ชีวิตดีๆ ที่เมืองหลวงยังกวักมือเรียกนางอยู่ แล้วจะให้นางหยุดอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“หน้าต่างเล็กเกินไป คาดว่านี่คือห้องใต้ดิน หากจะหนี คงต้องหนีจากประตูหลัก”
ชีเหนียงพึมพำเสียงค่อย เสียงนี้เบากว่าเสียงบ่นของหลานไฉ่เตี๋ยมากนัก แม้ว่าหญิงสาวจะลงเรือลำเดียวกับพวกนาง แต่เื่แบบนี้รู้กันจำนวนน้อยยิ่งดี มีคนมากมายที่ต้องแลกโอกาสมีชีวิตรอดและหักหลังผู้อื่นอย่างไม่ลังเล นางไม่อยากเห็นภาพเช่นนี้เกิดขึ้น
“เ้าอยู่ที่นี่มานานเท่าใด? รู้หรือไม่ว่ามีคนเฝ้ากี่คน?”
หลานไฉ่เตี๋ยพูดพล่ามเสียงดังทุกวัน แม้จะเห็นคนลักพาตัวกลุ่มนั้นก็ไม่รู้สึกกลัว ตรงกันข้ามคือกลับคุยกับพวกเขา ดังนั้นจึงรู้สถานการณ์ไม่มากก็น้อย
“อย่างไรก็ต้องมีเจ็ดแปดคน ทว่าปกติคนเ่าั้จะไม่เข้ามาที่นี่ มีเพียงแค่เวลาซื้อขายเกิดขึ้นเท่านั้นจึงจะเข้ามา”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ชีเหนียงนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม หลานไฉ่เตี๋ยเองก็เดินเข้าไปคุยอย่างคุ้นเคย
“พี่จาง จะพาคนไปอีกแล้วหรือ มีบ้านใดดีๆ ที่เหมาะกับข้าแล้วหรือยัง?”
นี่คือลูกไม้ของหลานไฉ่เตี๋ย ท่าทีชัดเจนว่าตนเองไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงความจริงและอยากเอาใจพวกเขา เพื่อให้พวกเขาหาสถานที่ดีๆ ให้ตนเอง
“วางใจได้ อีกไม่นานก็ถึงตาเ้าแล้ว ถึงเวลานั้นพี่จะหาตระกูลใหญ่โตให้เ้า ไม่มีทางให้เ้าไปตกระกำลำบากแน่” คนที่ถูกเรียกว่าพี่จางบีบมือของหลานไฉ่เตี๋ยและยิ้มแย้ม ปากกว้างนั้นยังมีน้ำลายไหลออกมาด้วย
โฉมงามเอ๋ย โฉมงาม น่าเสียดายที่ลูกพี่ใหญ่ออกกฎว่าดูได้แต่ห้ามแตะ มิเช่นนั้นหากขายไม่ได้ราคา จะถูกลูกพี่ใหญ่ฆ่า
หลานไฉ่เตี๋ยอดกลั้นความขยะแขยงในใจและตอบรับ จากนั้นจึงเดินกลับมุมห้องท่ามกลางสายตาโลมเลียของบุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่จาง ส่วนชีเหนียงก็อาศัย่ทีเผลอแอบมองสำรวจสถานการณ์ภายนอก
มีคนเฝ้าอยู่ด้านนอกสองคน รวมกับคนแซ่จางคือสามคน เมื่อครู่นางรับรู้ได้ว่าสายตาของคนแซ่จางจับจ้องที่ตัวนางชั่วขณะ ก่อนจะเลื่อนไปยังคนอื่น
สุดท้ายก็พาตัวสาวหน้าตาธรรมดาไปสามคน ตอนที่ถูกลากไป หญิงสาวทั้งสามโอดครวญวิงวอน วินาทีนี้พวกนางถึงเพิ่งรู้สึกตัวและหวังที่จะมีชีวิตรอดจึงเริ่มอ้อนวอนขอความเห็นใจ
กระทั่งหนึ่งในนั้นยังชี้นิ้วมาทางหลานไฉ่เตี๋ยและชีเหนียง “นายท่าน ข้าขอเปิดโปง ขอรายงาน ท่านให้เวลาข้าอยู่ต่ออีกสักหน่อยเถอะนะ หากท่านจะขายก็ขายพวกนางก่อน พวกนางคิดจะหนีกันั้แ่แรก ข้าไม่เหมือนกัน ข้าไม่หนี ท่านจะขายข้าเมื่อไหร่ก็เหมือนกัน”
“จริงๆ นะ ที่ข้าพูดคือความจริง พวกนางไม่เหมือนกัน พวกนางอยากหนี!”
หญิงผู้นั้นคุกเข่ากับพื้นและสาบาน หลานไฉ่เตี๋ยคิดไม่ถึงว่าจะเป็เช่นนี้ ฉับพลันรอยยิ้มบนใบหน้าก็เริ่มประคองไม่อยู่
ดีที่ชีเหนียงดึงสติของนางไว้ นางจึงเก็บสีหน้าประหม่าและเปลี่ยนเป็ไม่แยแส
หากแต่เห็นเพียงนางพิงกำแพงอย่างเกียจคร้าน ไม่คิดอธิบายหรือแก้ตัวกับคำกล่าวหาของหญิงสาว ชั่วขณะนั้นพี่จางเริ่มลังเลและไม่รู้ว่าสิ่งใดคือเื่จริงกันแน่
“เ้า สารภาพกับข้ามาตามตรง สิ่งที่นางพูดเป็ความจริงหรือไม่!”
คงเพราะชีเหนียงเอาแต่ทำตัวลีบเล็ก ทำให้พี่จางคิดว่านางเป็คนน่ารังแก ครั้งนี้จึงเลือกให้นางตอบคำถาม
ชีเหนียงแสร้งทำเป็หวาดกลัวและแนบตัวกับกำแพง “ข้า…ข้าก็ไม่รู้ ข้าเพิ่งมา เพิ่งจะฟื้นขึ้นเมื่อครู่ ไม่รู้กระทั่งว่าที่นี่คือที่ใด แล้วจะเข้าใจว่าพวกเ้าพูดอะไรได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของนางสั่นเครือ ถึงขั้นไม่กล้าเงยหน้า
พี่จางจึงเตะหญิงคนที่ฟ้องทันใด “นางสารเลว กล้าหลอกลวง เดิมทีข้าคิดจะขายเ้าให้เศรษฐี ข้าว่าหอนางโลมคงเหมาะกับเ้ามากกว่า!”
สุดท้ายนางก็หนีไม่พ้นการถูกขาย รอจนพี่จางพาคนจากไป หลานไฉ่เตี๋ยถึงด่ากราด
“เอาล่ะ” ชีเหนียงปรามนาง หากมิใช่เพราะนางพูดพล่ามให้โลกรับรู้ คนผู้นั้นจะฟ้องได้อย่างไร “มีพลังเพียงนี้ มิสู้คิดหาทางว่าจะทำอย่างไรดี เ้าคงไม่คิดว่าในนี้จะไม่มีพวกขี้ฟ้องหรอกนะ”
อันที่จริงตอนที่หญิงคนนั้นบอกความลับ ในนี้ก็มีหลายคนคิดจะเคลื่อนไหว หากแต่เหล่าหญิงสาวกลับอยากรอดูผลลัพธ์ก่อน เมื่อผลลัพธ์ออกมาไม่ดีพวกนางจึงพักความคิดนั้นไป
“พวกนางกล้าหรือ!” แม้ว่าจะเป็เช่นนี้ แต่เสียงก็เบากว่าเดิมค่อนข้างมาก
ชีเหนียงเห็นสภาพการณ์จึงไม่ตอแยกับหลานไฉ่เตี๋ยมากนัก เมื่อครู่นางเห็นดวงอาทิตย์จากด้านนอกหน้าต่างพอดี ด้านนอกเหมือนจะมีูเาหนึ่งลูก สถานที่แห่งนี้ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคย เพียงแต่ลั่วชีเหนียงกลับคิดไม่ออกว่าคือสถานที่ใดและนางเคยมาเมื่อใด
ขณะที่ลั่วชีเหนียงกำลังคิดว่าควรหนีอย่างไรอยู่นั้น คนด้านนอกกลับตามหาชีเหนียงกันแทบบ้า
......
พี่จางไปส่งสินค้าที่หอนางโลม จากนั้นจึงเห็นว่าจู่ๆ ก็มีทหารกลุ่มใหญ่บนท้องถนน เขาถึงกับประหม่าในทันใด
“เร็วเข้า ไปพบพี่ใหญ่เดี๋ยวนี้”
พี่จางบอกเล่าเื่ที่พบเห็นให้กับลูกพี่ใหญ่ “ลูกพี่ใหญ่ เราจะเคลื่อนย้ายหรือไม่? ทหารมากมายเช่นนี้คงไม่ได้มาจับเราหรอกนะ”
“ยังมีสินค้ามากมาย จะทำอย่างไรดี? โดยเฉพาะคนที่เพิ่งจับมาวันนี้! ข้าบอกกับลูกพี่ใหญ่แล้ว ต้องรีบจัดการ เราจะได้วนไปสถานที่อื่น หากแต่ท่านก็รั้นจะเก็บปัญหาไว้ในมือ ตอนนี้เื่ดันไปถึงทางการแล้ว”
พี่จางพูดพล่ามไม่หยุด ทำให้ลูกพี่ใหญ่ จางซาน ปวดศีรษะ
จากนั้นมีเสียงดังเพียะ จางซานยกถ้วยชารินใส่ศีรษะของเขา
“จะโวยวายเพื่ออะไร? ข้าจะทำอะไรยังต้องให้เ้าสอนหรือ?” จางซานขนคิ้วตั้ง ดูก็รู้ว่าโมโหเดือดดาล คราวนี้พี่จางไม่กล้าส่งเสียงอีก ได้แต่ยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำชาบนหน้าให้สะอาด
แม้ว่าจางซานโมโหแต่ก็รู้ว่าน้องชายพูดความจริง ตลอดทางพวกเขาจับคนมาไม่น้อย แต่คนส่วนน้อยที่กล้าแจ้งความกับทหาร
เห็นทีคนที่ท่านผู้นั้นให้จับต้องมีที่มาใหญ่โตแน่ เพียงแต่ไหนบอกว่านางเป็แค่คนจากครอบครัวเล็กๆ นี่นา
“คนที่เ้าส่งออกไปเป็อย่างไรบ้าง?”
จางซานรู้ว่าลั่วชีเหนียงพอมีพื้นเพเื้ั จึงให้พี่จางส่งคนไปสืบ พวกเขาคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือจัดการปล้นชิงทรัพย์สมบัติทั้งหมดของลั่วชีเหนียงไปด้วยจะดีกว่า
“กลับมาแล้ว บ้านนี้ร่ำรวยเงินทองจริงๆ บ้านที่สร้างก็ใช้กระเบื้องกับอิฐ ในบ้านยังมีรถม้า เด็กผู้ชายล้วนเข้าเรียนในโรงเรียน อย่างน้อยก็น่าจะมีเงินเท่านี้” พี่จางชูนิ้วออกมาสามนิ้วตรงหน้าเขา
สามพันตำลึง พวกเขาต้องขายสินค้ามากมายกว่าจะได้มาสามพันตำลึง
“บอกกับพี่น้อง ลงมือกลางดึก”
จางซานออกคำสั่ง พี่จางก็เข้าใจความหมายทันที เื่ปล้นชิง ในอดีตพวกเขาเคยทำกันไม่น้อย นี่คือเื่ที่พวกเขาถนัดอยู่แล้ว
“เมื่อได้เงินมา ให้กลับทางเดิม หากเจอคนที่รับมือยาก จัดการฆ่าทิ้งได้เลย”
คนที่กล้าทำเื่เช่นนี้ มือคนใดเล่าไม่เปื้อนเืมนุษย์สักคนสองคน สำหรับพวกเขาการมีชีวิตอีกวันก็คือกำไร
“ข้าทราบแล้ว! ลูกพี่ใหญ่พูดมากเหลือเกิน”
ค่ำคืนนี้ จางซานกับพวกพ้องใช้ผ้าปิดหน้าและย่องเข้าบ้านสกุลลั่วตอนค่ำ หากแต่สกุลลั่วกลับยังจุดไฟสว่างไสว ทั้งครอบครัวนอกจากจ้าวจือชิงที่ออกไปตามหาคนให้ทั่ว คนที่เหลือทั้งหมดเอาแต่รอข่าวคราวของลั่วชีเหนียงอยู่ที่บ้าน
-----