“แน่จริงก็รับคำท้าของข้าสิ อย่าให้คนอื่นต้องคอยนาน!” หนีเจียเอ๋อร์เร่ง
เหอลู่ิกัดฟันพูด “ได้! ข้ารับคำท้า”
มุมปากของหนีเจียเอ๋อร์ยกยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ ท้ายที่สุดแล้ว เหอมู่หลิงผู้นี้ก็หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเกินกว่าจะกล้าปฏิเสธ
ไม่นานนัก ศิษย์ผู้หนึ่งก็นำกระต่ายสองตัวที่ถูกวางยาพิษ มาวางลงตรงหน้าเหอมู่หลิงและหนีเจียเอ๋อร์
หนีเจียเอ๋อร์อุ้มกระต่ายขึ้นมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ในสายตาของเหอมู่หลิง ท่าทางเช่นนั้นไม่ต่างจากเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟ นางขุ่นเคืองจนพูดไม่ออก แต่ไม่อาจแสดงท่าทีอันใดออกไปได้
ครึ่งชั่วยามต่อมา ก็เพิ่งจะถึงเวลาที่เหอมู่หลิงต้องมาทำการถอนพิษให้กระต่าย
แต่ทว่า กระต่ายของหนีเจียเอ๋อร์กลับไม่ตาย...
บรรดาศิษย์ที่ดูการแข่งขันมาตลอด แทบจะนั่งไม่ติดที่ พากันผุดลุกขึ้น เพราะลุ้นกันจนตัวโก่ง
ศิษย์ที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด เก่งกาจที่สุด และหยิ่งผยองที่สุด ั้แ่วันนี้ไป จะกลายเป็คนรับใช้คอยยกน้ำชาตลอดเจ็ดวัน
... น่าสนุกกว่าที่คิด!
ทางด้านเหอมู่หลิงมีสีหน้ามืดครึ้ม “การแข่งขันครั้งนี้เป็โมฆะ ขาดความยุติธรรม ข้า้าแข่งใหม่อีกครั้ง”
หนีเจียเอ๋อร์จึงตอกกลับ “หากเ้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรม เช่นนั้น กติกาที่เ้ากำหนดไว้ก่อนหน้านี้ มีความยุติธรรมที่ใด เ้าจะพูดโกหกหลอกลวงหรือแก้ตัวอันใดอีก? พวกเราทุกคนมิได้โง่! จริงหรือไม่?”
คำพูดของหญิงสาว ได้รับความเห็นชอบอย่างล้นหลาม
“ใช่! การแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะ”
ลู่ซีเสริมทันที “ใช่! ถ้าเ้าไม่อยากแพ้ ก็ไม่ควรท้าั้แ่ต้น”
ศิษย์หลายคนที่เคยอยู่ฝั่งเหอมู่หลิง ตอนนี้กลับมาเข้าข้างหนีเจียเอ๋อร์เสียแล้ว จึงทำให้นางรู้สึกอับอาย เหมือนยกหินทับเท้าตัวเอง[1]
โทสะพลุ่งพล่านจนเหอมู่หลิงขาดสติ นางยกมือขึ้น หมายจะตบหน้าหนีเจียเอ๋อร์สักครา ทว่า กลับถูกมือใหญ่หนาของใครบางคนคว้าเอาไว้ ก่อนสะบัดออก จนร่างของนางหงายหลังล้มไปกองกับพื้น
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็ควงเหยา ดวงตาของเหอมู่หลิงเบิกโพลง แล้วคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีก ด้วยเกรงสายตาอันแหลมคมของอีกฝ่ายจนพูดไม่ออก
ปกติควงเหยาอ่อนโยนนุ่มนวลดุจสายน้ำ แต่ยามเอาจริงเอาจังขึ้นมา ก็สร้างแรงกดดันจนหนาวสั่นไปถึงกระดูก ข่มขวัญผู้คนให้ยอมจำนนโดยไม่รู้ตัว
“เหอมู่หลิง เ้ากล้าเหิมเกริมคิดทำร้ายศิษย์พี่หญิง นับว่ามีความผิด ในนามอาจารย์ วันนี้ข้าขอสั่งให้เ้าคุกเข่าสำนึกผิดที่นี่ จนกว่าจะถึงตอนเย็น”
พูดจบ ก็กวาดสายตาอันเฉียบคมไปยังศิษย์คนอื่นๆ
พวกเขาจึงเดินหนีกระเจิดกระเจิงไปทันที
เหอมู่หลิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างคับแค้นใจ มองตามหลังหนีเจียเอ๋อร์ไปด้วยความชิงชัง เพราะนางจิ้งจอกนั่นตาบอด ควงเหยาจึงใจอ่อนกับนาง ทั้งที่ตามลำดับาุโแล้ว ตนมาก่อนตั้งหลายปี จึงสมควรจะได้รับตำแหน่งนั้น!
ควงเหยารู้สึกถึงสายตาอาฆาตมาดร้ายนั้น จึงหรี่ตาลง และหันไปสบตาเหอมู่หลิง ดวงตาของเขาเปล่งประกายคมกริบ จนหัวใจของเหอมู่หลิงเต้นผิดจังหวะ ต้องก้มหน้าตัวเกร็งด้วยความหวาดผวา
หนีเจียเอ๋อร์พลันเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจะลงโทษให้นางคุกเข่าอยู่ที่นี่ จนกว่าพระอาทิตย์จะตกจริงๆ หรือ?”
ควงเหยาขมวดคิ้ว “เ้าไม่ควรขอร้องแทนนาง!”
หนีเจียเอ๋อร์ถอนหายใจ “มิใช่เช่นนั้น ข้าแค่กังวล ว่าหากนางถูกลงโทษให้คุกเข่าอยู่ที่นี่จนถึงยามพระอาทิตย์ตกดิน แล้วพรุ่งนี้จะยืนไหวหรือ? การลงโทษในวันนี้ คงจะทำให้นางไม่อาจทำหน้าที่รับใช้ในวันพรุ่ง ตามที่รับปากกับข้าได้ นี่ไม่นับว่าขาดทุนหรอกหรือ!”
พอควงเหยาได้ยินข้อตกลงในการแข่งขัน จึงพอจะเข้าใจแล้ว เลยหันไปสั่งการ “เหอมู่หลิง ศิษย์สำนักอิ๋นเสวี่ยต้องทำตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ ในเมื่อเ้าเป็ผู้แพ้ ย่อมต้องทำหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วง โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่วันเดียว”
เหอมู่หลิงกัดฟันพูด “เ้าค่ะ!”
ควงเหยาหันมาประคองต้นแขนซ้ายของหนีเจียเอ๋อร์ พอเห็นเช่นนั้น ลู่ซีก็รู้ตัว จึงรีบปล่อยแขนหญิงสาว แล้วถอยไปยืนด้านหลัง ก่อนเดินตามพวกเขาไปอย่างเงียบเชียบ
ลู่ซีมองไปที่ชายหนุ่มผู้สง่างามตรงหน้า ซึ่งจงใจชะลอฝีเท้าตัวเองเพื่อรอหนีเจียเอ๋อร์ ให้อีกฝ่ายค่อยๆ ก้าวเดินไปพร้อมกัน แล้วพลันนึกอิจฉาอย่างไม่อาจอธิบายได้
หลังจากเดินไปสักพัก หนีเจียเอ๋อร์ก็กล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่!”
เมื่อเห็นว่านางยังยิ้มแย้มได้ ควงเหยาที่กำลังประคองนางเดินไปข้างหน้า ก็แสร้งทำเป็ขึงขังขึ้นมา “เ้าจะรอข้าก่อนมิได้หรืออย่างไร? ชอบเร่งรุดทำอะไรคนเดียว พอเกิดอะไรขึ้นมา ข้าก็มักจะรู้ทีหลังทุกที!”
หนีเจียเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้น พร้อมคลี่ยิ้ม “วีรบุรุษมักปรากฏตัวใน่เวลาสำคัญเสมอ ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ลู่ซีเงียบไป พลางคิดว่าควงเหยาช่างดูไม่ต่างจากเทพเซียนเลย หากวันหนึ่งเขาลงโทษคนเลวเพื่อนาง เช่นเดียวกับที่ปกป้องศิษย์พี่หญิง คงจะดีไม่น้อย
แค่นึก ก็มีความสุข จนเผลอหลุดหัวเราะคิกคักกับตัวเอง
พอได้ยินเสียงหัวเราะของนาง ที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นแล้วหยุดไป หนีเจียเอ๋อร์พลันขมวดคิ้วครุ่นคิด... ปกติลู่ซีเป็คนพูดจาโผงผาง ไม่สนใจใคร แต่เหตุใดกลับดูสงบเสงี่ยมนัก เวลาอยู่กับศิษย์พี่ใหญ่?
และบ่อยครั้ง หลังจากที่ศิษย์พี่ใหญ่ผละไป ก็จะแสดงท่าทางแปลกๆ บ้างก็หัวเราะกับตัวเอง บ้างก็ดูสับสนงุนงง หรือไม่ก็หดหู่?
พอควงเหยาส่งนางไว้ที่ห้องหนังสือ แล้วกลับไปทำธุระของตัวเอง หนีเจียเอ๋อร์ก็ลองหยั่งเชิงลู่ซีดูเล็กน้อย ความรู้สึกลึกซึ้งของอีกฝ่ายที่มีต่อควงเหยา พลันแสดงออกมาผ่านการพูดจากระอึกกระอัก คล้ายไม่กล้าเปิดเผยกับนาง แต่สุดท้ายก็ยอมรับจนได้ ว่าตนหลงรักควงเหยามานานหลายปีแล้ว ทั้งยังขอให้หญิงสาวเก็บไว้เป็ความลับด้วย
หนีเจียเอ๋อร์จึงให้สัญญาเป็มั่นเป็เหมาะ พลางนึกถึงใบหน้าอันเรียบร้อยสง่างามของควงเหยา ซึ่งมีท่าทางเฉยเมย ดูแปลกแยกกว่าใคร หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก เขาช่างอ่อนโยนและสูงส่งยิ่งนัก แต่เกรงว่าการจะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา คงมิใช่เื่ง่าย ไม่รู้ว่าการที่ลู่ซีมีใจให้ศิษย์พี่ใหญ่นั้น เป็เื่ดีหรือไม่?
...
อีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าหนีเจียเอ๋อร์ถูกเหอมู่หลิงกลั่นแกล้งรังแก โจวชิงหวาจึงคิดหาวิธีเอาคืนแทนนาง
ตกกลางคืน ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวที่หน้าห้องของเหอมู่หลิง โดยสวมชุดขาวผมยาวสยายในมือถือเชิงเทียน ก่อนเคาะประตูรออีกฝ่าย
ก๊อกๆๆ...!
เสียงเคาะประตูช้าๆ เป็จังหวะ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหอมู่หลิงที่คุกเข่ามาตลอดทั้งบ่าย เพิ่งได้หลับไปไม่นาน จึงจำต้องลุกขึ้นมาเปิดประตูด้วยความหงุดหงิด ทว่าแขกที่มาเยือนที่หน้าห้อง กลับมิได้มีรูปลักษณ์ปกติ แสงไฟจากเชิงเทียนสะท้อนให้เห็นใบหน้าราบเรียบไร้อวัยวะ บนศีรษะปกคลุมด้วยเส้นผมยาวสยาย ทั้งยังมีลิ้นสีแดงแลบยาว
“กรี๊ด... ผีๆๆ!”
เหอมู่หลิงกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ เสียงกรีดร้องของนางดังก้องไปทั่วสำนัก จนปลุกศิษย์น้อยใหญ่ให้ตื่นจากการหลับใหล
เพราะโจวชิงหวายังไม่หายดี เขาจึงไม่อาจใช้กำลังภายในหลบหนีได้ทัน ศิษย์สำนักอิ้นเสวี่ยจึงตามมาเจอเข้าจนได้ จากนั้น ชายหนุ่มก็ถูกเชิญให้ไปที่ห้องโถง
ควงเยวี่ยโหลวนั่งอยู่บนตั่งในชุดคลุมสีดำ สีหน้ามืดครึ้มดูแข็งกร้าว ส่วนตรงหน้าก็เป็โจวชิงหวา กับเหอมู่หลิง ที่กำลังร้องไห้ตัวโยนอย่างเสียขวัญ
ควงเยวี่ยโหลวเอ่ยถาม “คุณชายโจว ท่านอธิบายมาสิ ว่าเหตุใดต้องทำเช่นนี้?”
-----------------------------------------
[1] ‘ยกหินทับเท้าตัวเอง’ (搬起石头砸自己的脚: ปั้นฉี่สือโท่วจ๋าจื้อจี่เตอเจี่ยว) เป็สำนวน หมายถึงคิดจะทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนกลับมาหาตัวเอง ตรงกับภาษาไทยว่า ‘ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว’