นางก้มหน้าลง สายตาเหม่อมองไปไกล ความคิดก็ปั่นป่วนขึ้นมาทันที
ซูโม่ไม่ใช่บิดาแท้ๆ ของนาง!
ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของนาง!
ไม่ใช่พ่อแท้ๆ !
ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในหัว เข้าหูซ้ายวนไปหูขวาอยู่อย่างนี้ ในใจจู่ๆ ก็ว่างเปล่า นางอยากจะคว้าอะไรบางอย่าง แต่ก็คว้าอะไรไม่ได้เลย
ซูิเยว่ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำสีหน้าอย่างไร นี่ก็อยู่ในเหตุผลไม่ใช่หรือ นี่ก็เป็ไปตามที่นางสงสัยอยู่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ?
ท่าทีที่ซูโม่มีต่อนาง ทั้งหมดก็อธิบายได้หมดแล้ว แต่ว่าเหตุใดตอนที่ได้ยินความจริงยังรู้สึกหมดแรงขนาดนี้กัน
สุดท้าย ซูิเยว่ก็เงยหน้าขึ้น นางมองเวินเยว่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ดังนั้น พ่อที่แท้จริงของหม่อมฉันคือใครหรือเพคะ?”
นางถามจบก็ยิ้ม สิบกว่าปีแล้ว แน่นอนว่าคงจะไม่มีอีกแล้ว
นางส่ายหน้าเหมือนเย้ยหยันตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นจับกาน้ำชามารินน้ำชาให้ตัวเอง
เวินเยว่มองซูิเยว่แล้วก็ทำสีหน้าอดรนทนไม่ไหว หากซูิเยว่เผยสีหน้าเ็ปออกมาสักนิด นางก็ยังปลอบใจได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย
เวินเยว่พูดต่อ “พ่อแม่ของเ้าตายเพราะฝีมือของฮ่องเต้ หลังจากเ้าเกิดมาได้ไม่นานก็ถูกฮ่องเต้ลอบฆ่าตายไปแล้ว”
หัวใจของซูิเยว่กระตุก มือสั่น น้ำชาในแก้วกระฉอกออกมาลวกมือจนเป็รอยแดง
ซูิเยว่กลับเหมือนไม่ได้รู้สึกถึงมัน นางยังคงนิ่งค้างไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับอะไร แววตาว่างเปล่า
เวินเยว่ใจึงรีบพูด “ิเยว่”
นางรีบเข้าไปแย่งกาน้ำชากับแก้วชาในมือของซูิเยว่มาวางไว้ จากนั้นก็จับมือของนางอย่างระมัดระวัง “เหตุใดถึงเป็เช่นนี้ เจ็บหรือไม่?”
ซูิเยว่ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา เหมือนกับถูกเข็มแทงจนได้สติแล้วดึงมือของตัวเองกลับมา สีหน้าตอนนี้ใจนทำอะไรไม่ถูก นางเงยหน้าขึ้นขอบตาแดงก่ำมองเวินเยว่อย่างน่าเอ็นดู หัวใจของเวินเยว่อ่อนลงทันที ก่อนจะร้องเรียกเสียงร้อนรน “ใครก็ได้เข้ามาที”
สาวใช้ด้านนอกประตูรีบวิ่งเข้ามา “เหนียงเหนียง”
“รีบไปเอายาทาแผลน้ำร้อนลวกมา” เวินเยว่พูดไปก็เอาน้ำเย็นที่อยู่ด้านข้างมาราดใส่ตำแหน่งที่โดนน้ำร้อนลวกของซูิเยว่อย่างรวดเร็ว
สาวใช้พูดอย่างร้อนรน “เหนียงเหนียง ในตำหนักของพวกเราไม่มียานั้นเพคะ”
“เช่นนั้นก็ไปเอาที่เรือนหมอหลวง ไปเร็ว”
น้ำชาที่เพิ่งจะต้มเสร็จสาดมาโดนผิวนิ่มละเอียด ทั้งหลังมือกับนิ้วแดงไปหมดจนมีตุ่มน้ำเล็กๆ ผุดขึ้นมาเล็กน้อย
ซูิเยว่ฝืนกระตุกมุมปาก นางก้มหน้ามองมือตัวเองแล้วเอ่ย “หม่อมฉันไม่เป็อะไรเพคะเหนียงเหนียง”
นางแค่รู้สึกว่าขอบตาปวดจนทรมาน ด้านในอกมีความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ทั้งโกรธทั้งเสียใจผสมกันอยู่
แต่นางไม่ได้อยากร้องไห้ พ่อกับแม่สำหรับนางแล้วก็เป็แค่คำหนึ่งคำกับความคิดถึงก็เท่านั้น นอกจากสายเืในกายแล้วก็ไม่มีความรู้สึกที่เกี่ยวพันกัน
นางแค่คิดไม่ถึงว่าความจริงจะเป็เช่นนี้
“เหนียงเหนียง ท่านเล่าต่อเถิดเพคะ”
ในใจของเวินเยว่เ็ปมาก ถึงแม้ซูิเยว่จะไม่ใช่ลูกสาวของนาง แต่นางก็ชอบเด็กหญิงคนนี้มากจริงๆ
ซูิเยว่ใจเย็นมากจริงๆ ดูไม่เหมาะกับอายุของนางเลย นอกจากท่าทางใกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อครู่ เพียงครู่เดียวนางก็กลับมาเป็ปกติ
“ตอนนั้นแม่ของเ้าเป็สาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางไม่ใช่คนของเมืองหลวง บ้านเกิดของนางข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่กับพ่อของเ้ารักกัน แต่ว่าฮ่องเต้ถูกใจแม่ของเ้าจนอยากจะแย่งมา ตอนนั้นแม่ของเ้าตั้งท้องเ้าอยู่ หลังจากคลอดเ้าออกมาได้ไม่นาน ฮ่องเต้ที่แย่งแม่ของเ้ามาไม่สำเร็จก็ร่วมมือกับซ่งซินเวยแม่ขององค์ชายห้าฆ่านางทิ้ง พ่อของเ้าตอนนั้นก็คือเ้าสกุลซูที่แท้จริงในตอนนั้น พวกเขาถูกฮ่องเต้ลอบฆ่าทิ้งอย่างลับๆ”
“ฮ่องเต้ปิดเื่นี้เอาไว้ และให้คนสนิทของเขาปลอมตัวมาเป็พ่อของเ้า หรือก็คือซูโม่ในตอนนี้ ตอนนั้นฮ่องเต้อยากจะฆ่าเ้าทิ้งไปเสีย แต่ว่าข้าทำลายแผนการนี้ของพวกเขาทิ้ง ข่มขู่เขา ตอนนั้นสกุลเวินยังพอจะพูดอะไรในราชสำนักได้บ้าง ฮ่องเต้เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นานตำแหน่งยังไม่มั่นคง เขากลัวว่าข้าจะเอาเื่นี้ไปเผยแพร่ถึงได้ปล่อยเ้าไป”
เวินเยว่พูดจบก็ถอนหายใจ “ตอนนั้นถึงแม้ข้าจะมีใจอยากช่วยพ่อแม่ของเ้า แต่ความจริงนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ข้ากับแม่ของเ้านั้นสนิทกันจริงๆ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ข้าไม่อาจช่วยพวกเขาได้ ทำได้แค่พยายามปกป้องเ้าให้ปลอดภัยอย่างสุดความสามารถ ขอแค่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ฮ่องเต้ก็ไม่กล้าทำอะไรเ้า”
ซูิเยว่เงยหน้ามองเวินเยว่ สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงเลยว่าเหตุผลทั้งหมดจะเป็แบบนี้ แม้แต่ชีวิตของนางก็เป็เวินเยว่ที่เป็คนช่วยเอาไว้
“เ้าเกลียดข้าใช่หรือไม่?”
ซูิเยว่ส่ายหน้าแล้วพยายามยกมุมปากขึ้น แต่กลับพบว่าตัวเองยิ้มไม่ออก นางจึงยอมแพ้ไป “เปล่าเพคะ เื่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับท่านเลย แค่ท่านช่วยชีวิตหม่อมฉันเอาไว้ หม่อมฉันก็ซาบซึ้งใจมากแล้วเพคะ”
เวินเยว่จับมือของซูิเยว่แล้วเป่าเบาๆ การกระทำนั้นอ่อนโยนมาก “ข้าบอกเื่พวกนี้กับเ้าก็เพราะอยากให้เ้ารู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อแม่ของเ้า แต่ข้าไม่อยากให้เ้าหุนหันเพราะเื่นี้ ฮ่องเต้เป็คนที่มีความคิดละเอียดรอบคอบ ขี้ระแวง ไม่เหมือนกับท่าทางที่เขาแสดงออกมา”
“เช่นนั้นท่านล่ะ เหตุใดจู่ๆ ถึงคิดไม่ตกแล้วไปวางยาพิษเขา?”
เวินเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงได้ยิ้มแล้วพูด “ข้ามีชีวิตมาครึ่งชีวิตแล้ว ชีวิตในกำแพงวังนี้ข้าเกลียดมันมาก ข้าอยากพอแล้ว ตำแหน่งนี้ข้าเองก็นั่งมานานจนเหนื่อยแล้ว ดังนั้นข้าอยากจะเดิมพันสักที แต่เ้าไม่เหมือนกัน เ้ายังมีองค์ชายสาม เ้ายังมีเส้นทางชีวิตที่ยาวนานให้ต้องเดิน ถึงแม้ร่างกายขององค์ชายสามจะพิการ แต่หลายปีมานี้ไม่ต้องพูดถึงราชสำนัก เขาที่ดูเหมือนไร้สิทธิ์ไร้อำนาจ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีใครปกป้องอยู่ในโคลนตม ถึงแม้เขาจะเป็เช่นนี้ แต่ก็มีความสามารถเพียงพอที่จะปกป้องเ้า”
หน้าตาของซูิเยว่อ่อนโยนขึ้นมา ความว่างเปล่าในใจเมื่อครู่จู่ๆ ก็ถูกเติมเต็ม จริงสิ นางยังมีจี๋โม่หาน นางยังมีคนที่รักนาง
“วางใจเถิด หม่อมฉันรู้จักประมาณตน ไม่มีทางไปสู้กับฮ่องเต้ตรงๆ หรอกเพคะ” แววตาของซูิเยว่เฉียบคมขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ดี”
“จริงด้วย” ซูิเยว่คิดเื่หนึ่งขึ้นมาได้ “ครั้งที่แล้วตอนที่หม่อมฉันถูกหลันจาวอี้เรียกเข้ามา เหนียงเหนียงมาช่วยหม่อมฉันไว้ ระหว่างทางที่ไปตำหนักของท่านก็เจอกับคนบ้าคนหนึ่งเข้า นางเป็ใครหรือเพคะ?”
พูดถึงเื่นี้คิ้วของเวินเยว่ก็ขมวดเข้าหากัน ก่อนจะส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ สตรีผู้นี้เป็คนที่ฮ่องเต้พาเข้ามาทีหลัง ตอนที่พากลับมาก็เหมือนว่าสติจะไม่ปกติแล้ว เลยไม่ได้ประทานตำแหน่งใดใดให้ แล้วก็ไม่อนุญาตให้ใครไปหานางทั้งนั้น ได้แต่ถูกขังอยู่ในวังเย็น ตอนที่นางเรียกชื่อมารดาของเ้าได้ ข้าเองก็ใมากจริงๆ แต่ว่านางเป็ใครนั้นฮ่องเต้ไม่เคยพูดถึงมาก่อนจริงๆ”
ซูิเยว่ก้มหน้าพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อืม หน่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ เื่พวกนี้ต่อไปหม่อมฉันจะไปสืบให้ชัดเจนเอง ขอบพระทัยเพคะเหนียงเหนียงที่บอกความจริง”
“เื่พวกนี้เ้ามีสิทธิ์ที่จะรู้” เวินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้บอกเ้าเพราะไม่อยากให้เ้าแบกรับความแค้นเอาไว้ แต่ตอนนี้ข้าเห็นว่าเ้ามีความคิดเป็ของตัวเอง ใจเย็น ข้าก็วางใจแล้ว”