“หากคุณชายห้าอยากรู้ว่าข้ามีชีวิตเป็อย่างไรบ้างเช่นนั้นท่านก็รู้คำตอบแล้ว ขอให้คุณชายจ่ายยอดเงินที่เหลือให้พวกเราด้วยข้าจะกลับแล้วเ้าค่ะ” เฉินเนี้ยนหรานเมินความเ็ปในดวงตาของบุรุษตรงหน้าแล้วเชิดคางขึ้นด้วยความเยือกเย็น
ั์ตาของโจวอ้าวเสวียนหดเข้ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำกันแน่นจนเส้นเืขึ้น
“ในสายตาของเ้าเงินสำคัญที่สุด!”น้ำเสียงแฝงไปด้วยความโกรธเข้มข้น
นางมองตรงไปยังเขา มุมปากของเฉินเนี้ยนหรานยิ้มเยาะ “คุณชายห้า ท่านอยู่ในจวนตลอดแน่นอนหากท่านไม่ทราบว่าเงินหนึ่งตำลึงสำหรับคนอย่างพวกเราแล้วมันหมายความว่าอย่างไร? หนึ่งตำลึงคือเงินค่าผ้าเช็ดหน้าของท่านแต่สำหรับพวกเราคนยากจน หนึ่งตำลึงสามารถซื้ออาหารทานกันทั้งครอบครัวได้หนึ่งถึงสองเดือน”
“เงิน เหตุใดข้าจะไม่รักมันเล่า? ไม่มีเงินข้าไม่มีข้าวทาน ไม่มีเสื้อผ้าใส่ น้องสาวสองคนที่เรือนก็จะถูกเอาไปขาย หากมีเงินพวกเราสามารถท้องอิ่มได้สามารถหาเสื้อผ้ามาใส่ป้องกันความหนาว ข้าใส่ใจน้องสาวและคนในครอบครัว เพื่อไม่ถูกใครเอาออกไปขาย”
“เงิน เหอะ…มันเป็สิ่งที่ดี ข้าไม่มีความคิดมากมายให้เ็ปยิ่งไม่มีความรู้สึกมากมายที่สามารถพร่ำพรรณนาเป็บทกลอน สำหรับข้าแล้วทั้งหมดนั้นแลกข้าวมาทานไม่ได้ และไม่สามารถเป็เสื้อกันหนาวให้พวกเราได้ดังนั้นท่านจะเย้ยหยันข้าก็ได้ ดูถูกข้าก็ได้ ข้ารักเงินที่ตนเองหามาได้ ข้าเป็สตรีหิวเงินเช่นนี้”
“ั้แ่ต้นจนตอนนี้ ดูเหมือนข้าก็แสดงออกมาตลอดว่าเป็สตรีที่รักเงินหรือคุณชายห้ารู้สึกว่าข้าแค่จงใจเสแสร้งว่ารักเงิน? ขออภัยเ้าค่ะั้แ่แรกเริ่ม ข้าไม่ได้แสร้งแสดงมันออกมา จริงๆ นี่เป็นิสัยของข้าที่ไม่้าปิดบัง”
กำปั้นที่กำจนแน่นของโจวอ้าวเสวียนค่อยๆ คลายออกอย่างช้าๆ บรรยากาศในห้องไม่ได้หดหู่เช่นก่อนหน้าแล้ว
เขาไม่มองนางอีก หมุนตัวไป “เ้าไปเถิด”
“แล้วบัญชีของพวกเรา…” เดินไปได้สองก้าวเฉินเนี้ยนหรานก็คิดถึงเื่ที่ตนเองต้องทำให้สำเร็จในครั้งนี้
โจวอ้าวเสวียนถูกทำให้โกรธจนหัวเราะออกมา ริมฝีปากยกขึ้น ใบหน้าสดใสเพียงแต่ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเ็ป หัวใจของเฉินเนี้ยนหรานที่มองอยู่บีบแน่น
“ไปหา…เ้าของร้านจิน เขาจะคิดบัญชีให้เ้า เฉินเนี้ยนหราน เ้าดีมากดีมากจริงๆ…”
“ขอบคุณสำหรับคำชมของคุณชายห้า” เฉินเนี้ยนหรานทำความเคารพแล้วถอยออกไปอย่างมีมารยาท เพียงแต่ตอนที่จะเดินผ่านประตูไป นางเกือบจะชนเข้ากับประตูโจวอ้าวเสวียนที่ก้มหน้ายืนอยู่ตรงนั้น จึงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางเสียอาการเพียงเล็กน้อยของนาง
“หนึ่งตำลึง…สิบตำลึง…เฉินเนี้ยนหราน ในใจของเ้า ข้าสู้…เงินหนึ่งร้อยตำลึง…ไม่ได้เชียวหรือ?ฮ่าๆ…” โจวอ้าวเสวียนหัวเราะเบาๆ จากเสียงหัวเราะบางเบาในคราแรกกลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็เสียงหัวเราะที่ดังขึ้น
ราวกับว่าเขาหัวเราะให้กับเื่น่าขันบนโลกใบนี้ คนน่าหัวร่อเมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว จึงคว้าไหขึ้นมากรอกน้ำเข้าปาก
แต่เพียงอึกเดียวเขาก็โมโหจนโยนไหนั้นไปไกล “แค่สตรีคนเดียวไม่ใช่หรือ! เฉินเนี้ยนหราน เ้าดีมากจริงๆ ”
ั์ตาของเขาจ้องไปที่กองเศษไหที่แตก ผ่านไปครู่เดียวก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้วยความนิ่งสงบ
กลับเป็เฉินเนี้ยนหรานที่หลังจากออกมาจากห้องนั้น เมื่อถึงโรงเตี๊ยมก็เข้าห้องพักด้วยสภาพราวกับิญญาหลุดลอย
จนกระทั่งกวนซูเยวียนที่ถูกส่งกลับมาจากการไปหาหมอนางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร
“เฮ้อ ยังบอกว่าจะกลับวันนี้ ตอนนี้สภาพเป็เช่นนี้ ท่านหมอแนะนำว่าทางที่ดีที่สุดให้พักผ่อนอีกสักคืนวันนี้คาดว่ากลับไปไม่ไหวแล้ว เฮ้อ ต่อไปจะตะกละทานเยอะไม่ได้แล้วจริงๆ จะอร่อยเพียงไรเหตุใดข้าจึงคิดเพียงว่าใช้เงินไปเท่าไร แต่กลับไม่คิดว่านั่นไม่ถือว่าเป็ของที่แพงสักเท่าใดมีชีวิตรอดอยู่จึงจะสามารถมีความสุขกับชีวิตต่างหาก ไอ๊โยแม่หนู…ข้าพักผ่อนสักหน่อยนะ อีกประเดี๋ยวจะออกไปซื้อของกับเ้านะ วันนี้พวกเราไม่ได้กลับเรือนกันแล้วเช่นนั้นไปเดินซื้อของกันอีกสักรอบเถอะ”
พูดจบก็ล้มตัวลงนอน กวนซูเยวียนถึงได้รู้สึกตัวเฉินเนี้ยนหรานนั่งพาดอยู่กับหน้าต่างตรงนั้นไม่ขยับสักนิด
หรือก็คือ ั้แ่ตอนที่นางกลับมา หลานสาวคนนี้ไม่แม้แต่กวาดตามองนาง
ไม่ถูก ต้องมีอะไรไม่ถูกต้องแน่นอน
กวนซูเยวียนนอนต่อไม่ได้แล้ว นางดึงผ้าห่มออกลุกขึ้นมาเดินไปตรงหน้าเฉินเนี้ยนหรานที่จมอยู่ในความเศร้าใจ ยกมือขึ้นมาเขย่า
คนถูกเขย่าถึงได้เหลือบตาขึ้นมามอง “ท่านป้า ท่านทำอะไรเ้าคะ? ดีขึ้นแล้วหรือ?”
“ถูกต้อง ข้าหายแล้ว แต่แม่หนู เ้ามานอนพาดตรงนี้เพราะเหตุใด? มองวิวด้านล่างหรือ?” กวนซูเยวียนยื่นหน้าออกไปมองทิวทัศน์ด้านล่าง
พอมองลงไปก็เห็นคนของโรงเตี๊ยมกำลังทำความสะอาดด้านหลังของโรงเตี๊ยมใบผักเน่าพวกนั้นถูกโยนลงไปในแม่น้ำ เห็นสีของน้ำแล้วไม่อยากจะเชื่อของสีเหลืองสีขาวแตกเล็กๆ ถูกโยนลงไปในแม่น้ำ มองอย่างไรก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็ทิวทัศน์ที่สวยงาม
“อืม มองทิวทัศน์”เฉินเนี้ยนหรานที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตอบออกไปส่งเดช
“ทิวทัศน์น่ามอง?” กวนซูเยวียนถามอย่างไม่เข้าใจอีกครั้งนางในตอนนี้ลืมอาการไม่สบายท้องเมื่อครู่ไปแล้ว
“น่ามองสิ แม่น้ำใสระยิบระยับ ท้องฟ้าสีคราม สตรีแสนสวย คนเลี้ยงวัวเก่งบทกวี…”
กวนซูเยวียนมองไปตามคำพูด “แม่หนู…แค่ก เ้าคงไม่ได้เลอะเลือนใช่หรือไม่ตอนนี้ข้าเห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม เหมือนฝนจะตก แม่น้ำนั่นก่อนหน้านี้คนเพิ่งจะโยนของเสียลงน้ำเหลืองไปหมด นี่เรียกว่าแม่น้ำใสระยิบระยับ? ตาของข้าลายไปหมดแล้วหรืออย่างไร?ด้านล่าง…สตรีแสนสวย?”
กวนซูเยวียนเบิกตากว้างอีกครั้ง จ้องมันเข้าไป สุดท้าย “ไม่ต้องพูดสตรีแสนสวยอะไรพวกนั้นกับข้าอีกข้าไม่เห็นสาวงามที่ใด กลับเป็สตรีที่ทั้งอ้วนทั้งแก่หลายคนล้างของอยู่ด้านล่างส่วนคนเลี้ยงวัวที่เก่งบทกวีอะไรนั่น ข้าเห็นเพียงตาแก่หลังค่อมเดินเท้าเปล่าคนหนึ่งจูงลาเดินไปข้างหน้าคนขับรถลานั่นก็ไม่ได้พกบทกวีหรือวาดภาพพวกนี้เลย จากสายตาของข้านะพวกนั้นก็สูบยาสูบนั่นแหละ”
เฉินเนี้ยนหรานมองตามลงไป เป็เช่นนั้นจริงๆ
แต่นางไม่สามารถยอมรับได้ว่าเมื่อครู่ตนเองเหม่อไป จึงเบือนหน้ากลับมาแล้วลุกขึ้นเดินไปนอนลงที่เตียงด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ท่านป้าไม่เข้าใจเ้าค่ะ มีคำพูดกล่าวไว้ คนยิ่งใหญ่นั้นซ่อนตัวอยู่บนโลกส่วนโลกเล็กๆ ก็อยู่ในหมู่บ้าน ข้าน่ะ เดินในสภาพแวดล้อมที่สกปรกและคิดถึงภาพที่สวยงามข้าไม่คุยกับท่านแล้วเ้าค่ะ ท่านป้าไม่เข้าใจว่าสิ่งใดเรียกว่าทิวทัศน์”
กวนซูเยวียนเท้าเอวเลิกคิ้ว “ได้ ได้ ได้ ข้ากวนซูเยวียนไม่เข้าใจว่าสิ่งใดที่เรียกว่าทิวทัศน์จริงๆไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหลานสาวข้าตอนนี้จะเข้าใจทิวทัศน์เสียแล้ว โอ้ โอคนที่โวยวายกับข้าว่าจะหาเงิน ตอนนี้กลับพูดถึงทิวทัศน์สวยงามเสียได้ หากข้าไม่ตาลายก็หูหนวกเสียแล้วแม่หนู จู่ๆ เ้าก็เปลี่ยนไป?”
แม่หนูแปลกไปจริงๆ
เฉินเนี้ยนหรานที่เดิมทีนอนอยู่ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง ฝืนปากพูด เหอะๆ“ข้าเปลี่ยนไปที่ใด ข้าเพียงกำลังคิดเช่นนี้จริงๆ เ้าค่ะ แม้ข้าวันๆ จะเอาแต่หาเงินแต่ในหัวก็มีน้ำหมึก เหอะๆ ไม่เถียงกับท่านแล้วเ้าค่ะ พูดกับท่านไปก็ไม่เข้าใจ”
“เขาทำให้จิตใจของเ้าว้าวุ่นหรือแม่หนู? เ้าพูดคำพูดที่ทำให้คนเสียใจอีกแล้ว?”จู่ๆ กวนซูเยวียนก็ถามออกมาตรงๆ
เฉินเนี้ยนหรานที่ยังนั่งอยู่ ถูกนางถามเช่นนี้ก็ะโพุ่งขึ้นมา “ทะ...ที่ใดกันเ้าคะท่านป้า ท่านอย่าเดาส่งเดชเลยเ้าค่ะฮ่าๆ…พวกเรา…พวกเราออกไปซื้อของกันเถิดเ้าค่ะ ข้าจำได้ว่ายังมีของอีกมากที่ยังไม่ได้ซื้ออีกอย่าง พวกเราจะไปซื้อของตุ๋นในอำเภอมาทานไม่ใช่หรือ พวกเราไปลองชิมกันเถิด”
เฉินเนี้ยนหรานพูดอย่างตื่นเต้น แล้วระริกระรี้จะออกไปด้านนอกแน่นอนว่ากวนซูเยวียนกลับไม่ขยับ แล้วใช้สายตาสงสารมองไปที่นาง
“แม่หนูของข้า…เฮ้อ…”
เสียงถอนหายใจทำให้ความรู้สึกที่เฉินเนี้ยนหรานพยายามกดเอาไว้ทะลักออกมาราวกับทำนบแตก
นางหันกลับมากอดกวนซูเยวียนเอาไว้ “ท่านป้า…”
ดวงหน้าซบเข้าไปในอ้อมกอดของกวนซูเยวียน สูดดมกลิ่นที่มีกลิ่นอายเหมือนกับความรักของมารดาบนตัวของท่านป้าก่อนที่น้ำตาอุ่นร้อนจะไหลออกมา
บางความรู้สึก ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะควบคุมแล้วก็ควบคุมได้…
***
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง บนใบหน้าของเฉินเนี้ยนหรานก็มีรอยยิ้ม“ท่านป้า ไปกันเถิด พวกเราไปคิดเงินกับทางเ้าของร้านจินอีกเดี๋ยวไปเดินซื้อของต่อ พอดีเลย ท่านทานเข้าไปมากเกินไป พวกเราเดินซื้อของก็ถือเป็การเดินย่อยหากท่านอยากได้อะไร ข้าจะซื้อให้ท่านหมดเลยเ้าค่ะ”
กวนซูเยวียนมองนางอย่างระมัดระวังเมื่อมั่นใจว่านางไม่เสียใจแล้วก็พยักหน้ายินดี “เช่นนั้น…ไปคิดบัญชีกัน”
หลังจากคิดบัญชียอดสุดท้ายที่จือเว้ยไจ๋แล้วทั้งสองคนก็เดินบนถนนอย่างสบายใจ แน่นอน ตั๋วเงินได้ใส่ไว้ในเสื้อตัวใน อีกทั้งพวกนางยังแยกกันใส่ด้านนอกเหลือเงินไม่กี่สิบตำลึงมาใช้
แท้จริงแล้วเมื่อวานก็ซื้อของมาไม่น้อย ตอนนี้มาเดินอีกจึงไม่จำเป็ต้องซื้อสิ่งใดมากนัก แต่ไม่รู้เฉินเนี้ยนหรานถูกอะไรดลใจนางในวันนี้ถึงได้จับจ่ายอย่างบ้าคลั่ง
อาหารตุ๋น วัตถุดิบสำหรับทำเสื้อผ้า ปิ่นดอกไม้ หมวก ถุงมือ เห็นสิ่งใดก็ซื้อสิ่งนั้นเพียงครู่เดียวตายังไม่ทันกะพริบก็ใช้เงินไปจวนร้อยตำลึงแล้ว
กวนซูเยวียนเดินไปคำนวณไป เมื่อเห็นนางเดินไปทางเครื่องประดับอีกก็ใหน้าเปลี่ยนสีดึงนางมาด้านหลัง “แม่หนูเอ๋ย พวกเรากลับกันเถิดนะ ตอนนี้ป้าไม่ปวดท้องแล้วพวกเราไปเรียกลุงของเ้ามา รีบกลับเรือนกันเถอะ ไอ๊หยา ไม่รู้ว่าพวกเด็กๆที่เรือนจะเป็อย่างไรบ้าง อย่าได้เกิดเื่ในเรือนเลย ถึงตอนนั้นมันน่าโมโหจริงๆ” รีบกลับเถิด จากท่าทางของแม่หนูแล้ว หากเป็เช่นนี้ต่อไปเพียงครู่เดียวเงินพวกนั้นคงถูกใช้ออกไปมากพอสมควร แม้จะหาเงินได้ไว แต่ใช้เงินไวเสียยิ่งกว่า
เพียงพริบตาเดียว เครื่องประดับหลายชุดก็หนึ่งร้อยตำลึงแล้ว พอคิดถึงเงินที่จ่ายไปมากเช่นนี้กวนซูเยวียนก็เจ็บใจ แม่หนูคนนี้เป็คนไม่ระมัดระวัง ครั้นไม่พอใจขึ้นมามักจะเอาเงินมาระบายอารมณ์!
แรงน้อยๆ ของเฉินเนี้ยนหรานสู้กวนซูเยวียนไม่ได้ นางจึงถูกลากกลับไปทั้งอย่างนั้น
เฉินจื่อิที่นั่งพูดคุยสนุกสนานอยู่ในโถงรับแขกกำลังฟังคนอื่นพูดถึงว่าฮ่องเต้ในเมืองหลวงเป็อย่างไร กุ้ยเฟย [1] เป็อย่างไร สนมเป็อย่างไรคิดไม่ถึงว่ากวนซูเยวียนจะพุ่งเข้ามาพร้อมทั้งลากเขาด้วยความรีบร้อน “สามี เ้ารีบไปเถิดรีบกลับเรือน ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว ไปๆ ขึ้นไปเอาของบนห้องลงมาใส่รถไป”
เชิงอรรถ
[1] กุ้ยเฟย หมายถึงตำแหน่งภรรยาของจักรพรรดิ มีตำแหน่งรองลงมาจากหวงโฮ่ว และหวงกุ้ยเฟย