เล่มที่ 3 บทที่ 90
“ฮูหยินหลิงเป็ใคร? นั่นคือสมาชิกในครอบครัวของราชวงศ์ เ้าคิดว่าข้ามีความสามารถในการสืบเื่นี้หรือ?” หรี่ั์ตาที่เป็ประกายวาววับอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม พลางมองดูนางขมวดคิ้วครุ่นคิดซึ่งเป็ท่าทางที่เขาชอบมาก
“ข้าเชื่อว่า เ้าทำได้อย่างแน่นอน” นางมักจะรู้สึกแปลกใจต่อสถานะของจ้าวจื่อซินอยู่เสมอ คนที่เฉินเทียนหยูถูกใจ คนรอบข้างเขามีแต่คนเก่งกาจ อย่างการส่งจดหมายถึงพี่ชายใหญ่ สำหรับในสายตาของเขายังเป็เพียงเื่เล็กน้อยเท่านั้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขารู้จักหมอเทวดาจริงๆ ด้วย
นางถามหยั่งเชิงต่อหมอเทวดามากกว่าหนึ่งครั้งโดย้าทราบตัวตนของจ้าวจื่อซิน แต่หมอเทวดายังคงปิดบังไว้ คิดว่าเขาคงจะถูกจ้าวจื่อซินตักเตือน แม้กระทั่งหมอเทวดาที่ปากไวยังหุบปากไม่พูด นั่นทำให้มู่หรงฉิงต้องเชื่อถึงความแข็งแกร่งของจ้าวจื่อซินว่าไม่ควรมองข้าม
การรับรองของนางแลกกับดวงตาเป็ประกายของจ้าวจื่อซิน เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและพูดเบาๆ ว่า “ั้แ่รู้จักเ้ามา ข้ายังไม่เคยเห็นทักษะการต่อสู้ของเ้า ในเมื่อเ้าเป็เ้านายของข้า เ้าก็ควรจะให้ข้าได้เห็นความสามารถของเ้าบ้าง”
เขาไม่ให้โอกาสมู่หรงฉิงได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ชายหนุ่มเอื้อมแขนออกไปโอบรอบเอวของนาง หลังจากกะพริบตาอีกหน ทั้งคู่ก็อยู่ในประกายไฟนับพันแล้ว
เมื่อมองดูประกายไฟจากด้านนอก ความรู้สึกของการอยู่ในประกายไฟนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หิ่งห้อยส่องประกายพร้อยพรายบินผ่านไปมาคล้ายกับิญญาผู้น่ารัก กองไฟเล็กๆ รวมตัวจากน้อยกลายเป็มาก ยามมองจากรอบนอก กลายเป็ทิวทัศน์ที่สวยงาม
ดาบยาวถูกดึงออกจากฝักส่งเสียงดังชิ้ง ขณะที่มู่หรงฉิงยังคงประหลาดใจกับความจริงที่ว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ สามารถสร้างฉากอันยิ่งใหญ่ได้ ดาบยาวของจ้าวจื่อซินก็เข้าไปอยู่ในกำมือของนางเสียแล้ว
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง สบกับดวงตาเป็ประกายของจ้าวจื่อซิน “ข้าจะสอนเพลงดาบให้เ้าเพียงครั้งเดียว และเ้าจะเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใด นั่นขึ้นอยู่กับความเฉลียวฉลาดของเ้า”
หลังจากพูดจบก็โบกมือขวาทำให้นางเป็เหมือนผีเสื้อเขย่าปีกหลากสีรบกวนดวงดาวที่เริงระบำ ร่างสูงของจ้าวจื่อซินยืนประชิดอยู่ด้านหลังนาง จับข้อมือขวาของมู่หรงฉิงพร้อมส่งดาบพันเล่มออกไปด้วยกระบวนท่าเดียว
“หัวใจและดาบเป็อันหนึ่งอันเดียวกัน ดาบและหัวใจก็เป็อันหนึ่งอันเดียวกันเช่นเดียวกัน” การเคลื่อนไหวของเขาผลักดันให้ร่างกายแข็งทื่อของนางเคลื่อนไหว “เทพและหัวใจหลอมรวมกัน มนุษย์และดาบรวมกันกลายเป็หนึ่งเดียว”
“มีการเคลื่อนไหว แต่เป็การเคลื่อนไหวเบาดุจสายลมพัดผ่านตลิ่งน้ำ ไม่อาจกระแทกทำให้เกิดคลื่นน้ำ ไม่สามารถทำให้เกิดคลื่นน้ำเชี่ยว กำลังภายในพุ่งเข้าสู่ดาบ แทงเหมือนกับการสั่งสมของเวลา โบกดาบราวกับสายลมแรง เก็บดาบราวกับการกลับมาของั”
การเคลื่อนไหวของนางเปลี่ยนไปตามเขา ด้านหลังคือแผงอกกว้าง ส่วนที่ข้อมือของนางคือฝ่ามือเย็นเยียบของเขา การอยู่ใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกอับอายกึ่งหงุดหงิดในใจเล็กน้อย แต่กระนั้นนางก็ไม่อาจหลุดออกจากอ้อมกอดของเขาได้
การเคลื่อนไหวเชื่องช้าค่อยๆ เร็วขึ้นทำให้กระบวนท่าดาบมีพลังเพิ่มมากขึ้น ครั้นปรากฏรัศมีของดาบราวกับรุ้งความรู้สึกอับอายของมู่หรงฉิงกลับค่อยๆ หายไป ตามด้วยความอิสระและความรู้สึกสบายๆ อย่างไม่รู้จบ
บุคคลที่อยู่ในอ้อมแขนมีสภาพที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ แสงสว่างที่เปล่งประกายในดวงตาของจ้าวจื่อซินพลอยเพิ่มขึ้น หลังร่ายรำเพลงดาบเสร็จสิ้น ในใจเขาจึงยกย่องนางมากขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าเ้าสามารถใช้เพลงดาบเช่นเมื่ออึดใจก่อนได้ ข้าจะทำให้เ้าประหลาดใจมากขึ้น”
เพลงดาบนี้เป็วิชาดาบเบื้องต้นของสกุลจ้าว สิ่งที่ต้องห้ามมากที่สุดสำหรับผู้ฝึกศิลปะการป้องกันตัวนั่นคือความใจร้อน และพวกเขาให้ความสนใจกับคำว่า ‘สงบ’ ถ้ามีความสับสนในหัวใจ เวลาไม่ช้าก็เร็วจะหลงทาง นั่นคือกระบวนท่าในเพลงดาบสามารถทำให้ผู้คนมีจิตใจที่ทั้งสงบและแจ่มใส
มู่หรงฉิงไม่ทราบที่มาของเพลงดาบ แต่นางรู้สึกว่ากระบวนท่าในเพลงดาบได้ขจัดความคับข้องอึดอัดในหัวใจของนาง และความโกลาหล ความว่างเปล่าในใจของนางดูเหมือนจะถูกปลดปล่อยออกมาจากการสะบัดดาบ
แม้การร่ายรำเพลงดาบจะจบลง แต่มู่หรงฉิงยังคงมีอารมณ์ฮึกเหิม ยิ่งได้ฟังคำพูดของจ้าวจื่อซินอีกหน นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างชาญฉลาด “ได้เลย ข้าจะรอความประหลาดใจจากเ้า”
นางตวัดดาบในมือจนปรากฏคล้ายรูปดอกไม้ เคลื่อนไหวคล่องแคล่วประดุจนกนางแอ่นร่ายรำท่ามกลางประกายไฟนับพัน
จ้าวจื่อซินยืนกุมมือด้านหลัง ดูการร่ายรำดาบของนางไหลลื่นพลิ้วไหว เหวี่ยงหิ่งห้อยไว้รอบตัว หิ่งห้อยจึงเกาะกลุ่มสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็คลุมนางได้ทั้งร่าง ด้วยการเคลื่อนไหวของดาบ ร่างของนางจึงส่องแสงเปล่งประกายราวกับเทพสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์ใน์ทั้งเก้าชั้น ทำให้ผู้คนที่เห็นเป็ต้องตื่นตาตื่นใจ
ระหว่างที่จ้าวจื่อซินพามู่หรงฉิงเข้าไปอยู่ท่ามกลางประกายไฟ การเคลื่อนไหวของเฉินเทียนหยูจึงหยุดลงโดยมองดูทั้งสองคนด้วยความสงสัย เขาสงสัยว่าทั้งคู่กำลังจะทำอะไร?
จนกระทั่งจ้าวจื่อซินหยุดเคลื่อนไหวและยืนอยู่ด้านข้าง โดยที่มู่หรงฉิงยังคงร่ายรำดาบอยู่คนเดียว เฉินเทียนหยูจึงะโเข้าไปรำดาบกับมู่หรงฉิงอย่างมีความสุขกลายเป็ไข่มุกคู่หยก ชิงยวี่ซึ่งกำลังเฝ้าดูอยู่ด้านข้างส่ายศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก “เ้านาย เ้านายจะไปสืบข้อมูลของฮูหยินหลิงจริงๆ หรือ?”
“สืบไม่ได้หรือ?” สายตาของเขาติดตามร่างสง่างามและมีเสน่ห์อย่างใกล้ชิด ประหลาดใจที่นางจำเพลงดาบทั้งหมดได้
“ท่านผู้นำได้กล่าวไว้ว่า ไม่ว่าเ้านายจะเหลวไหลข้างนอกอย่างไร...”
“เหลวไหลหรือ?” เปล่งเสียงทวนถ้อยคำสุดท้ายยาวขึ้น และเลื่อนสายตาไปมองที่ชิงยวี่
“เอ่อ... ผู้น้อยสมควรตาย ท่านหัวหน้าบอกแล้วว่าไม่ว่าท่านจะต่อสู้กับความอยุติธรรมภายนอกอย่างไร จะปล้นคนรวยและช่วยเหลือคนจนอย่างไร จะควบคุมความชั่วและส่งเสริมความดีอย่างไร สิ่งที่สำคัญเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือ ท่านต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่ของราชสำนัก” ชิงยวี่ใช้สมองคิดหาคำตอบอย่างหนัก จากนั้นก็หาคำตอบมาเสริมเติมได้สองสามคำ ประเด็นคือ คำพูดเ่าั้ยังไม่เข้ากับเ้านายของเขา เขาจะต้องคิดหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุด และคำพูดของท่านผู้นำย่อมเป็คำตอบที่เหมาะสมที่สุด เมื่อใดก็ตามที่นึกถึงเสียงคำรามดุจสิงโตของท่านผู้นำ 'เ้าไปทำเื่เหลวไหลอะไรด้านนอกอีกแล้วหรือ? ในเวลานั้นชิงยวี่มักจะรู้สึกเสมอว่า คำว่า 'เหลวไหล' นั่นค่อนข้างเหมาะสมกับพฤติกรรมของเ้านาย
“คนเราจะต้องรู้วิธีผสมผสานและปรับตัว แค่ไปสืบ ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก” หลังจากได้ยินคำพูดดีๆ ของชิงยวี่ จ้าวจื่อซินจึงตบไหล่ของชิงยวี่อย่างพึงพอใจ “ชิงยวี่ เมื่อเร็วๆ นี้ หลิงหยู่เก๋อดูเหมือนจะไม่ได้ส่งข่าวคราวที่น่าสนใจให้ข้าใช่หรือไม่? ทำไมไม่ลองไปสืบเกี่ยวกับฮูหยินหลิงอย่างเต็มความสามารถดูล่ะ ไปสืบดูว่านางเกิดเมื่อไร แต่งงานเมื่อไร ชอบใคร เกลียดใคร ทำอะไรดีๆ ไว้บ้าง ทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง จะเป็การดีที่สุด ถ้าสามารถเขียนได้ว่านางกินอะไรเป็อาหารในสามมื้อต่อหนึ่งวัน”
“เ้านาย ท่านไม่สามารถใช้คนของหลิงหยู่เก๋อเพื่อสืบเื่ที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักได้”
“มันจะถูกเปิดเผยหรือ ข้าเลี้ยงพวกเขาเป็เวลานานแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีข่าวคราวที่เป็ประโยชน์เลย นี่เป็การเลี้ยงทหารพันวัน และใช้พวกเขาสักพักไม่ใช่หรือ”
“หลิงหยู่เก๋อเป็ภัยคุกคามต่อราชสำนักไปเรียบร้อยแล้ว เ้านายอย่าเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของมันมากนักจะได้หรือไม่?” ชิงยวี่โกรธมาก หลิงหยู่เก๋อมีผลงานที่ดีมากและชื่อเสียงของมันก็ยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้แม้กระทั่งราชสำนักยังหวาดระแวงหลิงหยู่เก๋อถึงสามส่วน ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงหยู่เก๋อไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก เกรงว่าราชสำนักคงจะส่งกองกำลังไปล้อมและปราบปรามมันนานแล้ว
“จริงหรือ? แต่ในสองสามปีนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย” พลังที่วางบนไหล่ของชิงยวี่เพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำน้ำเสียงของเขายังผิดจากปกติเล็กน้อย “โธ่ ในสองสามปีนี้อยู่ในจวนเฉิน มันน่าเบื่ออย่างน่าประหลาดแท้ คราวนี้เรามาเล่นใหญ่กันเถอะ เ้านายของพวกเรา้าข้อมูลเกี่ยวกับฮูหยินหลิง ดังนั้นพวกเราหาข้อมูลมาเพิ่มเพื่อทำให้ประหลาดใจดีหรือไม่?”
ไม่ดี มันไม่ดีมากๆ “รับทราบ ผู้น้อยเชื่อฟังคำสั่งของเ้านายทุกอย่าง” เขาเปล่งเสียงเห็นด้วยกับจ้าวจื่อซินทั้งที่ปากไม่ตรงกับใจ แต่ชิงยวี่รู้สึกว่าอาการปวดที่ไหล่ของเขาลดน้อยลงเล็กน้อย
ไม่ดี มันไม่ดีจริงๆ หากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่ของราชสำนัก แล้วถ้าเกิดท่านผู้นำรู้เข้า ท่านผู้นำจะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน ทว่าถ้าเขาไม่ตอบตกลง เ้านายคงจะฆ่าเขาในตอนนี้...
เขาหันไปมองมู่หรงฉิงซึ่งยังคงสร้างภาพลวงตาที่สวยงามอย่างไม่ลืมหูลืมตาด้วยความไม่พอใจ ชิงยวี่เอ่ยถามเ้านายของตนเองอย่างจนปัญญา “เ้านาย เ้านายแพ้แค่ครั้งเดียวก็เท่านั้นเอง แต่ทำไมเ้านายถึงได้ทำงานหนักเพื่อฮูหยินน้อยล่ะ? เ้านายก็รู้ว่ายุทธภพกับราชสำนักนั้นเป็คนละโลกกัน...”
“ใช่แล้ว คนละโลกกัน แต่นาง้ามัน ข้าจะให้ในสิ่งที่นาง้าไม่ได้เชียวหรือ?” พูดพึมพำกับตัวเอง สายตาของเขาหันกลับไปหาร่างที่พร่างพรายอีกหน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมองนางแล้วรู้สึกมีความสุขในใจ?
ดูมู่หรงฉิงจบการร่ายรำกระบวนท่าดาบ รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของนาง สีหน้าของนางคาดเดาไม่ได้ แต่หัวใจของจ้าวจื่อซินกลับโอนอ่อนอย่างสุดจะพรรณนาเป็คำพูด “เ้าดูสิ นางยิ้มเหมือนจิ้งจอกน้อยเ้าเล่ห์ใช่หรือไม่?”
“เอ่อ…” เ้านาย ที่จริงแล้ว รอยยิ้มของฮูหยินน้อยเหมือนกระต่ายน้อยแสนเชื่องตัวหนึ่งมากกว่า... ชิงยวี่ไม่รู้ว่าในสายตาของเ้านายมองเป็เช่นนั้นไปได้อย่างไร?
“มู่หรงฉิง ถ้าโลกนี้ทำให้เ้าผิดหวัง ข้าจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเพื่อเ้า แล้วสร้างโลกขึ้นมาใหม่ เ้าคิดว่าอย่างไรหรือ?”
เขาพึมพำเสียงเบาไปพร้อมกับการก้าวเท้าของนาง
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าราชสำนักและยุทธภพนั้นอยู่คนละโลก? เพียงแต่สิ่งที่นาง้า เขาจะหามาให้นาง แม้ว่าจะต้องขึ้นไปบนฟ้าและมุดลงดินก็ตาม
ยุทธภพแล้วอย่างไรหรือ? เขารู้เพียงว่า สำหรับนาง แม้ว่าจะทำให้ยุทธภพปั่นป่วนฆ่าฟันเป็ฝนโลหิต ตราบใดที่สามารถแลกกับรอยยิ้มของนางได้ มันย่อมคุ้มค่า
ราชสำนักแล้วอย่างไรหรือ? เขารู้เพียงว่าตราบใดที่นางสามารถยิ้มได้ แม้ว่ายุทธภพทั้งหมดจะเป็ศัตรูของราชสำนัก แล้วทำไมจะทำไม่ได้?
ในเช้าของวันรุ่งขึ้น มู่หรงฉิงถือตำราแพทย์อยู่ในมือพร้อมอ่านมันอย่างตั้งใจ เฉินเทียนหยูถือพู่กันอยู่ด้านข้างและเขียนอย่างตั้งใจ
สำหรับเฉินเทียนหยูแล้ว คำนั้นยากเกินกว่าจะเขียน เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมน้องหญิงถึง้าให้เขาเขียน?
หลังจากเขียนคำว่า ‘เฉิน’ เสร็จแล้ว เฉินเทียนหยูก็วางพู่กันลงบนโต๊ะอย่างสุดจะทน “น้องหญิงมาฝึกทักษะการต่อสู้กับข้ากันเถอะ ทักษะดาบที่น้องหญิงฝึกฝนเมื่อคืนสวยงามมากเชียวล่ะ”
“นั่นก็เพื่อการฝึกฝนตนเองและเป็การบำรุงรักษาพลังลมปราณ มันไม่ใช่เพื่อการเล่นกายกรรมเสียหน่อย” ั้แ่กลับมาเมื่อคืน เฉินเทียนหยูก็ตามตอแยให้นางฝึกเพลงดาบ กระทั่งในขณะหลับเขายังคงพูดพึมพำอย่างต่อเนื่อง และคิดว่านางเป็นักเล่นกายกรรมจริงๆ เสียแล้ว
“น้องหญิง...”
“คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญคุณหนูใหญ่ไปที่เรือนสือเสียน*” คำพูดของเฉินเทียนหยูถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของปี้เอ๋อร์ มู่หรงฉิงวางหนังสือในมือลง “เรียกว่าเรือนสือเสียนแต่ผู้คนในนั้นกลับอยู่สุขไม่ได้เลย”
(*สือเสียน หมายถึง อยู่สุข)
นางรู้ว่าคำพูดของเป้ยหนิงเมื่อวานทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าขุ่นเคือง ถัดจากนี้ไปเกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้ออกจากจวนเฉินอีกแล้ว อย่างน้อยนางไม่สามารถออกจากจวนเฉินอย่างเปิดเผยได้
ทันทีที่เฉินเทียนหยูได้ยินว่าจะต้องไปหาฮูหยินผู้เฒ่า เขาก็จับมือของมู่หรงฉิงด้วยความปีติยินดี ดีมากเลย ในที่สุดก็ไม่ต้องฝึกคัดอักษรแล้ว
พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น อากาศจึงไม่ร้อนมาก นางพาปี้เอ๋อร์และชุ่ยเอ๋อร์ไปด้วย มู่หรงฉิงและเฉินเทียนหยูเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนสาวใช้ทั้งสองเดินตามด้านหลัง
เดินไปครึ่งทางก็เห็นแม่รองเฉินเยื้องย่างกรีดกรายร่างอรชรเข้ามาโดยมีหลิงเอ๋อร์คอยประคอง
“ฉิงเอ๋อร์น้อมทักทายแม่รองเฉิน”
“แม่รองเฉินจะไปหาฮูหยินผู้เฒ่าด้วยหรือไม่?” เฉินเทียนหยูจับมือของมู่หรงฉิง ครั้นเห็นแม่รองเฉิน เขาก็ฉีกยิ้มทักทาย
“ต่างก็เป็คนในครอบครัวเดียวกัน อย่าใช้มารยาททางสังคมผิวเผินเ่าั้เลย” หลังจากยื่นมือทำท่าประคองมู่หรงฉิง แม่รองเฉินถึงได้พูดกับเฉินเทียนหยูว่า “ข้าเพิ่งกลับมาจากการไปคำนับฮูหยินผู้เฒ่า ข้าคิดว่าฉิงเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอ ไม่ไปคำนับแล้วเสียอีก”