พรตกระดูกหน้าเสียไปในทันที
เขามีชีวิตมาอย่างยาวนาน
อยู่มานานมากกว่าผู้คนมากมายในโลกใบนี้อยู่อักโข
นั่นไม่ใช่เื่ยากเย็นนัก อย่างน้อยเขาก็คิดเช่นนั้น
แค่มีความเด็ดเดี่ยวมากพอ ยอมทิ้งการเป็ ‘มนุษย์’ ไปเสียจากนั้นก็หลบซ่อนอยู่ในความชั่วร้ายของโลกใบนี้ราวกับมาร อสูรร้าย อย่าออกไปสู้แสงเดือนแสงตะวันอีกแค่นี้ก็พอแล้ว...
เมื่อคราวยังเป็มนุษย์ เขาเคยได้ฟังคำกล่าวเช่นนี้อยู่...
มีนักดาบอยู่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาสวมใส่ชุดแพรสีดำและถือดาบยาวสามฉื่อเอาไว้ในมือ
ยามเคลื่อนกาย ก็มักจะมีสายฟ้าปรากฏขึ้นด้วยเสมอ
ยามแสดงดาบออกมา ย่อมต้องมีคนหัวหลุดออกจากบ่าทุกครั้ง
พวกเขาเดินทางข้ามแม่น้ำหลี่เดินทางมาไกลเพื่อฆ่าใครบางคน ณ เมืองฉางอัน
เพราะเื่นี้ คนของพวกเขาจึงตายไปเป็จำนวนมากแต่ในที่สุด พวกเขาก็สังหารคนผู้นั้นได้สำเร็จ
เหตุนี้ นามแห่งดาบนั้นจึงถูกกล่าวขานกันไปทั่วหล้า
ขณะที่เื่เล่าเื่หนึ่งก็กระจายไปทั่วหล้าด้วยเช่นกัน
มันเป็เื่เล่าที่ยาวเหลือเกิน ยากจะเล่าให้จบได้
แต่หากต้องพูดอะไรที่เกี่ยวกับเื่นี้ออกมาสักสิ่งเช่นนั้น...
นักดาบแห่งตระกูลฉู่ เมื่อชักดาบออกมาย่อมต้องมีคนตายเสมอ
ดูเหมือนพรตกระดูกจะรู้แล้วว่าชายตรงหน้าเป็ใครและรู้แล้วว่าดาบนั้นมีนามว่าอะไร
“ทายาทแห่งตระกูลฉู่อย่างนั้นรึ?” เขาพึมพำพลางกลืนน้ำลายลงคอ แล้วถามด้วยน้ำเสียงขมขื่น
แต่ฉู่ซีฟงไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแค่มองมาที่เขานิ่งๆนิ่งจนราวเป็รูปปั้นแกะสลักเลยทีเดียว
หมู่เมฆครึ้มก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆกดทับลงมาเบื้องล่างพร้อมกับความครึ้มหม่นราว้าจะกดให้เมืองที่ไร้ผู้คนแห่งนี้แหลกเละลงก็มิปาน
สายพิรุณยังคงโหมกระหน่ำโดยไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงมันตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆตกหนักจนทำให้พรตกระดูกรู้สึกราวตนถูกสายฝนผลักให้ออกห่างจากฉู่ซีฟงเรื่อยๆจนอยู่กันคนละฟากฟ้า ทั้งที่ความจริงแล้ว ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ฉื่อเท่านั้น
จู่ๆ ฉู่ซีฟงก็ประกายแสงออกมาจากร่างกายแสงนั้นไม่ได้เจิดจ้าอะไรมากมาย แต่กลับสะดุดตาเหลือเกิน แม้จะมีฝนคั่นอยู่มากมายแต่พรตกระดูกก็ยังมองเห็นแสงนั้นได้อย่างชัดเจนภาพที่เห็นทำให้พรตกระดูกสะดุ้งเฮือกเขาแหงนหน้าขึ้นไปมองเบื้องบนราวััได้ถึงอะไรบางอย่าง และในตอนนั้นเองที่ภาพอันน่าตกตะลึงฉายขึ้นที่ม่านตาของเขา
หากจำไม่ผิดแล้ว ตอนนี้ยังเป็่เช้าของวันอยู่ ถึงแม้จะมีฝนตกหนักแม้นท้องฟ้าจะมืดครึ้ม บดบังแสงอาทิตย์เสียสิ้นแต่ตอนนี้น่าจะเป็่เช้าไม่ผิดแน่
ในเวลานี้ ไม่สมควรจะมีแสงดาวอยู่นี่นาหรือจะพูดอีกแบบก็คือ แสงดาวบนท้องฟ้าไม่น่าจะบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ไปได้เยี่ยงนี้
ทว่าในเวลาเช่นนี้ กลับมีแสงดาราทอดลงมาจากท้องนภาอันแสนห่างไกลแหวกฝ่าเมฆครึ้มที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า บดบังแสงสุริยน แล้วทอดตรงลงมาที่ร่างของฉู่ซีฟงอย่างแม่นยำ
ฉู่ซีฟงประกายความมีชีวิตชีวาออกมาทางสีหน้าราวเพิ่งได้สติตื่นจากภวังค์แห่งความฝัน
าแบนร่างกายของเขาสมานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วภายใต้แสงดาราที่ฉายส่อง
พลังอำนาจของเขาเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งราวไม่รู้จบจนในที่สุด มันก็มาถึงจุดสูงสุดจนได้
พลังอำนาจค่อยๆ หยุดการเพิ่มปริมาณลงอย่างช้าๆทว่าพลังิญญารอบด้านกลับยังพุ่งเข้ามารวมกันอยู่ในร่างของเขาอย่างบ้าคลั่งเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น พลังิญญาภายในเมืองหลานหลิงก็ถูกเขาดูดซับไปจนหมดแต่ถึงกระนั้น พลังิญญาที่อยู่ในพื้นที่ที่ห่างออกไป ซึ่งมีจำนวนมหาศาลยิ่งกว่าก็ยังพุ่งเข้ามาหาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
“เขากำลังเลื่อนระดับหรือนี่?” พรตกระดูกตื่นใตอนนี้ฉู่ซีฟงมีพลังอยู่ในระดับคุมพิภพแล้ว หากเลื่อนพลังขึ้นไปได้อีกขั้นย่อมหมายถึงระดับศาสตร์แห่งพรตซึ่งเป็รองเพียงระดับดาราจักรเท่านั้น ด้วยพลังที่หุ่นเชิดของตนมีในตอนนี้หาก้าจะจัดการกับเขา ย่อมเปลืองแรงไม่น้อย ซ้ำแล้วฉู่ซีฟงยังโลหิตเซี่ยโหวซึ่งเป็อาวุธชั้นสูงอยู่อีกเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาชนะฉู่ซีฟงไปได้หรือเปล่าทว่าพรตกระดูกไม่ใช่พวกที่จะมานั่งรอความตายโดยที่ไม่ทำอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงส่งเสียงคำรามที่แสนแหบพร่าขึ้น พลางก็พุ่งเข้าไปหาศัตรูด้วยความเร็วดุจจ้าวพยัคฆ์เขายื่นมือขวาออกไป ก่อนรังสีอำนาจที่น่าหวาดกลัวไม่ต่างไปจากอสูรร้ายจะสาดประกายออกมาจากกรงเล็บอันแสนแหลมคมของเขาในเวลาต่อมา
ฉู่ซีฟงไม่ได้ขยับเขยื้อนใดๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาขยับร่างกายไม่ได้เลย
ทว่าดาบโลหิตเซี่ยโหวในมือกลับส่งเสียงคำรามดังลั่นทันใดนั้น ดวงดาวที่อยู่ไกลออกไปถึงหมื่นลี้ก็ราวจะรับรู้ได้ถึงบางสิ่งจึงสาดแสงสีม่วงลงมาอีกครั้ง พรตกระดูกร้องโหยหวนขึ้นด้วยความเ็ป เสียงการถูกเผาไหม้ดังออกมาจากร่างขนาดมโหฬารของมันไม่หยุดหย่อนราวกับว่าเ้าสัตว์ประหลาดกำลังถูกเล่นงานด้วยความร้อนขั้นสูงก็มิปานมันรีบหยุดการจู่โจมลง แล้วถอยกลับไปทางด้านหลังอีกครั้งจึงสามารถหนีรอดจากแสงสีม่วงไปได้ในที่สุด แต่ถึงกระนั้น ิัส่วนแขน ไหล่และหัวก็ถูกเผาจนไหม้เกรียมไปหมดแล้วมันส่งกลิ่นหอมที่ยั่วน้ำลายของเนื้อย่างออกไปทั่วอาณาบริเวณ
ในที่สุด ฉู่ซีฟงก็หยุดการดูดพลังิญญาจากภายนอกลงเสียทีแสงหนึ่งประกายขึ้นในดวงตาอย่างเฉียบคม ก่อนเขาจะะเิเสียงคำรามที่ดังสนั่นออกมาทันใดนั้น ระดับพลังที่เคยหยุดการเพิ่มระดับขึ้นเมื่อครู่ก็เพิ่มขึ้นอีกครั้งแบบก้าวะโ
ศาสตร์แห่งพรต!
เขาเลื่อนพลังสำเร็จแล้ว
การเลื่อนพลังผ่านไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วมากไม่ได้มีการติดขัด หรือช้าลงเลยแม้เพียงน้อย
กำแพงแห่งระดับพลังที่ขวางกั้นเส้นทางแห่งพลังของนักรบมามากจนนับไม่ถ้วนกลับแหลกสลายจนกลายเป็ผุยผงด้วยการคำรามเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
แต่เื่ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้
แสงของดวงดาวอันแสนห่างไกลสว่างเจิดจ้าขึ้นมากกว่าเดิมแสงนั้นส่องประกายให้เมืองหลานหลิงที่เคยหมองหม่นสว่างเรืองรองขึ้นอีกครั้ง
ฉู่ซีฟงหยุดการเลื่อนพลังลงแล้ว แต่บางสิ่งที่มีขนาดเล็ก ซึ่งแฝงอยู่ในร่างกายกลับยังประกายแสงออกมาอย่างต่อเนื่องแสงจากเ้าสิ่งนั้นผสานเข้ากับแสงจากดวงดาราอันแสนห่างไกลราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน ซึ่งกำลังพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่เช่นนั้น
ช่างเป็ภาพที่งดงามเหลือเกิน
ทว่าพรตกระดูกกลับไม่มีอารมณ์จะดื่มด่ำไปกับความงดงามนี้ในที่สุด ความตกตะลึงบนใบหน้าก็จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความหวาดผวาที่มากอย่างไร้ขีดจำกัด
เขารู้ดีว่าเ้าสิ่งนั้นคืออะไรและรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เขารู้สึกราวหัวแทบจะะเิออกจากกันอยู่แล้วในที่สุดเขาก็เข้าใจ เหตุใดดวงดาวถึงสาดแสงลงมารู้แล้วว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
นักรบแห่งดาราจักรนั่นเอง!
มันเป็ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีนักรบแห่งดาราจักรจุติขึ้นมาใหม่
“เ้ามีปราณดาราที่ได้รับการสืบทอดมาจากนักรบแห่งดาราจักรอย่างนั้นรึ!?” เขาถามออกมา ทั้งที่ความจริง เขาย่อมรู้คำตอบนั้นอยู่แก่ใจนอกจากคนที่ได้รับการสืบดาราจากนักรบแห่งดาราจักรใครที่ไหนจะได้รับการยอมรับจากดวงดาวเร็วขนาดนี้ได้ ใครจะกลายเป็นักรบแห่งดาราจักรทั้งที่เพิ่งก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับศาสตร์แห่งพรตได้เพียงชั่วครู่เช่นนี้?
มันเป็ระดับพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นหากไม่ฝึกพลังนานเป็สิบๆ ปี มีหรือจะสำเร็จลุล่วงไปได้?
มีเพียงผู้โชคดีซึ่งได้รับการสืบดาราจากนักรบแห่งดาราจักรเท่านั้นจึงจะถูกละเว้นจากการฝึกฝนที่นานนับสิบๆ ปีและได้รับการยอมรับจากชีพดาราั้แ่ครั้งแรกเช่นนี้
แสงจากปราณดาราที่ได้รับจากพิธีสืบดาราของฉู่ซีฟงเริ่มพันผูกเข้ากับแสงดาวบนท้องนภาอย่างช้าๆพวกมันผสานเข้าด้วยกันราวกับคู่รักที่มิอาจแยกจากกันได้และกลายเป็อันหนึ่งอันเดียวกันในที่สุด ทันใดนั้นเส้นด้ายที่เบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นก็ถือกำเนิดขึ้นในจุดผสานของแสงทั้งสองก่อนเส้นด้ายจะลากยาวมาที่ปลายทางของแสงทั้งสองด้านเชื่อมปราณดาราในร่างของฉู่ซีฟงกับดวงดาวสีม่วงบนท้องนภาเข้าด้วยกันในที่สุด
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เส้นด้ายนั้นข้ามผ่านระยะทางที่ยาวไกลเป็หมื่นลี้ได้ด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น
ในที่สุด เส้นด้ายก็ประกายแสงสีขาวออกมาอย่างกะทันหันจากนั้นจึงหายวับไปจากสายตา
ทันใดนั้น จู่ๆ ฉู่ซีฟงก็ประกายแสงเจิดจ้าออกมาจากดวงตาแม้แสงนั้นจะเป็เพียงแสงที่กระจายออกมาจากดวงตาทว่ามันกลับดูคล้ายแสงจากดวงดาวเหลือเกิน บางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ะเิออกมาจากร่างของเขาอย่างฉับพลันวินาทีนั้น จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แม้เขาจะยืนอยู่เพียงไม่ไกลแต่กลับให้ความรู้สึกราวนักดาบคนนั้นกำลังยืนอยู่บนท้องนภาที่ไกลห่างออกไปไม่มีผิดปานเขาเป็เทพเ้าที่แสนสูงส่ง ซึ่งทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอยากกราบไหว้อย่างอดไม่ได้
ฝนที่โหมกระหน่ำพลันสงบลง
มวลเมฆครึ้มที่ลอยอยู่บนท้องนภาสลายไปในเสี้ยววินาทีราวได้รับคำสั่งจากใครบางคนทว่าท้องนภากลับไม่ได้สดใสขึ้นเลย คล้ายเป็การแสดงความเคารพต่อนักรบแห่งดาราจักรคนใหม่ดวงสุริยันจึงคงเร้นกายอยู่หลังม่านเมฆา หาได้เผยตัวออกมาในทันที ดังนั้นแม้ยามนี้จะเป็เวลากลางวัน แต่กลับไม่มีแสงสว่างจากดวงตะวันแม้เพียงน้อย
ดวงดาวบนท้องนภาประกายแสงขึ้นดวงแล้วดวงเล่าพวกมันส่องแสงไปยังกันและกันราวกำลังแสดงความยินดีกับดวงดาวที่สว่างเจิดจ้าขึ้นอีกครั้งของฉู่ซีฟง
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไปทั่วฟ้า
มันเกิดขึ้นั้แ่ดินแดนทั้งเก้าของเผ่ามนุษย์ไปจนถึงดินแดนตะวันตกของเผ่าหมาน และลากยาวจรดดินแดนทางเหนือของเผ่าปีศาจ
ทั่วทั้งโลกจมเข้าสู่ความตื่นตาตื่นใจสายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนส่งผ่านท้องนภาที่แสนยาวไกล และพุ่งมารวมกันในที่สุด
พวกเขาร่วมเป็สักขีพยานในการกำเนิดของนักรบแห่งดาราจักรคนใหม่แห่งเผ่ามนุษย์กันอย่างพร้อมหน้า
วินาทีนี้ ไม่ว่าจะเป็มิตรสหาย หรือศัตรูทุกคนต่างก็รู้สึกยกย่องยอดฝีมือคนใหม่คนนี้เป็อย่างมาก
เหตุการณ์เช่นนี้คงอยู่นานกว่าสิบอึดใจเลยทีเดียวหลังจากนั้น ดวงดาราก็จางหายไป ดวงตะวันกลับมาฉายแสงร้อนแรงส่องให้โลกทั้งใบสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง
ตึก!
ฉู่ซีฟงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
มันเป็ก้าวที่เบา และธรรมดาเหลือเกินมันแหวกให้น้ำขังบนพื้นดินแยกออกจากกัน ทำให้น้ำในนั้นกระเซ็นออกมาภายนอกอย่างรวดเร็ว
พรตกระดูกประกายความหวาดผวาขึ้นในดวงตามากขึ้นกว่าเดิมเขาหมุนตัว เตรียมจะพุ่งไปที่ประตูลับกลางห้วงอากาศเพื่อหลบหนีไปแต่ลำแสงสีม่วงก็พุ่งออกมาจากที่ใดก็ไม่ทราบ มันพุ่งเจาะเข้าไปที่เหนือหัวแล้วพุ่งทะลุออกมาจากส่วนหางของพรตกระดูกได้อย่างง่ายดาย
พรตกระดูกชะงักฝีเท้าลงอย่างกะทันหันราวกับว่าเวลาของเขาได้หยุดลงไปแล้วเช่นนั้น
แควก!
เสียงหนึ่งดังกระหึ่มขึ้น จากนั้น ร่างขนาดมหึมาก็ถูกผ่าครึ่งั้แ่หัวจรดเท้าจนกลายเป็สองซีกในที่สุด
เืสีเขียวคล้ำพุ่งออกมาจากร่างขนาดใหญ่ ความตื่นตะลึงและไม่อยากจะเชื่อยังคงอัดแน่นอยู่ในดวงตาคู่นั้นไม่เสื่อมคลายเขายังไม่ได้ตายลงเสียทีเดียว พรตกระดูกอ้าปากกว้างราว้าจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็เปล่งเสียงใดๆ ออกมาไม่ได้เลย
ตึก!
ฉู่ซีฟงก้าวเท้าออกไปอีกครั้ง เขาเดินผ่านร่างขนาดใหญ่โตของพรตกระดูกไปอย่างเชื่องช้าทว่าก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นรองเท้าหนังย่ำจนน้ำที่ขังอยู่บนพื้นหินกระเซ็นขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เขาเดินผ่านร่างไร้ิญญาที่ยังไม่ยอมหลับตาลงของพรตกระดูกไปโดยไม่คิดจะมองร่างที่นอนกองอยู่บนพื้นดินเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ” เสียงทอดถอนใจของใครบางคนดังมาจากที่ห่างไกล
ฉู่ซีฟงรู้ดี ว่าเสียงนั้นดังมาจากฉางอันเมืองหลวงของแผ่นดินต้าเว่ยนั่นเอง
“เ้าไม่มีเส้นทางแห่งพลังเป็ของตัวเอง”เสียงนั้นกล่าวเช่นนั้น
“แล้วมันเื่อะไรของเ้าไม่ทราบ”ฉู่ซีฟงตอบกลับไปด้วยสีหน้าเย็นะเื
“เ้าควรกลับไปซะ เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นักรบแห่งดาราจักรแล้วเ้าก็อยู่ที่เมืองฉางอันไม่ได้อีกต่อไป”
“แต่ข้าต้องไปช่วยใครอีกคน”ฉู่ซีฟงพูดขึ้นใบหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบไร้อารมณ์เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจตั้งข้อสงสัยได้
จู่ๆ เสียงนั้นก็เงียบไปราวเ้าของเสียงกำลังพิจารณาเื่บางอย่างอยู่ จนในที่สุดเสียงนั้นจึงดังขึ้นมาอีกครั้ง “เ้ามีเวลาเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น”
“ได้!”ฉู่ซีฟงตอบกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว
เขาเบือนหน้ากลับมาอีกครั้ง จากนั้นก้าวตรงไปยังประตูลับกลางอากาศซึ่งยังไม่ได้เลือนหายไปด้วยแววตาที่ทั้งเย็นเยียบและเด็ดเดี่ยว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้