"เหลียนเซวียน หากพวกเราออกเดินทาง ก็ควรเดินตามกระแสน้ำใช่หรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นถามลอยๆ ขณะที่ยังถักเสื้อในมือไม่หยุด เธอต้องถักเสื้อให้เสร็จภายในวันนี้ให้ได้
เหลียนเซวียนเหลือบมองเธอปราดหนึ่ง ดูเหมือนว่าแม่นางผู้นี้จะไม่รู้วิธีการแยกแยะทิศทางจากดวงดาวบนท้องฟ้า ตาของเขามองไม่เห็น ก็เลยยิ่งยาก
แม้ว่าการเดินไปตามกระแสน้ำจะรับประกันได้ แต่สายน้ำไปทางใต้ไหลลงทะเล ยิ่งไปก็ยิ่งไกลจากแคว้นฉี
ออกไปจากเขาได้แล้ว คิดจะย้อนกลับทางเหนือก็ต้องเสียเวลามาก
"ดู... ปรากฏการณ์... ท้องฟ้า... เป็... หรือไม่"
"ปรากฏการณ์ท้องฟ้า? ดวงดาว? พระอาทิตย์? อืม... ก็ดูได้อยู่ พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก ตกทางตะวันตก เหนือบน ใต้ล่าง ซ้ายตะวันตก ขวาตะวันออก วิธีดูทิศทางทั่วไปคร่าวๆ ก็เท่านี้กระมัง" เซวียเสี่ยวหรั่นขบคิด แล้วกล่าวอีกว่า "ส่วนดวงดาวอะไรนั่น ก็ไม่รู้อะไรมาก บ้านของพวกเราท้องฟ้าไม่กระจ่างเท่าที่นี่ ดวงดาวถูกหมอกควันบดบังหมดจะเห็นชัดได้ที่ไหน"
ั้แ่มาถึง เซวียเสี่ยวหรั่นก็หลงใหลท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับของที่นี่
แม้ว่าสายตาเธอจะเห็นไม่ชัด แต่ััได้ถึงท้องฟ้ากระจ่างใสไร้มลพิษ ดวงดาวกระจ่างพร่างพรายบนเวิ้งฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลยามราตรี
คร่าวๆ ? ไม่รู้อะไรมาก? เหลียนเซวียนปวดหัวตึ้บ นางต้องแยกทิศทางไม่ถูกอย่างแน่นอน
"รู้จัก... เงา... ตะวัน...หรือไม่"
"เงาตะวัน? [1] คืออะไร เงาของพระอาทิตย์?" เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบมองปราดหนึ่ง "ใช้ดูทิศเหนือใต้หรือ?"
"แต่ต่อให้แยกทิศเหนือใต้ได้ เวลาเจอูเาก็ต้องเลี่ยง เจอแม่น้ำก็ต้องเลี่ยง เจอป่าทึบก็ต้องเลี่ยง อ้อมไปอ้อมมา เปลืองทั้งแรงเปลืองทั้งเวลา ไม่สู้เดินตามทิศทางของแม่น้ำไปเลยดีกว่า"
"คนมักชอบตั้งถิ่นฐานใกล้น้ำ แค่พบสถานที่ที่มีคนอยู่ก็จะหาหนทางได้เอง การเดินทางต่อไปภายหน้าย่อมง่ายขึ้น ไม่จำเป็ต้องวกไปวนมาอยู่ในป่า"
"ด้วยกำลังเท้าของพวกเรา ไม่ว่าจะต้องอ้อมเขาสูง แม่น้ำกว้างใหญ่ หรือป่าลึก ก็คงต้องเสียเวลาสามถึงห้าวัน ยังไม่แน่ว่าครึ่งปีหนึ่งปีจะออกไปจากป่าบ้าๆ แห่งนี้ได้รึเปล่า"
"คิดจะหาวิธีออกจากป่าให้เร็วที่สุด อันที่จริงก็ไม่ยาก ต่อแพไม้สักลำล่องไปตามกระแสน้ำ ไม่ช้าก็ออกจากป่าได้แล้ว แต่เสียดาย ตอนนี้เป็ฤดูหนาว ลงน้ำอันตรายมาก หากเป็ฤดูร้อน ย่อมเป็วิธีที่เร็วที่สุดแล้ว"
"อ้อ แน่นอนว่าสิ่งสำคัญก็คือกระแสน้ำต้องสงบหน่อย ถ้าเจอกับน้ำวนหรือน้ำเชี่ยวก็เป็อันจบเห่ ได้ไปพบยายเมิ่งที่สะพานไน่เหอแน่นอน"
เซวียเสี่ยวหรั่นร่ายออกมาเป็ชุด
เหลียนเซวียนฟังมาถึงประโยคสุดท้ายก็อึ้งงัน
นางพูดไม่ผิด
ด้วยสถานการณ์ของเขาตอนนี้ ต่อให้แยกทิศทางได้ คิดจะออกจากูเาตรงไปทางเหนือย่อมมีอุปสรรคมากมาย
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องรีบออกจากูเาให้ได้ก่อน
แต่การล่องแพไปตามลำน้ำกลับไม่อาจทำได้ แม่น้ำทางใต้มีมากมาย แตกแขนงออกไปหลายสาขา น้ำตกเชี่ยวกรากก็พบเห็นบ่อยครั้ง ความอันตรายมากกว่าูเาหลายเท่า
เขาเหลือบมองเซวียเสี่ยวหรั่นปราดหนึ่ง แม่นางผู้นี้บางครั้งก็ชอบพูดพล่ามไร้แก่นสาร บางครั้งก็ดูมีปฏิภาณไหวพริบจับจุดสำคัญได้
ในความพิลึกพิลั่นยังแฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาดและเ้าเล่ห์
"เรียน... หนังสือ... กี่... ปี... แล้ว"
"ข้าเหรอ อืม... ขอนับก่อน" เซวียเสี่ยวหรั่นจำไม่ได้จริงๆ "ประถมหกปี มัธยมต้นกับมัธยมปลายหกปี รวมเป็สิบสองปี เฮ่อ สิบปีตรากตรำข้างหน้าต่างหนาว [1] ตัวข้าพากเพียรมาแล้วถึงสิบสองปี เหมันต์หนาวเหน็บคิมหันต์ร้อนระอุล้วนไม่เคยได้หยุดพักผ่อน อุทิศ่เวลาที่งดงามที่สุดให้กับตำราไปทั้งหมด"
แต่ผลสุดท้าย เธอกลับสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ผ่าน คิดมาถึงตรงนี้ น้ำตาของเซวียเสี่ยวหรั่นก็ไหลเป็ทาง
สิบปีตรากตรำข้างหน้าหนาว? ยังพากเพียรศึกษามาสิบสองปี เหลียนเซวียนมุมปากกระตุก ปีนี้นางอายุสิบแปด หกขวบเริ่มศึกษาก็เป็เื่ปรกติ แต่เหมันต์หนาวเหน็บ คิมหันต์ร้อนระอุยังไม่ได้หยุดพักผ่อนอันนี้ออกจะเกินจริงไปหน่อย การศึกษาของสตรีในห้องหอไหนเลยจะยัดเยียดปานนั้น
โดยมากแล้วล้วนเป็บทเรียนขั้นพื้นฐาน ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็เป็การเรียนรู้จรรยามารยาท งานฝีมือของสตรี ศิลปะการทำอาหารเป็ต้น ดูแล้วไม่ต่างกับการเล่นสนุกเท่าไร
แต่จากถ้อยคำการพูดจาของนางก็นับว่ามีภูมิปัญญาความรู้กว้างขวาง แต่การวางตัวกลับพิลึกพิลั่นเกินไป ดูไม่เหมือนสตรีสกุลใหญ่ที่ศึกษาจรรยามารยาทมาสิบสองปี
เหลียนเซวียนขบคิดแล้วเขียนต่อ "ใน... ท้อง... มี...บทกวี... และตำรา... ย่อม... เป็... ศรีสง่า... แก่ตนเอง"
เซวียเสี่ยวหรั่นตวัดสายตาหันมาจ้องเหลียนเซวียนทันควัน
หมอนี่กำลังเหน็บแนมหรือถากถางเธออยู่รึเปล่า
ขนาดมหาวิทยาลัยยังสอบไม่ติด จะเอาสง่าราศีมาจากไหน
เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตา แล้วถักเสื้อของตนเองต่อไป ไม่สนใจเขาอีก
แต่เขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอมาก่อน ถึงคิดแบบนี้ก็นับว่ามีเหตุผลอยู่
เห็นเธอไม่เปล่งเสียงสักแอะ กลับทำให้เหลียนเซวียนเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
คำพูดของเขามีปัญหาอะไรหรือ?
เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนว่านางกำลังโกรธอยู่เลยล่ะ
นางไม่พูด เหลียนเซวียนก็ไม่กล้าเซ้าซี้ต่อ แต่ชั่วขณะนั้นเขาพลันเกิดความรู้สึกอยากจะกำจัดหมอกฝ้าบังตาเหล่านี้ออกไปให้หมด แล้วมองให้ชัดว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าหน้าตาเป็อย่างไรกันแน่
แต่น่าเสียดาย...
หลังจากที่เซวียเสี่ยวหรั่นตกลงมาอยู่ในป่าแห่งนี้หนึ่งเดือนเต็ม หิมะก็โปรยปรายลงมาจากฟ้า
"ว้าว... หิมะตกแล้ว"
ระหว่างที่เธอออกจากถ้ำไปตักน้ำ เกล็ดหิมะดอกหนึ่งก็ร่วงลงมาบนพวงแก้ม เซวียเสี่ยวหรั่นแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นหิมะดั่งปุยนุ่นลอยละล่องลงมาอย่างช้าๆ
เธอวิ่งกลับถ้ำด้วยความตื่นเต้น หลังจากวางถังน้ำลงแล้ว ก็ออกไปปากถ้ำ
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยเห็นนางตื่นเต้น ก็วิ่งตามหลังออกมาด้วย
หิมะตกก็หมายความว่าจะยิ่งหนาวกว่าเดิม แต่เหตุใดนางถึงดูตื่นเต้นดีใจนักเล่า เหลียนเซวียนหยิบไม้เท้าค่อยๆ เดินออกมา
"ว้าวๆๆ ที่แท้หิมะหน้าตาเป็อย่างนี้เองเหรอ ฮ่าๆ น่าสนใจจริงๆ เหมือนขนมสายไหมเลย"
เซวียเสี่ยวหรั่นวิ่งออกไปด้านนอกยื่นมือรับหิมะที่ตกลงมาจากฟ้า เล่นอย่างสนุกสนาน
"อาเหลย เ้าก็ไม่เคยเห็นหิมะเหมือนกันใช่ไหม ฤดูหนาวปีก่อน เ้าเกิดหรือยังก็ไม่รู้ ฮ่าๆ"
พอเห็นอาเหลยทำท่ายื่นมือรับหิมะเลียนแบบเธอ เซวียเสี่ยวหรั่นก็หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี
นางคงเป็หญิงสาวทางใต้ที่ไม่เคยเห็นหิมะมาก่อนสินะ เหลียนเซวียนยิ้มอยู่ใต้ก้นบึ้งดวงตา
"ไอ้หยา หนาวจริงๆ" พอเล่นไปสองสามรอบ เซวียเสี่ยวหรั่นก็หนาวสั่นวิ่งกลับเข้ามารับความอบอุ่นในถ้ำ
อาเหลยย่อมวิ่งตามกลับเข้ามาด้วย
"ไหนๆ ก็หิมะตกแล้ว เที่ยงนี้พวกเรากินปลารมควันกันดีกว่า" เซวียเสี่ยวหรั่นมองปลากับเนื้อรมควันที่แขวนอยู่เหนือกองไฟ ปลากับเนื้อเหล่านี้รมควันมาห้าหกวันแล้ว สามารถเอามากินได้
"เจี๊ยกๆ" ดูเหมือนว่าอาเหลยจะเข้าใจคำพูดของเธอ จึงร้องเจี๊ยกๆ อย่างตื่นเต้น
"ดูเ้าสิ เพิ่งไม่นานเท่าไร เ้าก็กินจนกลมไปหมดแล้ว หากเป็เช่นนี้ต่อไป กลายเป็ลิงอ้วนจะทำอย่างไร"
ได้ยินเธอหยอกล้อกับลิงน้อย ั์ตาของเหลียนเซวียนก็ฉายแววยิ้ม
เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เงยหน้าขึ้นเห็นเขากำลังเดินมา
ผ่านการพักฟื้นมาหนึ่งเดือน าแภายนอกของเหลียนเซวียนไม่มีปัญหาแล้ว แผลตกสะเก็ดก็เริ่มหาย แม้ใบหน้ายังมีแผลเป็อยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าสภาพเมื่อเดือนก่อนมากมายนัก
ร่างกายที่ผอมแห้งติดกระดูกเริ่มดูมีเนื้อหนัง แต่ยังผอมบางอยู่ แต่ดูไม่ขัดตาแล้ว
น่าเสียดาย อาการมือเท้าอ่อนแรงยังไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
เขาสวมเสื้อผ้าที่เซวียเสี่ยวหรั่นถักให้ เสื้อเป็แบบสวมหัวความยาวถึงแค่ต้นขาเท่านั้น แขนเสื้อกับขากางเกงก็เย็บจนสอบแคบ
เหลียนเซวียนสวมแล้วรู้สึกไม่ชิน สุดท้ายเลยต้องเอาชุดคลุมตัวยาวมาสวมทับด้านนอก ถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
...
[1] หมายถึงนาฬิกาแดด
[2] สมัยโบราณการสอบเข้ารับราชการ ผู้สอบต้องผ่านการเรียนรู้อย่างหนัก บัณฑิตที่ยากจนไม่มีเงินจ้างอาจารย์มาสอนส่วนตัว ก็ต้องเก็บหอมรอมริบซื้อตำรามาศึกษาเอง คำกล่าวนี้จึงสะท้อนถึงความยากลำบากในการศึกษา