รัชทายาทกับิ่จื้อรุ่ยมองเฉียวเยว่ตั้งหน้าตาเขียนอักษร รัชทายาทก็เตือนนางเสียงเบา "เ้าลงพู่กันหนักเกินไปเยี่ยงนี้ จะทำให้ตนเองเหนื่อยมาก"
เฉียวเยว่ทำแก้มป่อง "ข้าทราบเ้าค่ะ แต่มักรู้สึกว่ามือจับพู่กันไม่อยู่"
ไท่จื่อทอยิ้มอ่อนจาง "เ้ายังเล็ก ไม่แปลกที่จะเป็เช่นนี้ ค่อยเป็ค่อยไปก็จะดีขึ้นเอง"
อวิ๋นเอ๋อร์รีบเข้ามาเช็ดหน้าให้เฉียวเยว่ นางเงยหน้าดวงน้อยปล่อยให้อวิ๋นเอ๋อร์เช็ด ปากก็เอ่ยถาม "แล้วพวกท่านมาได้อย่างไร?"
รัชทายาทอมยิ้ม "อีกสองสามวันข้าต้องไปทำพิธีบวงสรวงกับเสด็จพ่อ จื้อรุ่ยก็ไปด้วย อาจไม่ได้มาเรียนหลายวัน พวกเราจึงอยากมาเยี่ยมเ้าสักหน่อย"
ปรกติมาจวนซู่เฉิงโหว ถึงรู้ว่านางอยู่ ก็ใช่ว่าจะได้พบหน้าเฉียวเยว่ทุกครั้ง แต่ไปครั้งนี้ ในใจกลับนึกถึงนาง
เฉียวเยว่เอ่ยถามพลางเกาศีรษะของตนเอง "ไปบวงสรวงที่ใดหรือ?"
เห็นนางไม่รู้อันใดสักอย่าง จื้อรุ่ยก็หัวเราะเยาะ "โง่จริงๆ"
"ข้าไม่รู้ก็เพราะยังเล็กอยู่ ตอนพี่จื้อรุ่ยเด็กเท่าข้าจะสู้ข้าได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย"
นางลูบใบหน้าของตนเอง "เสด็จพี่รัชทายาทบอกข้าได้หรือไม่?"
รัชทายาทอมยิ้ม "ไปูเาไถอู่ ใช้เวลาเดินทางจากเมืองหลวงประมาณสิบกว่าวัน คิดว่าการเดินทางครั้งนี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ข้างนอกหนึ่งเดือน"
เฉียวเยว่ตอบอ้อ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เช่นนั้นเสด็จพี่รัชทายาทกับพี่ชายิ่ก็เดินทางระมัดระวังด้วยนะเ้าคะ ขออวยพรให้พวกท่านราบรื่นในการเดินทาง"
ยามเฉียวเยว่แสดงอากัปกิริยาจริงจังแลดูผิดปรกติอย่างมาก
ิ่จื้อรุ่ยแค่นเสียงเยาะอีกครั้ง "พวกเราต้องดูแลตนเองอย่างดีอยู่แล้ว จะเกิดเื่อันใดได้ เ้าเสียอีก กระต่ายอ้วนตัวน้อย อย่าได้ก่อเื่เป็อันขาด มิเช่นนั้นก็ไม่มีใครช่วยเ้าได้แล้ว เ้าโง่งมเช่นนี้ น่าเป็ห่วงจริงๆ"
เฉียวเยว่ไม่เข้าใจสักนิด สมองของิ่จื้อรุ่ยบรรจุด้วยแป้งเปียกเท่าไรกันแน่ เขาถึงชอบคิดว่านางเป็คนโง่อยู่เรื่อย
นางฉลาดจะตาย ขนาดปลายเส้นผมยังเห็นความเฉลียวฉลาดซึมออกมาเลย
"ข้าว่านอนสอนง่าย ไม่ก่อเื่อยู่แล้ว"
ครานี้แม้แต่รัชทายาทก็ยังหัวเราะ เมื่อครู่ฉีอันยังเล่าเื่ที่เฉียวเยว่ถูกตีเพราะหวงแก้วแหวนเงินทองอยู่เลย
เขายิ้มมุมปาก เอ่ยอย่างหนักแน่น "อื้ม เ้าเป็เด็กดีมาก ว่านอนสอนง่าย เอาไว้พวกเรากลับมาจะเอาของอร่อยมาฝากเยอะๆ"
เฉียวเยว่ยิ้มดวงตาหยีโค้ง ตอบกลับอย่างรวดเร็ว "ดียิ่ง"
ท่วงทีที่น่าเอ็นดูของนางทำให้ิ่จื้อรุ่ยมองตาค้าง ใบหน้าแดงเล็กน้อย "รัชทายาท เสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ อาจารย์คงรอแย่แล้ว"
"เสด็จพี่รัชทายาทกับพี่ชายิ่เดินทางดีๆ นะเ้าคะ" เฉียวเยว่กล่าว
รอจนกระทั่งทั้งสองคนไปแล้ว นางก็ก้มหน้าเขียนอักษรต่อจนถึงเวลาโพล้เพล้ ซูซานหลางเข้ามา เห็นนางเขียนใกล้จะเสร็จแล้ว ก็ถามด้วยความประหลาดใจ "วันนี้เ้าไม่ออกไปไหนเลยหรือ?"
เฉียวเยว่สั่นศีรษะ "ไม่เลยเ้าค่ะ"
ซูซานหลางเห็นมือเล็กจ้อยของบุตรสาวจับพู่กันจนเป็รอย ก็รู้สึกปวดใจ
"พักผ่อนสักครู่เถิด พ่อจะไปหยิบของอร่อยมาให้"
เฉียวเยว่ตอบอื้ม
หลังจากเช็ดหน้า ล้างมือให้บุตรสาวแล้ว เขาก็ถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก "วันนี้รัชทายาทกับพี่ชายิ่ของเ้ามาหา พวกเขาพูดอันใดหรือไม่?"
เฉียวเยว่ผลิยิ้มตาหยี "ไปบวงสรวง พวกเขาบอกเพียงว่าจะไปบวงสรวงด้วยกัน แล้วก็จะเอาของอร่อยมาฝากข้าด้วย ไม่มีอย่างอื่นเ้าค่ะ"
รักษามารยาทจริงๆ มีหนึ่งคำก็พูดหนึ่งคำ
ซูซานหลางพยักหน้า "เฉียวเยว่ไปอยู่กับท่านลุงสักพักก็ดีเหมือนกัน"
เวลาผ่านไปนานวัน เฉียวเยว่มิได้ใกล้ชิดกับพวกเขาเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาไม่ควรจะคิดแทนเฉียวเยว่ไปเสียทุกเื่ แต่ซูซานหลางรู้สึกว่าตนเองเป็ห่วงบุตรสาวจริงๆ ตอนนี้เพิ่งห้าขวบก็ต้องคิดเื่การแต่งงานของนางแล้ว แม้ว่าจะเร็วเกินไป แต่บางเื่ก็ควรซ่อมประตูหน้าต่างก่อนฝนตก [1] จริงๆ
เฉียวเยว่ดีใจมาก "ข้าจะไป ข้าจะไป"
นางไม่สนใจว่าบิดาจะมีแผนการอันใด อย่างไรเสียได้ไปเที่ยวจวนของท่านลุงก็ดีมาก
หากถามว่าสตรีสมัยโบราณมีอันใดไม่ดีก็คงจะเป็เื่ที่ไม่สามารถออกไปเที่ยวที่ไหนได้ แม้ว่าจวนของพวกเขาจะใหญ่โต แต่ดูจากอารมณ์ที่หม่นหมองตลอดเวลาของชิงเยว่เรือนสองก็รู้ได้
ทุกครั้งที่ชิงเยว่เห็นนาง ก็มักจะทำสีหน้าหม่นหมอง ไม่รู้ว่าเด็กอายุเพียงหกขวบคนหนึ่งไยจึงดูหดหู่ได้ถึงเพียงนั้น
ท่าทางราวกับว่าตนเองไปแย่งชิงสิ่งใดมาเยี่ยงนั้น ์โปรดเมตตา พวกนางเป็เพียงลูกพี่ลูกน้องกัน หาใช่พี่สาวน้องสาวร่วมอุทร
"เฉียวเยว่อยากออกจากบ้านถึงเพียงนี้เชียวหรือ" ซูซานหลางไหนเลยจะมองไม่ออกว่าประเด็นสำคัญของบุตรสาวหาใช่การไป 'บ้านท่านลุง' แต่เป็การ 'ออกจากบ้าน'
"ไปจวนของท่านลุงต้องเชื่อฟัง อย่าทำตัวเหลวไหล นอกจากอวิ๋นเอ๋อร์พ่อเตรียมเมี่ยวฉางไว้ให้เ้าอีกคน มีเื่อันใดเ้าสั่งการพวกนางสองคนได้ หากถูกใครรังแก ก็บอกท่านลุงของเ้าได้เลย"
พูดมาถึงตรงนี้ พลันสังเกตเห็นซาลาเปาน้อยใช้สายตาโง่งมจดจ้องตนเองอยู่
เขาอมยิ้ม "มีอันใด?"
เฉียวเยว่ใช้มือน้อยๆ ตบบ่าของบิดา กล่าวว่า "เื่ฟ้อง หากข้ารับเป็ที่สอง ก็คงไม่มีใครกล้าอ้างว่าตนเองเป็ที่หนึ่ง"
ขณะเอ่ยวาจาประโยคนี้ยังทำสีหน้าภาคภูมิใจอีกด้วย
ซูซานหลางรู้สึกอับจนถ้อยคำ
ทัศนะทั้งสามของบุตรสาวของตนสมควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
"เฉียวเยว่ แท้จริงแล้วการฟ้องผู้อื่นหาใช่สิ่งที่ดีนัก เว้นแต่ถูกใครรังแก ถึงต้องทำเช่นนั้น"
ซูซานหลางพลันรู้สึกว่าตนเองตกหลุมพรางเสียแล้ว เขารีบปัดไปให้พ้นตัว "ช่างเถอะ ช่างเถอะ เ้าอยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นแล้วกัน"
เขาบังเกิดความคลางแคลงต่อตนเองอย่างใหญ่หลวง คนอย่างเขาจะเป็อาจารย์ที่ดีให้กับลูกศิษย์ได้จริงๆ หรือ?
แม้แต่ซาลาเปาน้อยวัยห้าขวบของตัวเอง เขายังเถียงไม่ชนะเลย
ฉายาอัจฉริยะผู้มีวาทศิลป์เป็เลิศแห่งต้าฉีนับว่าไร้ประโยชน์จริงๆ แต่เด็กดื้อชนิดที่น้ำมันและเกลือซึมไม่เข้าเช่นบุตรของตน ก็ไม่สามารถคุยด้วยเหตุผลได้เหมือนกัน
เฉียวเยว่บิดี้เี "ท่านพ่อ ข้าเหนื่อยแล้ว หากท่านไม่มีธุระอันใดก็ไปหาท่านแม่เถิด ข้าอยากอาบน้ำเข้านอนแล้ว"
ซูซานหลาง "..."
เขาถูกกระต่ายอ้วนตัวน้อยชังน้ำหน้าแล้ว
...
เฉียวเยว่คิดว่าตนเองสมควรได้รับฉายาว่า "ผู้หยั่งรู้สกุลเฉียว"
ที่นางรู้สึกว่าท่านป้ารองมีบางอย่างผิดปรกติ เป็เื่จริง
นางนั่งอยู่บนเตียงเตาน้อยในเรือนหลักอย่างเรียบร้อยเชื่อฟัง
บัดนี้สีหน้าของไท่ไท่รองเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง มือลูบท้องของตนเอง กล่าวอย่างยิ้มย่องลำพองใจ "ท่านหมอบอกว่าก่อนที่จะครบสามเดือนยังบอกอะไรได้ยาก หากพูดไปแล้วเกรงว่าเด็กจะน้อยใจ ข้าจึงต้องอดทนไว้ก่อน ข้าก็ว่าแล้วเหตุใดหลายวันก่อนถึงอารมณ์ฉุนเฉียวผิดปรกติ ที่แท้หาใช่ข้าอารมณ์ไม่ดี แต่เป็เ้าถั่วน้อยของข้าคนนี้ที่หงุดหงิด ข้าเดาว่าเขาต้องเป็เกอเอ๋อร์แน่ๆ มิเช่นนั้นไหนเลยจะอารมณ์รุนแรงเยี่ยงนี้"
เฉียวเยว่ฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้วก็แทบหัวเราะออกมา
แต่ไม่ว่ามารดาของนางหรือป้าสะใภ้ใหญ่ต่างเพียงยิ้มบางๆ เท่านั้น
ทว่าไท่ไท่รองเห็นทุกคนไม่ค่อยจะร่วมยินดีมากนัก ก็พล่ามต่อไป "ในจวนของพวกเราไม่มีเื่มงคลมาห้าปีแล้ว ข้ารู้สึกว่าครรภ์นี้ของข้าต้องมีบุญอย่างมาก มิเช่นนั้นจะมาเวลานี้ได้อย่างไร"
นางกลอกตารอบหนึ่ง แล้วพูดต่อ "ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าบิดาของน้องสะใภ้สามกลับมาแล้ว ครรภ์ของข้านี้ต้องเป็เด็กผู้ชายอย่างแน่นอน มิสู้ให้เขากราบผู้าุโฉีเป็อาจารย์ดีหรือไม่"
ตอนนี้คนภายนอกต่างรู้แล้วว่า อาจารย์ฉีกลับมาแล้ว
มีผู้คนมากมายอยากจะกราบคารวะเขาเป็อาจารย์ แต่อาจารย์ฉีกลับประกาศว่าเขายังคงไม่รับศิษย์ แต่จะอบรมให้การศึกษาเฉพาะหลานชายและหลานสาวของตนเองเท่านั้น
ไท่ไท่รองไม่พอใจอย่างมาก เรือนสองของพวกเขาด้อยกว่าตรงไหน เหตุใดจึงถูกเรือนสามข่มทับไปเสียทุกเื่
ล้วนเป็คุณชายที่เกิดจากภรรยาเอกเหมือนกัน พวกเขายังเป็พี่น้องกันอีกด้วย
บุตรของนางก็สมควรได้รับการศึกษาที่ดี
"น้องสะใภ้สาม เ้าต้องสามารถคุยกับผู้าุโฉีได้แน่ เ้าคงไม่ปฏิเสธพี่สะใภ้รองกระมัง อย่างไรเสียจะสอนหนึ่งคนหรือสองคนก็คือสอนเหมือนกัน"
ยังไม่ทันที่ไท่ไท่สามจะเอ่ยปาก เฉียวเยว่ก็หัวเราะออกมาแล้ว นางอดกลั้นไม่อยู่จริงๆ หน้าหนาเช่นนี้คงจะมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า
อีกอย่างบุตรยังไม่ทันคลอด ก็เตรียมหาอาจารย์ สมองเพี้ยนไปแล้วหรือ!
ไท่ไท่สามถลึงตาใส่เฉียวเยว่ หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างละมุนละม่อม "พี่สะใภ้รอง ท่านเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็ลำบากใจจริงๆ"
นางยิ้มเพียงบางๆ "อย่างไรเสียข้าก็เป็เพียงบุตรสาวที่ออกเรือนแล้ว บุตรสาวออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ข้าไหนเลยจะตัดสินใจแทนบิดาได้ อีกอย่างหากคนทั่วใต้หล้ารู้ว่าบุตรสาวที่ออกเรือนแล้วอย่างข้ากลับบ้านไปบีบบังคับบิดาให้รับศิษย์ ซานหลางก็คงจะถูกผู้คนติฉินนินทาว่าไม่รู้จักความเหมาะสม นี่คือสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเป็อันขาด"
ไท่ไท่สามพูดไปพูดมา แม้จะดูนุ่มนวลอ่อนโยน แต่หาใช่คนที่ใครจะรังแกได้ง่ายๆ
ไท่ไท่รองถูกตอกด้วยตะปูนิ่มก็หน้าเสีย หลังจากนั้นก็กุมท้องพร่ำพรรณนา "ตายแล้ว เ้าดูสิ เ้าตัวเล็กถึงกับถีบท้องของข้า โธ่เอ๋ย คงจะร้อนใจใช่หรือไม่ น้องสะใภ้สาม เ้ากล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เ้า..."
เมื่อเห็นนางเริ่มจะไร้เหตุผลหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็หมดความอดทน เอ่ยปากตัดบท "เด็กในครรภ์แค่สามเดือนจะรู้เื่อันใด อายุของเ้าก็ไม่ใช่น้อยแล้ว พักผ่อนดูแลตนเองให้ดี คลอดบุตรออกมาอย่างปลอดภัยก็พอ อย่าคิดแต่เื่ไร้ประโยชน์"
"ท่านแม่ นี่ไม่สมเหตุสมผลตรงไหนเ้าคะ ท่าน..." ไท่ไท่รองยังคิดจะเถียงอีกสองสามประโยค
"ข้าว่าเ้าพักผ่อนอยู่แต่ในห้องของตนเองทุกวันไปเลยดีกว่า ไร้เหตุผลตรงไหน? เด็กยังไม่ทันคลอด จะพูดถึงเื่กราบอาจารย์อันใด เ้าไม่กลัวขายหน้า แต่พวกข้ายังต้องรักษาหน้าอยู่ สมแล้วที่เป็สตรีไร้การศึกษา เชิดหน้าชูตาไม่ได้จริงๆ"
ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงไม่ไว้หน้าถึงแม้ว่านางจะตั้งครรภ์
ไท่ไท่รองขยำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น หลายวันมานี้นางอาศัยว่าตนเองมีครรภ์ลองหยั่งเชิงทีละน้อย เดิมนึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะอดทนต่อไป แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกฉีกหน้าตรงๆ
ท่านแม่ลำเอียงเข้าข้างสะใภ้สามเกินไปหรือเปล่า
แม้ไม่กล้าบุ่มบ่าม แต่ก็เก็บความไม่พอใจเอาไว้
คนบางคนก็เป็เช่นนี้ ตนเองไม่ได้ดี ก็ไม่อยากเห็นผู้อื่นดีกว่า
นางแค่นยิ้มจอมปลอมออกมา "จะว่าไปก็ถูกต้อง เื่นี้ไม่จำเป็ต้องรีบร้อนมากมาย หากเป็เด็กผู้หญิง ก็ไม่จำเป็ต้องศึกษาหาความรู้อันใด สตรีถึงมีวิชาความรู้มากมายจะมีประโยชน์อันใด ข้าว่า เฉียวเยว่ก็ไม่ต้องเรียนหนังสือหรอก เรียนมากไป เกิดเหมือนกับพี่สาวเ้าก็แย่เลย อิ้งเยว่เด็กคนนั้นเรียนเยอะจนกลายเป็คนเข้ากับผู้อื่นยากไปเสียแล้ว"
หากพูดอย่างอื่น เฉียวเยว่ก็คงไม่เก็บมาใส่ใจ แต่มาพาดพิงถึงพี่สาวของนางเช่นนี้ นางยอมไม่ได้
นางยิ้มตาหยี แกว่งเท้าน้อยๆ ทั้งสองข้างไปมาอยู่ข้างเตียงเตา "หากยึดตามคำกล่าวของป้าสะใภ้รอง ฮองเฮาของต้าฉีเราก็ไม่ควรมาจากตระกูลบัณฑิต หาจากบุตรสาวของคหบดีสักคนก็ใช้ได้แล้ว ไม่เคยเรียนหนังสือเลยยิ่งดี อ้อ จริงสิ ป้าสะใภ้รองก็เป็เช่นนั้นเหมือนกันนี่นา"
"เฉียวเยว่" ไท่ไท่สามตวาดเสียงดุ
ดวงตากลมโตของเฉียวเยว่ผุดประกายวาววับ "พี่สาวของข้าแม้แต่โอรส์ยังทรงชื่นชม ท่านป้ารองจะว่าฝ่าาไร้วิสัยทัศน์เช่นนั้นหรือ?"
เหอะๆ
เอาสิ มาสู้กันสักตั้ง!
...
[1] ซ่อมประตูหน้าต่างก่อนฝนตก หมายถึง การเตรียมการล่วงหน้าเพื่อป้องกันสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้