นางเป็ศิษย์เพียงคนเดียวของราชครูแห่งแคว้นจิ้น อาจารย์บอกว่าการรับศิษย์เป็เื่ของวาสนาและพรหมลิขิต แต่เฟิ่งสือจิ่นคิดว่าที่จวินเชียนจี้ยอมรับตนเป็ศิษย์ เพราะเขาบังเอิญได้เห็นตอนที่ตนตกต่ำและน่าสงสารที่สุดพอดีเท่านั้น ความยากลำบากที่ตนได้เจอก็คือวาสนาและพรหมลิขิตที่เขาหมายถึงนั่นเอง
หลังลงมาจากเขา เฟิ่งสือจิ่นก็ซื้อม้ามาหนึ่งตัวเพื่อเดินทางไปยังเมืองหลวง เขาจื่อหยางไม่ได้อยู่ห่างจากเขตเปี้ยนจิง ซึ่งเป็ที่ตั้งของเมืองหลวงมากนัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาเดินทางนานถึงสองวันหนึ่งคืนเลยทีเดียว หาก้าไปให้ถึงก่อนประตูเมืองจะปิด นางจำเป็ต้องเร่งเดินทางให้เร็วที่สุด
กีบเท้าม้ากระทืบจนดินโคลนลอยกระเซ็น ทิวทัศน์สีสดที่ผ่านการชะล้างด้วยสายฝนเลื่อนถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้ากับเส้นผมสีดำสลวยของเฟิ่งสือจิ่นปลิวไสวอยู่ในอากาศ เพียงไม่นาน บนนั้นก็มีละอองฝนใสๆ ติดอยู่เต็มไปหมด แลดูระยิบระยับงดงามดุจน้ำค้างในยามเช้า
กระต่ายสีเหลืองจอมดื้อมุดออกมาจากชายเสื้อ มันหมอบคลานอยู่ที่หน้าอกของนาง กำลังชมทิวทัศน์ด้านนอกด้วยท่าทางตื่นเต้น เฟิ่งสือจิ่นดันหัวเล็กๆ ของมันกลับเข้าไปในเสื้ออีกครั้ง แต่เ้ากระต่ายจอมซนก็มุดออกมาอีก
ยามเย็นของเขตเปี้ยนจิง อาจเป็เพราะฝนตก ท้องฟ้าจึงมืดครึ้มราวกับมีใครนำหมึกมาขีดทับ ประตูเมืองที่แสนเงียบเหงาถูกเปิดกว้าง มีผู้คนเดินสัญจรเข้าออกเพียงประปราย และมีองครักษ์เฝ้าอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น เฟิ่งสือจิ่นเดินทางเข้าไปในเมืองได้ทันก่อนที่ประตูเมืองจะปิดลง
นางควบม้าอ้อมูเาลูกใหญ่ในเมือง กีบเท้าทั้งสี่เหยียบผ่านถนนปูหินที่เปียกชื้น ทิ้งรอยโคลนเอาไว้เป็ทางยาว ตอนนี้ มีเฟิ่งสือจิ่นแค่คนเดียวที่ขี่ม้าอยู่ในเมือง
ไม่ได้กลับมาที่นี่นานมากแล้ว เมืองหลวงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ทุกอย่างยังเหมือนดังวันวาน ความทรงจำในอดีตหวนกลับเข้ามาอีกครั้ง มันเป็ความรู้สึกที่นางคุ้นเคย แต่ในความคุ้นเคยนั้น ก็เหมือนยังมีบางสิ่งที่ขาดหายไป
ระหว่างที่ควบม้าผ่านซอยแห่งหนึ่ง เฟิ่งสือจิ่นพบว่าตรงนั้นมีฝูงคนมุงอยู่เต็มไปหมด คนเ่าั้แทบจะขวางถนนเอาไว้เลยก็ว่าได้ นางดึงความคิดกลับมา รีบลดความเร็วลง แล้วควบม้าเข้าไปดูอย่างใจเย็น
เพราะนั่งอยู่บนม้า นางจึงสูงกว่าคนอื่นๆ ซึ่งนั่นทำให้มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
ที่แท้ก็มีคนถูกรังแกนี่เอง ชายที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ คนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่มุมถนน ร่างกายของเขาเปื้อนไปดินโคลนสกปรก ข้างกายมีสตรีที่ถูกห่อด้วยเสื่อเก่าๆ นอนอยู่ ฟังจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนที่อยู่รอบๆ แล้ว ดูเหมือนคนผู้นี้กำลังหาเงินเพื่อรักษาภรรยาที่ป่วยหนัก แต่กลับมาเจอคนอันธพาลเสียได้ นักเลงพวกนั้นเห็นว่าเขาอ่อนแอ จึงโยนเงินจำนวนไม่น้อยให้ โดยมีข้อแม้ว่าชายคนนี้ต้องกราบคำนับ แล้วเรียกพวกเขาว่า ‘บิดา’
เมื่อพูดถึงนักเลงคนนี้ ฝูงคนก็พากันส่ายหน้าและถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เขาก็คือทายาทแห่งตระกูลหลิว หลิวอวิ๋นชู บุตรชายของท่านโหวอันกั๋วนั่นเอง เขามีชาติกำเนิดสูงส่ง ทว่ามีนิสัยอันธพาลเกเร รังแกชาวบ้านเป็อาจิณ จนผู้คนพากันเรียกเขาว่านักเลงประจำซอย ถ้าคนผู้นี้มาที่ถนนสายนี้เมื่อใด ฝูงคนจะพากันหลบหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิเช่นนั้น หากถูกหมายหัวขึ้นมา พวกเขาต้องซวยแน่
ยกตัวอย่างเช่นชายที่พยายามหาเงินรักษาภรรยาคนนี้
หลิวอวิ๋นชูสวมชุดสีเขียว ชายเสื้อมีใบหลิวสีเทาสลักอยู่ ลวดลายบนนั้นช่างงดงามและสมบูรณ์แบบ เมื่อมองไปที่มัน ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองทุ่งดอกไม้แสนสวยอยู่เช่นนั้น เส้นผมของเขาถูกเกล้าขึ้นไปอย่างเป็ระเบียบ และถูกปักยึดเอาไว้ด้วยปิ่นหยกสีขาว ใบหน้าก็หล่อเหลาไม่น้อย น่าเสียดายที่บนนั้นมีความผยองจองหองฉายอยู่มากเกินไป
ชายผู้น่าสงสารคุกเข่าอยู่บนพื้น พลางขอร้องอ้อนวอนหลิวอวิ๋นชูไม่หยุด “ใต้เท้า ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด ข้าน้อยเองก็ไม่มีทางเลือก...”
หลิวอวิ๋นชูยกเท้าข้างหนึ่งออกไปถีบชายคนนั้นจนล้มลง ลูกน้องสองคนเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาประคองร่างของเขาเอาไว้ หลิวอวิ๋นชูพูดด้วยเสียงโกรธเกรี้ยวโดยที่ยังไม่ทันได้ลดเท้าลงเลยด้วยซ้ำ “เ้าอยากได้เงินนักไม่ใช่หรือ ข้าให้เงินเ้าแล้ว กะอีแค่เรียกข้าว่าบิดา มันยากตรงไหน? เ้าคิดว่าเงินทองเป็สิ่งที่หามาได้ง่ายๆ หรือ? เงินข้าก็ให้ไปแล้ว ตกลงว่าเ้าจะยอมเรียกดีๆ หรือต้องให้ข้าใช้กำลัง?”
หลิวอวิ๋นชูมักจะให้คนรับใช้ที่ช่ำชองเื่การต่อยตีไปไหนมาไหนด้วยเสมอ เพราะหากมีเื่ชกต่อยกับใครเข้า มีคนพวกนี้อยู่ด้วย โอกาสชนะย่อมสูงเป็ธรรมดา หากชายคนนี้ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ต้องถูกคนเหล่านี้รุมซ้อมอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้น ชายคนนั้นก็ยังคุกเข่าเงียบๆ ไม่ยอมเรียกหลิวอวิ๋นชูว่าบิดาเสียที หลิวอวิ๋นชูโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ เขาให้ลูกน้องยกร่างของตนเอาไว้ แล้วยกเท้าอีกข้างขึ้น เตรียมจะถีบร่างของชายคนนั้นด้วยเท้าทั้งสองข้าง
แต่ยังไม่ทันที่เท้าของเขาจะแตะโดนร่างของชายคนนั้น จู่ๆ วัตถุสีเงินก็ลอยเข้ามาหา และกระแทกลงบนหัวของหลิวอวิ๋นชูอย่างจัง หลิวอวิ๋นชูไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัว จึงยกมือขึ้นไปแตะจุดที่รู้สึกเจ็บ พบว่าจุดนั้นบวมปูดขึ้นมาเสียแล้ว
ก้อนเงินตกลงมาจากหัวของหลิวอวิ๋นชู ก่อนจะกระทบลงบนพื้นจนเกิดเสียงดัง เพียงไม่นาน เงินที่เคยขาวสะอาดก็เปื้อนไปด้วยดินโคลน
หลิวอวิ๋นชูกะพริบตาปริบๆ เมื่อเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็โมโหจนแทบะเิ รีบหันไปมองรอบด้าน “ใครเป็คนโยน? ใครบังอาจโยนเงินนี่ใส่ข้า ถ้าแน่จริงก็แสดงตัวออกมาสิ!”
ฝูงคนถอยห่างออกไปทันที ด้วยเกรงว่าอาจจะเดือดร้อนไปด้วย ในขณะเดียวกัน เมื่อฝูงคนแหวกถอยออกไป เฟิ่งสือจิ่นที่ขี่อยู่บนหลังม้าก็ปรากฏต่อสายตาของหลิวอวิ๋นชู นางปรายตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาคล้ายกำลังมองมดต่ำต้อยตัวหนึ่ง นั่นทำให้หลิวอวิ๋นชูโกรธจนแทบจะลุกเป็ไฟ เขาชี้นิ้วไปที่เฟิ่งสือจิ่น “เมื่อครู่ ใช่ฝีมือเ้าหรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นเชิดคางไปยังเงินบนพื้น ซึ่งบัดนี้เปื้อนไปด้วยฝุ่นโคลน “เงินนั่น ข้าให้”
หลิวอวิ๋นชูเม้มปากแน่น ก่อนจะพูดขึ้น “เ้าหมายความว่าอย่างไร?” เขาดูเหมือนคนจนนักหรือ? เมื่อครู่ เขาเพิ่งให้เงินจำนวนไม่น้อยแก่ขอทานคนนี้ไป แล้วเช่นนี้ เขาจะเป็คนที่ขาดแคลนเงินจนต้องแบมือขอคนอื่นได้อย่างไร ผู้หญิงคนนี้สมองไม่ปกติใช่หรือไม่
เฟิ่งสือจิ่นพูดต่อ “แต่ในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ หรอกนะ ข้าให้เงินเ้าเยอะพอๆ กับที่เ้าให้ชายคนนั้นแล้ว ดังนั้น เ้าก็ต้องเรียกข้าว่า ‘บิดา’ ด้วย ดีไหม?”
ฝูงคนสูดลมหายใจเฮือก คนผู้นี้ต้องเป็คนจากต่างถิ่นแน่ เพราะมีแค่คนต่างถิ่นถึงจะใจกล้า ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้
หลิวอวิ๋นชูสูดหายใจเข้าลึก เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งสือจิ่นทำให้เขาโกรธเต็มทีแล้ว “เ้าพูดว่าไงนะ? รู้ไหมว่าบิดาของข้าคือใคร?”
เฟิ่งสือจิ่นยกนิ้วโป้งขึ้นมาชี้จมูกตัวเอง ดวงตาคมกริบประกายความขบขันออกมา นางพูดด้วยท่าทางมั่นใจ “ก็ข้านี่ไง”
“เ้า!” หลิวอวิ๋นชูโกรธจนขาดสติ เขาส่งสัญญาณมือ พลางออกคำสั่งเสียงดัง “ไปดึงนางลงมาจากม้าแล้วซ้อมให้น่วม!”
ลูกสมุนได้ยินดังนั้นก็รีบแยกย้ายกันออกไปอย่างรวดเร็ว
คนที่หลิวอวิ๋นชูพามาด้วย ล้วนมีฝีมือเื่การต่อยตีทุกคน แต่หลังวิ่งวุ่นอยู่นาน คนเ่าั้ก็ยังดึงเฟิ่งสือจิ่นลงมาจากหลังม้าไม่ได้เสียที แม้จะมีร่างเล็ก แต่ใต้ชุดคลุมขนาดใหญ่ มือขาวเนียนคู่นั้นกลับทรงพลังและมั่นคงเป็อย่างมาก นางสามารถควบคุมม้าได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อม้ากระทืบเท้า หรือส่งเสียงคำรามขึ้น ลูกสมุนที่รุมล้อมอยู่รอบๆ ก็มักจะใจนถอยห่างออกไปทุกครั้ง
ระหว่างที่คนทั้งหลายกำลังวิ่งวุ่น หลิวอวิ๋นชูฉวยโอกาสตอนที่เฟิ่งสือจิ่นเผลอ รีบวิ่งพุ่งเข้าไปชนร่างของนางจากทางด้านข้าง เฟิ่งสือจิ่นควบม้าเอียงหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด น่าเสียดายที่เท้าของนางกลับถูกหลิวอวิ๋นชูจับเอาไว้ เฟิ่งสือจิ่นขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย อีกด้านหลิวอวิ๋นชูหัวเราะด้วยเสียงเ้าเล่ห์ พลางดึงเท้าของนางลงมาจากหลังม้าอย่างสุดแรง
เฟิ่งสือจิ่นล้มกลิ้งอยู่บนพื้น ชุดสีเขียวบนร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เมื่อลูกสมุนของหลิวอวิ๋นชูเห็นดังนั้นก็รีบกรูเข้ามาหาทันที อีกด้าน เฟิ่งสือจิ่นลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางใจเย็น หลิวอวิ๋นชูเป็คุณชายที่มีคนคอยดูแล ประคบประหงมมาั้แ่เด็ก จึงไม่รู้เื่การต่อสู้เลยสักนิด เขาคิดแต่จะดึงเฟิ่งสือจิ่นลงมาจากหลังม้าเพื่อให้ลูกสมุนรุมซ้อมนาง แต่คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งสือจิ่นจะลุกขึ้นมาจับตัวเขาเอาไว้เช่นนี้