำ ๆ ผ่านเครื่องอินเตอร์คอม เขาผลักประตูห้องฝึกยุทธ์หมายเลข 2 ออกไป และตามปกติก็กำลังจะกดเครื่องอินเตอร์คอม
“ห้องฝึกยุทธ์หมายเลข 2 ตรวจสอบเรียบร้อย... หืม?”
เขาตะลึงไป เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งขดตัวอยู่บนเบาะรองนั่งในห้องฝึกยุทธ์ขนาดใหญ่ สั่นเทาเล็กน้อย
ดูเหมือนจะ เ็ป มาก
“เฮ้ พ่อหนุ่ม นี่มันกี่โมงแล้ว?”
พนักงานทำความสะอาดขมวดคิ้ว วางเครื่องอินเตอร์คอมลง เดินเข้าไป ดู บัตรนักเรียน ที่ห้อยอยู่บนหน้าอกของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ยื่นมือออกไป ผลัก เขา
“ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้ว กลับไปนอนที่หอพัก!”
เด็กหนุ่มไม่ขยับเลย สีหน้าบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่ากำลังเ็ปอย่างที่สุด ร่างกายยังคง สั่นเทา เล็กน้อย
พนักงานทำความสะอาดใจหายวาบ
“จะไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย?”
ในขณะที่เขากำลังจะกดเครื่องอินเตอร์คอม เขาก็เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้กลับมาสงบ ขดตัวอยู่บนเบาะรองนั่งก็ ลุกขึ้นนั่งตรง ทันที ขัดสมาธิ นิ้วทั้งห้าหันขึ้นฟ้า ใบหน้าไม่แสดงความเศร้าหรือความยินดี
“ห๊ะ?” พนักงานทำความสะอาดงงงวย ยังอยากจะเอื้อมมือไปผลักเด็กหนุ่มคนนั้น แต่ในใจกลับรู้สึก เย็นวาบ ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ไม่รู้ทำไม ทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกที่ผิดไป ราวกับว่ากำลังยืนอยู่ใน ป่าช้า ที่ลมพายุพัดโลงศพแตก สภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ใช่เด็กหนุ่ม แต่เป็ โครงกระดูกที่น่ากลัว นอนอยู่ในโลงศพที่แตกแล้ว!
พนักงานทำความสะอาดถอยหลังไปสองก้าว ขยี้ตา แล้วมองดูอีกครั้ง
เด็กหนุ่มอ้าปาก ถอนหายใจ
“เมื่อ กระดูกขาวโพลนก็เกิดเนื้อหนังขึ้น เมื่อ เนื้อหนังเกิดกระดูกก็จะเปล่งแสง”
พนักงานทำความสะอาดเห็นว่าใต้ิัของเด็กหนุ่มคนนั้น มีแสง เปล่งออกมาจริง ๆ เปล่งแสงออกมาจริง ๆ!
แสงนั้น ไม่สว่าง นัก แต่ มีอยู่จริง และแสงที่เชื่อมต่อกันนั้นสามารถระบุได้ว่าเป็ โครงกระดูก—มันคือ กระดูกของเขา ที่กำลังเปล่งแสง!
“ผี! ผีโว้ยยยย!!”
พนักงานทำความสะอาดหันหลังวิ่งหนี ทิ้งบัตรพนักงานและเครื่องอินเตอร์คอม วิ่งออกจาก สำนักยุทธ์ และหายตัวไปในความมืด
ในเวลานั้น
ภายในห้องฝึกยุทธ์ เด็กหนุ่มทะลวงภาพลวงตา ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ร่องรอยของความ ช่ำชอง จางหายไปจากดวงตาของเขา
“เหมือนจะได้ยินเสียงร้องนะ?”
จางฝูเซิง พึมพำกับตัวเอง มองออกไปที่ความมืดนอกหน้าต่าง แล้วก็เริ่มกังวล
สำนักยุทธ์ มีอาหารและที่พักให้พร้อม แต่... หอพักของฉันอยู่ไหนกันเนี่ย??
