ผู้ใหญ่บ้านพูดต่อ "เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนพวกเ้าลืมไปแล้วหรือ? กฎที่พวกข้าตั้งไว้พวกเ้าก็ลืมไปแล้วหรือ? ตอนนั้นข้าบอกแล้วว่า ชื่อเสียงของสตรียิ่งใหญ่กว่า์ หากไม่มีหลักฐาน เท่ากับเป็การป้ายสี ทำไม พวกเ้าอยากให้เื่ที่เกิดขึ้นกับแม่นางหรง เกิดขึ้นในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวอีกครั้งหรือ?"
แม่นางหรง คือเ้าสาวที่ฆ่าตัวตายในอดีต
ตอนนั้นมีข่าวลือว่า แม่นางหรงมีบุรุษคนรักที่เติบโตมาด้วยกัน ก่อนจะแต่งงานมาที่หมู่บ้านเสี่ยวหนิวนางกับบุรุษคนนั้นเป็สามีภรรยากันแล้ว ทั้งยังบอกว่าแท้จริงแล้วพวกเขามีลูกด้วยกันนานแล้ว เพื่อจะเลี่ยงความอัปยศและอับอาย ครอบครัวของแม่นางหรงจึงให้นางแต่งงานมาที่หมู่บ้านเสี่ยวหนิว เมื่อออกเรือนไกลบ้าน จึงไม่มีผู้ใดทราบเื่เหล่านี้แล้ว
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็คนริเริ่มข่าวลือ หลังจากกลายเป็เื่ใหญ่ ทุกคนต่างพูดถึงเื่นี้ ราวกับเห็นด้วยตาตนเองอย่างไรอย่างนั้น ขาดก็แต่ะโโลดเต้นเท่านั้น
ครั้งหนึ่งแม่นางหรงอยากจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองว่าข่าวลือที่พูดกันนั้นไม่ใช่ความจริง แต่น่าเสียดายที่ไร้ประโยชน์ ถึงขั้นแม้แต่ครอบครัวสามีก็เริ่มหวาดระแวงสงสัย อุปนิสัยของสามีก็เปลี่ยนไปเป็คนละคน สุดท้ายแม่นางหรงสิ้นหวัง ใช้ผ้าแพรขาวผูกคอฆ่าตัวตาย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
เื่นี้กลายเป็เื่ใหญ่ คนในครอบครัวของแม่นางหรงมาร่วมพิธีไว้อาลัย เมื่อได้ยินข่าวลือนี้ แล้วจะให้พวกเขายอมยุติเื่นี้ได้อย่างไร ไม่เพียงร้องเรียนในหมู่บ้าน ทั้งยังร้องเรียนไปถึงที่ว่าการอำเภอ
แต่เมื่อถามว่าผู้ใดคือฆาตกร กลับเงียบกริบ
เื่นี้ ผู้ใดคือฆาตกร? สามีของนาง? แม่สามี? หรือว่าเพื่อนบ้าน?
คล้ายว่าทุกคนล้วนเป็ฆาตกร แต่ก็คล้ายว่าทุกคนล้วนไม่ใช่ฆาตกร การตายของแม่นางหรง ไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชอบ แต่แท้จริงแล้วล้วนเกี่ยวข้องกับทุกคน
แม้นายอำเภอจะทราบต้นสายปลายเหตุของเื่ทั้งหมด ก็ยากที่จะตัดสิน สุดท้ายสั่งโบยพี่ชายของแม่นางหรง แล้วขับไล่เขาออกไป แม้จะผ่านมาหลายปี แต่เพียงนึกถึงสตรีที่ตายจากไปใน่ชีวิตที่ดีที่สุด ทุกคนต่างรู้สึกละอายอย่างสุดซึ้ง
แม่นางหรงตายแล้ว ตายเพราะข่าวลือบีบต้อน นางใช้ผ้าแพรขาวจบชีวิตของตนเอง ทุกคนที่นี่ล้วนต้องรับผลกรรมต่อการตายของนาง
ผู้ใหญ่บ้านมองดูสีหน้าของทุกคน "ในเมื่อทุกคนยังไม่ลืม เช่นนั้นก็น่าจะจำได้ ผู้ที่ป้ายสีคนบริสุทธิ์ ต้องถูกลงโทษอย่างไร"
ผู้ใหญ่บ้านประสานมือคำนับผู้าุโทั้งห้าคน "เื่ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ท่านผู้าุโทั้งหลายโปรดตัดสินด้วยขอรับ"
แม้เขาจะเป็ผู้ใหญ่บ้าน ทว่าไม่ใช่ผู้าุโใหญ่ ทั้งยังเป็คู่กรณี ไม่ว่าจะโดยส่วนรวมหรือโดยส่วนตัว ล้วนสมควรให้ผู้าุโตัดสิน
ลุงสือโถวคือหนึ่งในผู้าุโทั้งห้า เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดเป็คนแรก
"ในเมื่อผู้ใหญ่บ้านอยากให้พวกข้าตัดสินใจ เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่ปฏิเสธ ซุนหลานฮวา ข้าขอถามเ้า สิ่งที่เ้าพูด เ้าเห็นด้วยตาตนเอง หรือปั้นน้ำเป็ตัว?"
ซุนหลานฮวาเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก น้ำหูน้ำตารินไหล นางสะอึกสะอื้น "ผู้ใหญ่บ้าน ลุงสือโถว ทั้งหมดนี้ข้าล้วนได้ยินมาจากผู้อื่น ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเ้าค่ะ"
ลุงสือโถวหัวเราะในลำคอ "ได้ยินผู้อื่นพูดกัน? สิ่งที่ได้ยินผู้อื่นพูด เ้ากล้านำไปพูดต่อหน้าคุณชายหลี่เช่นนั้นหรือ?"
เป็เพราะบรรดาหญิงสาวที่เอาแต่พูดจาเรื่อยเปื่อย วันๆ ยามไม่มีสิ่งใดทำก็จับกลุ่มนินทา จึงทำให้สภาพแวดล้อมของหมู่บ้านเสี่ยวหนิวย่ำแย่ลงทุกปี ลุงสือโถวรู้สึกขวางหูขวางตามานานแล้ว สำหรับเขาเื่ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็โอกาสดีในการจัดระเบียบหมู่บ้านเสี่ยวหนิว เขาไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไปแม้แต่น้อย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ซุนหลานฮวาสติแตกไปนานแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปหาบิดาและมารดาของตนเอง ได้ยินเพียงเสียงกระทืบเท้าอย่างแรงของลุงสือโถว "เ้าอย่ามองหาบิดามารดา ต่อหน้าบรรพบุรุษ พวกเขาไม่มีสิทธิ์พูด!”
มองหาบิดามารดายามสร้างปัญหา ทว่าตอนพูดนินทาว่าร้ายผู้อื่นกลับไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
ซุนเถี่ยจู้ซึ่งเป็บิดาของซุนหลานฮวาเป็คนที่รักลูกสาวยิ่งนัก เมื่อเห็นใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาแสนน่าสงสารของลูกสาว เขาก็ปวดใจอย่างมาก จึงพูดขอร้อง "ลุงสือโถว เพียงแค่คำพูดล้อเล่นของเด็กๆ เท่านั้น ท่านเองก็เห็นหลานฮวาของข้าั้แ่เล็กจนโต ท่านยกโทษให้นางสักครั้งได้หรือไม่? ข้ารับประกัน กลับไปข้าจะสั่งสอนนางอย่างดี ไม่ให้นางพูดจาเหลวไหลอีก"
ลุงสือโถวขมวดคิ้วเป็ปม "เพียงแค่คำพูดล้อเล่นของเด็กๆ เช่นนั้นหรือ? เถี่ยจู้ ยามเ้าพูด ช่วยถามใจตนเองเล็กน้อย หลานฮวาของเ้ายังเป็เด็กหรือไม่? นางเข้าพิธีปักปิ่นั้แ่เมื่อปีกลาย หญิงสาวที่อายุเท่านางแม้จะยังไม่ได้ออกเรือน แต่ก็กำลังหาคู่หมั้นคู่หมายแล้ว เ้าไม่กระดากปากหรือที่บอกว่านางยังเด็ก?"
ซุนเถี่ยจู้ได้ยินเช่นนั้น ก็พูดด้วยความไม่พอใจ "เหตุใดจึงไม่ใช่เด็ก? นางยังไม่ได้ตบแต่งออกเรือนไม่ใช่หรือ? เพียงแค่พูดนินทาเล็กน้อย ก็เรียกคนทั้งหมู่บ้านมาเปิดศาลบรรพชน พวกเราให้ความเคารพ เรียกท่านว่าผู้าุโ เช่นนั้นท่านก็ไม่อาจเอาขนไก่มาทำลูกศร [1]
ในสายตาของเขา ซ่งอวี้สิบคนก็ไม่ล้ำค่าเทียบเท่าลูกสาวของเขา เพียงแค่พูดนินทาเล็กน้อยเท่านั้น ต้องถึงขั้นเปิดศาลบรรพชนเชียวหรือ?
ชุ่ยจวี๋มารดาของซุนหลานฮวาได้ยินสามีพูดเช่นนี้ นางก็คล้อยตามทันที "จริงด้วย เปิดศาลบรรพชนเป็เื่ใหญ่ เหตุใดแค่เพียงคำพูดล้อเล่นไม่กี่คำของเด็กๆ ก็ถึงขั้นเปิดศาลบรรพชน หากผู้ใหญ่บ้านไม่พอใจ เช่นนั้นข้าจะให้หลานฮวากล่าวขอโทษท่าน ท่านอย่ายึดติดกับความผิดเล็กน้อยแล้วหาเื่เด็กเลย"
พวกเขาสองสามีภรรยาพูดจากใจจริง เพราะในสายตาพวกเขา นี่เป็เพียงเื่เล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งพวกเขาคิดว่าตนยอมถอยหนึ่งก้าวแล้ว ให้หลานฮวากล่าวขอโทษผู้ใหญ่บ้าน แต่สำหรับซ่งอวี้? นางเป็เพียงหญิงกำพร้าคนหนึ่งในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวซึ่งไร้ที่พึ่งพิงเท่านั้น ไม่อาจเทียบกับหลานฮวาของพวกเขาได้ ให้หลานฮวาขอโทษนาง? เป็ไปไม่ได้
ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะให้กับคำพูดของพวกเขา "พูดเช่นนี้ กลับกลายเป็ว่าข้าคือคนผิด?" จู่ๆ เขาก็พบว่า ตนไม่ควรสนใจคำพูดของพวกเขาแม้แต่น้อย ไม่อาจใช้เหตุผลมาพูดคุยกับพวกเขาได้ ด้วยเหตุนี้จึงโยนความรับผิดชอบ "คำนินทาของหลานฮวาในวันนี้เกี่ยวข้องกับข้า ดังนั้นข้าไม่อาจตัดสินใจได้ ให้พวกผู้าุโตัดสินใจเถอะ"
ความหมายของเขาคือ จะจัดการซุนหลานฮวาอย่างไร ให้พวกผู้าุโตัดสินใจ ครั้งนี้เขามาในฐานะผู้ถูกกระทำ
ลุงสือโถวกำลังจะพูดบางอย่าง ทว่าเสียงเยือกเย็นของซ่งอวี้ก็ดังขึ้น "ผู้าุโทั้งหลายช่วยฟังข้าสักคำได้หรือไม่เ้าคะ?"
ชุ่ยจวี๋ยืนอยู่ข้างซ่งอวี้ นางไม่ชอบซ่งอวี้มานานแล้ว ไม่รอผู้าุโพูด ชุ่ยจวี๋ก็พูดประชดประชัน "ที่นี่คือศาลบรรพชน คือรากฐานของหมู่บ้านเสี่ยวหนิว เ้ามีสิทธิ์พูดด้วยหรือ?"
ป้าหวังโต้กลับทันที "หลานฮวาของพวกเ้าสร้างเื่โกหก พูดถึงผู้ใหญ่บ้านและซ่งอวี้เสียเสียหายหาย แล้วซ่งอวี้จะไม่มีสิทธิ์พูดได้อย่างไร? หากจะบอกว่าผู้ใดไม่มีสิทธิ์พูด คนคนนั้นก็คือพวกเ้า เป็ฝ่ายนินทาว่าร้ายผู้อื่นแต่กลับมีเหตุผลเช่นนั้นหรือ? เ้าใหญ่โตมาจากที่ใดกัน"
"โวกเวกโวยวายอะไรกัน! ที่นี่คือศาลบรรพชน บรรพบุรุษต่างดูอยู่ ยังไม่หุบปากอีก!” คนที่พูดปรามในครั้งนี้คือปัญญาชนเพียงคนเดียวของหมู่บ้านเสี่ยวหนิว แม้จะเป็เพียงซิ่วไฉ แต่ก็ได้รับความเคารพนับถือจากคนในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวอย่างมาก
เวลานี้เฉินซิ่วไฉพูดตำหนิ แม้จะเป็ชุ่ยจวี๋ ก็จำต้องปิดปากเงียบด้วยความไม่พอใจ
"ซ่งอวี้ เ้าอยากจะพูดสิ่งใดก็พูดเถอะ" เฉินซิ่วไฉตำหนิคนอื่นๆ แต่สีหน้าของเขาอ่อนโยนกับซ่งอวี้เพียงคนเดียว เขาหงุดหงิดที่ชาวบ้านไม่มีความรู้ หากในหมู่บ้านมีหมอประจำหมู่บ้าน เช่นนั้นจะส่งผลดีต่อหมู่บ้านเสี่ยวหนิวอย่างมาก
ซ่งอวี้ไม่คิดว่าเฉินซิ่วไฉจะมีสายตาเฉียบแหลมเช่นนี้ เห็นนางเป็คนสำคัญแล้ว ซ่งอวี้พูดขึ้น "ตอนที่ซุนหลานฮวาพูดนินทาว่าร้าย แม้ข้าจะไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ถึงอย่างไรคนที่นางนินทาว่าร้ายก็คือข้า ข้าคิดว่าข้าน่าจะมีสิทธิ์พูดเล็กน้อยกระมัง"
บรรดาผู้าุโพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เชิงอรรถ
[1] เอาขนไก่มาทำลูกศร หมายถึง ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่น