เมื่อรวบรวมความคิดความทรงจำได้ทั้งหมดก็ทราบสถานการณ์ที่กำลังจะเผชิญอยู่คร่าวๆแล้ว ไท้หยูคนเก่าป่วยเป็โรคประหลาดจึงยืมสมุนไพรมากมายมาจากทั้งสองสำนัก แต่กระนั้นก็ยังเกิดข้อสงสัยขึ้นมากมาย สมุนไพรระดับสูงขนาดนั้นยังไม่สามารถรักษาโรคให้หายได้
ไท้หยูคนเก่าเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลาหากทราบว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้มีหรือจะยังใช้สมุนไพรนั้นพร่ำเพรื่อ ในตอนนี้สมองของเขายังมีความทรงจำหลาย่ที่ขาดหายไป เหตุการณ์ก่อนที่ไท้หยูจะตายจากไปนั้นยังไม่ปรากฏขึ้น แต่เขาคาดเดาว่าคงตายเพราะโรคที่ป่วย
“ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งโรคภัยไม่อาจกล้ำกรายกลับล้มป่วยจนตายลงสองคน จริงอยู่ที่โรคภัยนั้นหลากหลายแต่ทว่ากลับผู้ที่บรรลุถึงขั้นจิตไร้ขอบซึ่งอีกหนึ่งขั้นคือระดับเทพปรากฏแล้ว โรคภัยใดในโลกไม่มีทางจะทำให้ป่วยได้เลย นี่ข้อสงสัยแรก
“ข้อสงสัยที่สอง สมุนไพรมากมายเ่าั้เป็ไปไม่ได้ที่จะถูกใช้เพื่อการรักษา หลังจากไตร่ตรองดูดี ๆแล้ว สมุนไพรในโลกใบนี้แฝงพลังิญญาจากธรรมชาติไว้มากมาย ยิ่งเป็สมุนไพรระดับชั้นฟ้ายิ่งมีพลังิญญามาก ต่อให้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีร่างกายแข็งแกร่งหากรับประทานเข้าไปมากเกินร่างกายจะแตกเป็เสี่ยง ๆ ไม่สามารถทนรับไหว เห็นชัดๆ ว่าเื่นี้มีลับลมคมในบางอย่าง”
นี่คือสิ่งที่เขาสรุปได้หลังจากตั้งสติและรวบรวมความคิดได้แล้ว ในเื่ความทรงจำนั้นมีหลายส่วนที่ยังขาดหายไปจึงไม่สามารถปะติดปะต่อกันได้
“เอะ ไม่ถูกต้อง ความทรงจำของเขามักขาดหายไปใน่เวลาเดียวกันนั้นคือยามค่ำคืนนับ่เวลาที่ห่างกันแล้วราว ๆ สามสิบวัน....” หลังจากที่เขาขบคิดทบทวนความทรงจำทั้งหมดอยู่เนิ่นนานพลันจับพิรุธแปลก ๆ ขึ้นได้อย่างหนึ่ง ไท้หยูคนเก่าจะมีความทรงจำขาดหายไปหนึ่งวันในทุก ๆ เดือน ซึ่งตอนแรกเขายังมองว่าอาจเป็เพราะยังไม่สามารถรวบรวมความคิดและความทรงจำทั้งหมดเข้าด้วยกัน
แต่ทว่าเมื่อลองนึกทบทวนไล่หลังไปเรื่อย ๆ ก็พบว่ามีความผิดปกติ นี่เริ่มขึ้นั้แ่เขาอายุสามสิบเอ็ดปี .... ปีแรกที่เขาป่วยเป็โรคปริศนา เขานึกครุ่นคิดว่าเื่นี้มีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือไม่
“ทุกครั้งที่มีความทรงจำหายไปคือวันที่พระจันทร์เต็มดวง! ดูเหมือนเื่นี้จะไม่ใช่เพียงแค่โรคภัยธรรมดา สิ่งที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์คือพลังธาตุหยิน ในบรรดาทั้งเจ็ดมรรคาที่เกี่ยวข้องกับพลังธาตุหยินมีเต๋าและมนต์ดำ ส่วนมากมักเกี่ยวข้องกับมนต์ดำซึ่งเป็วิชาภูตผีเสียมากกว่า”
ในโลกที่เก่าเขาเป็บัณฑิตที่มีประสบการณ์มากมาย ทั้งจากการเผชิญในชีวิตจริงและศึกษาจากในตำรา จริงอยู่ที่ในตำรานั้นเป็ประสบการณ์ของผู้อื่น แต่หากเป็ผู้ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์นั้นก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร ดังนั้นเขาสามารถสรุปได้อย่างรวดเร็วว่า การตายของอาจารย์และไท้หยูคนเก่าต้องเป็ฝีมือของใครสักคน
“ดูเหมือนว่าในโลกนี้ฐานที่ตั้งของสำนักหรืออาณาจักรต่าง ๆ จะสร้างอยู่บนสิ่งที่เรียกว่าเส้นปฐี เส้นปฐีนี้จะเป็จุดหรือแหล่งที่สามารถดึงรวบรวมพลังิญญาในฟ้าดินให้หนาแน่น ซึ่งเป็สิ่งที่สำคัญที่สุดในการฝึกตน การฝึกตนอาศัยสามสิ่ง
หนึ่งพร์ซึ่งเื่นี้เป็สิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้เพราะถือว่าติดตัวมาั้แ่กำเนิด สองความเข้าใจในร่างกายและพลังิญญา สามารถััถึงพลังิญญาได้มากก็ยิ่งมีความก้าวหน้า สามพลังิญญาในธรรมชาติ ในอากาศที่หายใจเข้าออกนี่แฝงด้วยพลังิญญามากมาย แต่หากที่ใดที่มีเส้นปฐีที่แห่งนั้นจะดึงดูดพลังิญญาธรรมชาติเข้ามามากมาย ....
“พลังิญญาในโลกนี้เปรียบเสมือนพลังฟ้าดินในโลกเก่าของข้า โลกนี้ใช้พลังิญญาบ่มเพาะร่างและิญญา โลกเก่าของข้าใช้พลังฟ้าดินบ่มเพาะจิตบำเพ็ญฌาน แม้จะไม่ใช่เส้นทางที่เหมือนกันแต่ก็ต่างกันไม่มาก วิชาที่โลกเก่าของข้าสามารถฝึกปรือที่โลกนี้หรือไม่... คงต้องทดลองดูหลังจากนี้”
ทันใดนั้นเสียงครืนพลันดังมา แผ่นดินใต้เท้าสั่นะเืน้อย ๆ ไท้หยูเงยหน้าขึ้นตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง มองไปทางหน้าประตูทางเข้าสำนักพันปี แม้จะอยู่ไกลเกือบหนึ่งลี้แต่คล้ายสามารถััได้อย่างเลือนรางว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้น มีคนก่อเื่แล้ว
ไท้หยูลุกขึ้นจากบัลลังก์ยามนั้นพลันล้มเซไปด้านข้างล้มกลิ้งอยู่สองสามรอบค่อยสามารถลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงได้
“ร่างกายไม่ใช่ของข้า ยามกะทันหันยังไม่คล่องแคล่ว ดูเหมือนคนของสำนักพิรุณพายุอะไรนั่นจะมาก่อเื่ทวงหนี้ เฮอะ บิดาเป็ถึงผู้ฝึกตนขั้นจิตไร้ขอบ เดี๋ยวบิดาจะทุบเ้าให้เป็ลูกสุนัขข้างถนน”
เขายิ้มอย่างหยิ่งผยองเดินสามก้าวเริ่มโคจรพลัง จากนั้นค่อยนึกบางสิ่งได้ ทันใดนั้นร่างเขาพลันหยุดนิ่งใบหน้าที่หยิ่งผยองเปลี่ยนเป็ตะลึงงัน
“มารดามันเถอะ ไท้หยูเ้าเคยเป็ผู้ฝึกตนยุทธกายจารีขั้นจิตไร้ขอบ แต่ตอนนี้ขั้นพลังถดถอยเหลือขั้นหลอมจิต นี่มันเื่ปีศาจอะไรกัน”
ไท้หยูพยายามระงับความแตกตื่นอยู่ในใจ เื่นี้แม้แต่คนที่มีความทรงจำสองภพเช่นเขายังยากจะทำให้สงบนิ่งนี้ เพราะโลกนี้อาศัยความแข็งแกร่ง เพราะแข็งแกร่งจึงมีอำนาจ เขาในตอนนี้อ่อนแอยิ่งกว่าลูกศิษย์ของสำนัก หากให้ผู้อื่นรู้ ก้นของเขาคงไม่สามารถนั่งบนบัลลังก์ประมุขได้แน่นอน เื่นี้ให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด
ขั้นพลังในโลกนี้ไม่ทราบมีทั้งหมดกี่ขั้นแต่ในสมองที่เขารู้มี รับแสงปราณ หลอมจิต รวมกาย จิตไร้ขอบ เทพปรากฏและเซียนนิรันดร์ สูงกว่านั้นเขาไม่รู้แล้ว
ไท้หยูเดินอย่างมั่นคงสาวเท้าออกจากห้องโถงร้อยปีของสำนักไปยังประตูเสาด้านหน้า เขาเป็บุรุษวัยสามสิบสี่ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าแม้ไม่ได้หล่อเหลาถึงขั้นสุด แต่ก็มีโครงหน้าสามเหลี่ยมคมคาย ขอบกรามชัด คิ้วหนาดำ ั์ตาสีเขียว จมูกโด่งคมเป็สัน ทั้งหมดนี้กอปรเป็เสน่ห์ที่ไม่ธรรมดา
เป็ความหล่อเหลาในแบบชายชาตรีที่องอาจเข้มแข็ง เขาสวมชุดเสวียนอีสีดำ ยามเดินใต้แสงแดดสาดส่องผมสีดำผิวสีข้าวสาลีเป็ประกายคนคล้ายแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่ง
เมื่อเข้าใกล้ต้นไม้ใหญ่ั์และตึกสูงก็เห็นคนสามคนกำลังยืนอยู่
อันที่จริงสมควรเรียกว่าสองคนยืนอยู่อีกหนึ่งคุกเข่ากับพื้น บุรุษที่สวมชุดเลิศหรูผ้าแพรชั้นเยี่ยมยืนข่มเหงชายชุดนักพรตอย่างโอหัง คนที่สวมชุดเขียวมือกุมด้ามกระบี่กล่าววาจาถมถุยหยาบคายไม่หยุด
“เฮอะ เป็บุรุษหล่อเหลาที่เสียเปล่าจริง ๆ นิสัยกลับต่ำช้ายิ่งนัก” ไท้หยูก้าวอย่างปลอดโปร่งไปยืนอยู่ด้านข้างชายชุดนักพรต เชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งกวาดตามองบุรุษทั้งสองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พลางกล่าวสืบต่อว่า
“พวกเ้าเป็แค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้ามารังแกคนของข้าที่นี่ อยากตายหรือ....”
ั์ตาไท้หยูเป็ประกาย จิตสังหารแผ่พุ่งใส่บุรุษทั้งสองอย่างไม่แยแส เขาโบกมือเบา ๆ สายลมหอบหนึ่งพลันโชยมาร่างของชายชุดนักพรตพลันลอยขึ้นพยุงให้เขายืน ไท้หยูหันไปกล่าวกับชายชุดนักพรตว่า
“เ้าเป็ผู้เฝ้าประตูของสำนักพันปี ไฉนทำเื่เสียหน้าเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ”
ทุกคำพูดของเขาแสดงออกถึงผู้มีอำนาจเหนือทุกคน ยโส เย่อหยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ทว่าภายในใจเขากล่าวว่า “มารดามันเถอะ เ้าสองตัวนี้อยู่ขั้นรวมกายระดับสมบูรณ์ โชคดีที่ไท้หยูคนเก่าเคยบรรลุขั้นจิตไร้ขอบแล้ว หากไม่พวกมันทั้งสองต้องรู้แน่ว่าขั้นพลังของข้าถดถอย”
สำหรับผู้ที่เคยบรรลุขั้นพลังสูง ๆ แล้วในหลายแง่พวกเขาเข้าใจการใช้พลังมากกว่าผู้ที่อยู่ขั้นต่ำกว่า แม้ว่าไท้หยูในตอนนี้จะขั้นพลังลดลงเหลือเพียงขั้นหลอมจิต แต่เขาก็เคยบรรลุขั้นจิตไร้ขอบ ในความเข้าใจบางจุดเขาเหนือกว่าดังนั้นเขาสามารถใช้ความเข้าใจในจุดนี้มากดข่มอีกฝ่าย แน่นอนว่านี้เป็เพียงการแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น หากอีกฝ่ายเปิดการโจมตี เขาไม่มีทางสู้ได้ เพราะขั้นพลังของเขาตอนนี้คือหลอมจิต ไม่ใช่จิตไร้ขอบในอดีต
แต่กระนั้นการแสดงของเขาก็ได้ผล จิตคุกคามที่เขาส่งออกไปสะกดข่มบุรุษทั้งสองได้อยู่อย่างหมัด แรงกดดันจากไท้หยูบวกกับมหาพยุหะของเทือกเขาหยกกดทับมันทั้งสองจนหายใจแทบไม่ออก บุรุษชุดม่วงร่างสั่นเทิ้มทว่าสีหน้ายังแสดงความพยศไม่ยอมแพ้กล่าวเสียงแข็งว่า
“อาจารย์ให้ข้ามาทวงทรัพย์ที่ประมุขไท้หยูยืมไป อาจารย์บอกว่าหากเดือนนี้สำนักพันปีไม่ใช้หนี้คืน เช่นนั้นในแผ่นดินนี้ อาณาจักรนี้จะไม่มีสำนักที่ชื่อสำนักพันปีอีกต่อไป”
กล่าวจบก็หอบหายใจอย่างหนักคล้ายคนวิ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยนับสิบลี้ก็มิปาน คำพูดช่างโอหังยิ่งนัก
ชายชุดนักพรตตวาดเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“โอหังเกินไปแล้ว คิดว่าสำนักพันปีของข้ารังแกง่ายอย่างนั้นรึ ต้องต่อยตีกันสักคราพวกเ้าจึงจะรู้ความร้ายกาจ....” ผู้าุโเฝ้าประตูกล่าวไม่จบก็ถูกขัดเอาไว้ ไท้หยูยกมือขึ้นสั่งให้เขาหยุด
ไท้หยูกวาดตามองบุรุษทั้งสอง ใบหน้าเ็าั์ตาสีเขียวแผ่จิตสังหารรุนแรงออกมา บุรุษทั้งสองพลันรู้สึกว่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ชายร่างสูงโปร่ง แต่เป็บรรพตน้ำแข็งกดทับร่างกาย
ไท้หยูแค่นเสียงเ็ากล่าวว่า
“อาจารย์ของพวกเ้าคงลืมรสชาติของการถูกทุบตีเป็สุนัขข้างถนนแล้วกระมัง” เขาลดเสียงต่ำลงกล่าวเสียงขรึมและหนักแน่นว่า
” ไสหัวพวกเ้าทั้งสองกลับไป ไปบอกอาจารย์ของพวกเ้าว่าสำนักพันปีมิได้รังแกโดยง่าย” กล่าวจบคำเสียงครืนดั่งอสนีบาตพลันดังสะท้านไปทั่วเทือกเขา เทือกเขาหยกไม่ได้มีอสนีบาต แต่เสียงกัมปนาทดังจากใจของผู้ที่ฟัง บุรุษทั้งสอง ผู้าุโเฝ้าประตู รวมถึงลูกศิษย์ที่อยู่ตึกหน้าข้างต้นไม้ใหญ่ที่ได้ยินคำพูดนี้ล้วนะเืเลือนลั่น ได้ยินกัมปนาทดังที่ข้างหูทั้งสองข้าง
ไท้หยูยิ้มย่องอยู่ในใจ” วิชาขวัญวาจาสามารถใช้ได้ในโลกนี้ เฮอะ เป็อย่างไรละ แม้ข้าจะต่อยตีสู้ไม่ได้ แต่ข้าคือบัณฑิต สามารถใช้คำพูดข่มพวกเ้าได้” วิชาขวัญวาจาเป็วิชาในโลกเก่าของเขา วิชานี้ไม่ได้มีอะไรวิเศษอย่างมากก็แค่ทำให้อีกฝ่ายใ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อมาใช้ในโลกนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้