บทที่4 แพทย์ศาสตร์โบราณ
แสงแดดอ่อนยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานกว้างเข้ามาในห้องบรรยายชั้น 3 ของมหาวิทยาลัยการแพทย์เซี่ยงไฮ้ วันนี้เป็วันที่มีการบรรยายวิชาแพทย์แผนโบราณ โดย อาจารย์ หยางหนิงอัน เธอกำลังอธิบายสรรพคุณและการประยุกต์ใช้สมุนไพรแต่ละชนิดอย่างกระตือรือร้น
บรรยากาศในห้องบรรยายแพทย์แผนโบราณยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรหลากชนิดอย่างโสม ขิง ตะไคร้ และใบมะขาม ที่ถูกนำมาโชว์บนโต๊ะบรรยาย อุปกรณ์การแพทย์โบราณก็วางเรียงราย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เหล่าแพทย์และนักศึกษาฝ่ายแพทย์ปัจจุบันที่สนใจศาสตร์โบราณนี้โดยเฉพาะ
หมอหลินต้าเหนิง และ หมอหวังอี้เฉิน สองผู้ที่ปราดเปรื่องด้านวิชาการแพทย์สมัยใหม่ ก็ไม่พลาดจะเข้าร่วมฟังบรรยายในวันนี้เช่นกัน หมอหวังอี้เฉินก้าวนำเข้าห้องก่อน เขาเปิดประตูเบาๆ ให้หมอหลินต้าเหนิงเดินตาม แววตาของทั้งคู่เปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็นในศาสตร์แพทย์แผนโบราณที่อยู่ตรงหน้า
หมอหลินต้าเหนิง (ยิ้มบาง) :“ว้าว… กลิ่นสมุนไพรฟุ้งเลยนะคะหมอหวัง บรรยากาศแตกต่างจากห้องแลปของเราโดยสิ้นเชิงเลย”
หมอหวังอี้เฉิน (หัวเราะเบา) :“ใช่ครับ ผมไม่ได้ัักลิ่นสมุนไพรแบบนี้มานานมากแล้ว แค่ได้กลิ่นก็เหมือนกระตุ้นความสดชื่น แถมอาจารย์หยางหนิงอันยังเลื่องชื่อเื่ฝังเข็มและยาจีน น่าสนใจสุดๆ ไปเลย”
อาจารย์หยางหนิงอันในชุดกี่เพ้าสีสุภาพคลุมด้วยเสื้อกาวน์แหวกด้านหน้าเล็กน้อย ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะใหญ่ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มรับนักศึกษาที่ทยอยเข้ามา จังหวะหนึ่งเธอใช้เข็มทองแตะกระดาษภาพจำลองร่างกายมนุษย์ ปากอธิบายถึงจุดต่างๆ สำหรับการนวดและฝังเข็มอย่างจริงจัง เหล่านักศึกษาจดจ่อจดบันทึกกันขะมักเขม้น
สิ้นสุดการบรรยาย่บ่าย อาจารย์หยางหนิงอันปิดท้ายด้วยการสรุปหลักการเบื้องต้นและตอบคำถามนักศึกษาสั้นๆ ก่อนนักศึกษาส่วนใหญ่ทยอยเดินออกไป เหลือเพียงผู้สนใจบางส่วนที่รุมถามต่ออีกเล็กน้อย พอทุกคนออกเกือบหมดเหลือ หมอหวังอี้เฉิน นั่งอยู่กลางห้อง ส่วนหมอหลินกำลังชื่นชมเข็มทองและตำรายาโบราณเล่มหนึ่ง
อาจารย์หยางหนิงอันเก็บอุปกรณ์วางลงกล่องอย่างระวัง จังหวะนั้นเธอเหลือบเห็นว่าหมอหวังอี้เฉินยังไม่ลุกไปไหน
หยางหนิงอัน (ยิ้มทัก) :“อ้อ… หมอหวังอี้เฉินนี่เอง อยากซักถามอะไรเพิ่มเติมก็เชิญได้นะคะ”
หมอหวังอี้ “สวัสดีครับอาจารย์หยางหนิงอัน ผมฟังบรรยายวันนี้แล้วทึ่งมากเลยครับ โดยเฉพาะเื่การจับชีพจรกับใช้เข็มทองฝังจุดสำคัญๆ เพื่อรักษาอาการ… ผมไม่คิดว่าหลายจุดบนร่างกายจะมีผลเชื่อมกับระบบประสาทได้ขนาดนี้” หมอหลินต้าเหนิงเดินมาสมทบ ขณะที่เธอถือสมุดจดเล่มเล็ก เปิดดูบันทึกของตัวเอง
หมอหลินต้าเหนิง:“อาจารย์หยางหนิงอันคะ ฉันเคยฝึกฝังเข็มมานิดหน่อย แต่ยังไม่เข้าใจกลไกสมุนไพรแต่ละชนิดว่าช่วยเสริมการฝังเข็มอย่างไร เช่น ขิงหรือโสมเมื่อนำมาใช้เป็ยาช่วยขับพิษ จะทำให้จุดฝังเข็มบางจุดไวต่อการรักษามากขึ้นจริงไหมคะ?”
หยางหนิงอัน (พยักหน้ายิ้ม) :“ใช่ค่ะหมอหลิน… การผสานยาจีนและการฝังเข็มมีหลักการสอดคล้องกัน ยกตัวอย่าง ‘โสมแดง’ จะกระตุ้นการไหลเวียนเื ทำให้การฝังเข็มจุดบนเส้นลมปราณมีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรืออย่าง ‘ขิง’ ช่วยขับความเย็นออกจากร่างกาย ช่วยปรับสมดุลหยินหยาง…” เสียงสนทนายังคงเป็ไปอย่างออกรส จนกระทั่งทุกอย่างในห้องแทบเก็บเรียบร้อย ไม่มีใครเหลืออยู่นอกจากสามคน หมอหลินต้าเหนิงและหมอหวังอี้เฉินผลัดกันถามเื่ยาตำรับจีนอย่างสนใจ บางครั้งก็แอบกระซิบแลกเปลี่ยนข้อสังเกตเื่ผู้ป่วยในวอร์ด แต่หยางหนิงอันก็ตอบด้วยอารมณ์ขันและความเชี่ยวชาญ
ท้ายที่สุดเมื่อตำราเล่มสุดท้ายถูกหยางหนิงอันเก็บใส่กระเป๋า เธอหันกลับมาด้วยรอยยิ้มรับแขก
หยางหนิงอัน:“ฉันดีใจมากนะคะ ที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้กับแพทย์ผู้เลื่องชื่อในทักษะศัลยกรรมสมัยใหม่อย่างหมอหลินกับหมอเฉินในวันนี้” เธอส่งยิ้มตอบอย่างเป็กันเองกับคุณหมอทั้งสอง
“ความจริงถ้าหมอสนใจในศาสตร์โบราณขนาดนี้ ฉันอยากให้ทั้งสองมีมาดูงานที่คลินิกสมุนไพรของฉันบ้าง จะได้เห็นการฝังเข็มและจ่ายยาจีนในเคสจริง และถ้ามีเวลาฉันจะพาไปที่พิพิธภัณฑ์บ้านตระกูลหยางด้วยที่นั่นเราเก็บสะสมของมีค่าและสมุนไพรโบราณมากมายเลยค่ะ”
หมอหลินต้าเหนิงกับหมอหวังอี้เฉินสบตากันอย่างตื่นเต้น เหมือนอยากจะตอบรับคำเชิญสุดฤทธิ์ แต่หมอหวังอี้เฉินกลับยังมีคำถามบางอย่างในใจ
หมอหวัง (น้ำเสียงลังเลเล็กน้อย) :“เอ่อ…อาจารย์หยางครับ คือผมสงสัยเื่หนึ่ง … มันอาจไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาโดยตรง แต่อยากทราบว่ามีสมุนไพรชนิดไหนที่ทำให้คนเรา ‘เห็นภาพในอดีต’ หรือ ‘ภาพหลอน’ ได้หรือเปล่าครับ?”
จู่ ๆ คำถามนี้ทำให้หลินต้าเหนิงหันขวับมามองหน้าหมอหวังอย่างแปลกใจ
หมอหลิน (ยิ้มขำ) :“ภาพหลอนในอดีตเหรอคะหมอหวัง? นี่เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ถึงสนใจเื่นี้เฉยเลย”
หมอหวัง (เกาท้ายทอยยิ้มเจื่อน) :“เอ่อ ผมอ่านเคสแปลกๆ มา มีผู้ป่วยรายหนึ่งเล่าว่ากินยาสมุนไพรจนเห็นภาพเหตุการณ์อดีตชาติ เลยอยากรู้ว่านี่เป็ไปได้ไหม หรือเกิดจากฤทธิ์ยาที่กระตุ้นสมองกันแน่” อาจารย์หยางหนิงอันทำหน้าใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบา
หยางหนิงอัน:“สมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์ให้เกิดภาพหลอนทางจิตก็มีอยู่จริง เช่น พืชจำพวกที่มีสารก่อประสาทหลอนอ่อนๆ แต่จะถึงขั้นเห็นอดีตชาติหรือความทรงจำในอดีตไหม ในมุมมองแพทย์แผนโบราณ เราจะบอกว่าสติอาจถูก ‘พลังพิษ’ ทำให้หลงไปในห้วง ‘ฝัน’ แต่ไม่ใช่ว่ากลับไปเห็นอดีตได้จริงหรอกค่ะ มันน่าจะเป็เพียงจินตภาพที่สมองสร้างขึ้น”
หมอหลินต้าเหนิง (พยักหน้าเห็นด้วย) :“เหมือนกับ LSD หรือพืชบางอย่างที่ใช้กันในพิธีกรรมต่างประเทศ แต่ทางวิทยาศาสตร์อธิบายได้ว่าเป็สารออกฤทธิ์ต่อประสาท”
หยางหนิงอัน:“ใช่ค่ะ ถ้าจะบอกว่ากลับไปเห็นชาติก่อน ก็อาจฟังเป็เื่ความเชื่อมากกว่า แต่ก็มีความเป็ไปได้ที่สมุนไพรเ่าั้กระตุ้นกลไกความทรงจำฝังลึกในสมอง จนเกิดเป็ภาพหลอน ส่วนจะเห็นจริงหรือไม่ ก็แล้วแต่ภูมิคุ้มกันทางจิตและสภาพร่างกายของผู้กิน” หมอหวังอี้เฉินฟังแล้วครุ่นคิด สีหน้าเหมือนสบายใจขึ้นแต่ก็ยังไม่หายฉงน
หมอหวังอี้เฉิน (ยิ้มบาง) :“ขอบคุณอาจารย์หยางหนิงอันมากนะครับ ช่วยให้ผมเข้าใจว่าคงเป็ ‘ภาพหลอน’ จริงๆ นั่นแหละ ผมจะไปตรวจเช็กตัวยาที่เขาใช้ต่อไปเผื่อได้เจอต้นเหตุ”
หยางหนิงอัน (ยิ้มกว้าง) :“ด้วยความยินดีค่ะ มีอะไรก็สอบถามฉันได้เสมอ ถ้าหมอหวังเจอสมุนไพรน่าสนใจ จะได้แบ่งปันกับฉันด้วย หมอหวังอี้เฉินคะ คราวหน้าถ้าเจอเคสแปลกๆ อะไรแบบนี้ ชวนฉันไปดูด้วยนะ ฉันอยากเรียนรู้เหมือนกัน… เผื่อจะมีเคสเอามาลงงานวิจัยของแพทย์โบราณที่ฉันกำลังทำอยู่” ทั้งสามหัวเราะอย่างเป็กันเอง
“คุณหมอคะนี่นามบัตรของฉัน คุณหมอวังโทรมาก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าสนใจพิพิธภัณฑ์บ้านตระกูลหยางฉันยินดีพาชมได้ทุกเมื่อค่ะ” หมอหนิงอันยื่นนามบัตรให้พวกเขาก่อนจะขอตัวกลับ พร้อมเสียงปิดประตูห้องเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณเงียบลง
แสงยามเย็นเริ่มสาดส่องเข้ามาแทน กลิ่นสมุนไพรยังคงอ้อยอิ่งในอากาศ ราวกับทิ้งปริศนาให้พวกเขาได้ครุ่นคิดต่อไป … ว่าแท้จริงแล้ว ศาสตร์แพทย์แผนโบราณและความมหัศจรรย์ของสมุนไพร ยังมีอีกมากที่พวกเขาอาจคาดไม่ถึง หลังการบรรยายแพทย์แผนโบราณจบลงในบ่ายวันศุกร์ *หมอหลินต้าเหนิง และ **หมอหหมอหวังอี้เฉิน ทั้งสองเดินมาที่โรงอาหารของโรงพยาบาล
บรรยากาศในร้าน ่บ่ายคนเริ่มน้อยหมอหลินต้าเหนิงกับหมอหวังอี้ เลือกที่นั่งมุมด้านในซึ่งค่อนข้างเงียบ พอวางอาหารจานหลักและชามซุปเสร็จ ทั้งสองก็เตรียมกินข้าว
หลินต้าเหนิง (เคาะปลายตะเกียบกับขอบจานเบาๆ) :“หมอหวังคะ คุณมีเื่อะไรที่ยังเล่าไม่หมดอีกหรือไม่
หวังอี้เฉิน มองหน้าเธอ (ลดเสียงลง) :“จริงๆ ผมอยากจะเล่าเื่นี้มาสักพักแล้ว… แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี มันค่อนข้างประหลาด…คือ… (เขาถอนหายใจสั้นๆ) คนที่เห็นภาพหลอนน่ะ ไม่ใช่คนไข้ที่ไหนหรอกครับ…”
หลินต้าเหนิง นิ่งฟังอย่างตั้งใจ เธอกะพริบตาสงสัย
หลินต้าเหนิง:“อ้าว ไม่ใช่คนไข้? แล้วใครล่ะคะ?” หมอหวังเผยสีหน้ากึ่งลำบากใจ แต่ในที่สุดก็ยอมเล่าออกมาตรงๆหวังอี้เฉินเขา (พูดเบาๆ แต่ชัดเจน) :“มัน…เป็ผมเองครับ ที่เห็น ‘ภาพหลอน’ นั้น ไม่ใช่ใครอื่นเลย”
หลินต้าเหนิง ถึงกับชะงัก หยุดถือตะเกียบ กลอกตาประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
หลินต้าเหนิง (เสียงเบาๆ) :“คุณ…เห็นภาพหลอนเอง? หมายความว่ายังไงกัน หมอหวัง คุณโอเคไหมเนี่ย? หรือพักผ่อนไม่พอจนความเครียดสะสม?” หมอหวังอี้เฉินฝืนหัวเราะหน่อยๆ
หวังอี้เฉิน:“ผมก็สงสัยว่าตัวเองอาจเครียดเกินไป… แต่ลองทบทวนดีๆ ผมก็จัดเวลาพักผ่อนตามเวลาได้ดี ไม่ถึงกับโหมงานหนักขนาดคุณหลินด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ผมเห็น… มันชัดเจนเกินไปที่จะบอกว่าเป็แค่ความฝัน” เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พลางมองมือที่กำอยู่เล็กน้อย
หวังอี้เฉิน:“ผมเห็น ‘ชาย’ คนหนึ่ง แต่งชุดโบราณสมัยราชวงศ์อะไรสักอย่างผมดูก็ไม่ค่อยเป็หรอก แต่ออกแนวจีนโบราณ เขายืนอยู่ในห้องทำงานของผม ทั้ง ๆ ที่ประตูห้องล็อก และเขาแนะนำตัวเองว่าชื่อ เป็หมอเทวดา อะไรสักอย่าง บอกว่ามาจากยุคโบราณคือมันฟังเหลือเชื่อมาก ผมเลยคิดว่าเป็แค่ความฝัน แต่ปัญหาคือ…ผมเห็นเขาถึงสองครั้งในสองวันติดกัน”
หลินต้าเหนิง ฟังแล้วขนลุกน้อยๆ
หลินต้าเหนิง “สองครั้ง? แล้วเขาพูดอะไรอีกล่ะคะ คุณจำได้ไหม”
หวังอี้เฉิน (พยักหน้าอย่างครุ่นคิด) :“จำได้… ครั้งแรกเขายืนอยู่ข้างเตียงผมตอนผมเคลิ้มหลับ เวลาประมาณตีสองเขาพูดทำนองว่า ‘ข้าคือหมอเทวดาผู้เป็ตำนานของตระกูลหยาง ร้านหมอยาหยางเฟ่ยแห่งต้าิ… ข้า้าเ้าเป็ศิษย์เพื่อสืบทอดวิชาลับ…’ ฟังดูตลกชะมัดใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนั้นผมปวดหัวหนึบๆ เป็เสี้ยววินาทีเหมือนถูกฉีดยาบางอย่าง พอตื่นเช้ามาพบว่าตัวเองนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานแทนที่จะอยู่บนเตียงด้วยซ้ำ” หลินต้าเหนิงยื่นมือคว้าแก้วน้ำมาจิบ บรรยากาศรอบข้างร้านค่อนข้างจ้อกแจ้ก แต่เธอกลับรู้สึกเงียบเหมือนอยู่กันสองคน
หมอหลินต้าเหนิง (ส่ายหน้าเบาๆ) :“ฟังแล้วเหมือนสตอรี่ในนิยายแฟนตาซีเลยนะคะ หมอเทวดา… แล้วคืนที่สองล่ะ?”หมอหวังอี้เฉินหลุบตาลง จิ้มข้าวในจานเขาอย่างเหม่อๆ
หมอหวังอี้เฉิน:“คืนที่สองเขามาเหมือนเดิม คราวนี้ผมพยายามลุกขึ้นไปแตะดูว่าเป็คนจริงหรือเปล่า แต่มือผมทะลุร่างเขาเหมือนจับอากาศ! มันน่าเหลือเชื่อมาก… เขาบอกว่าเขาเป็ดวงจิตในอีกภพหนึ่ง ถ้าอยากเรียนรู้ศาสตร์วิชาโบราณขั้นสูง ให้ผมยอมรับข้อเสนอ… แล้วจู่ ๆ ภาพก็ดับวูบเหมือนเดิม”
หลินต้าเหนิง ถึงกับถอนหายใจปนตื่นเต้น
หมอหลินต้าเหนิง: “หมอหวัง…ฟังดูเหมือนมีคนพยายาม ‘เรียก’ คุณจากโลกอื่นก็ไม่ปาน นี่พูดแบบติดตลกนะ… หรือคุณไปกินสมุนไพรใดเข้าจริงๆ ล่ะ ถึงได้หลอนแบบนี้?”
หมอหวังอี้เฉิน (ส่ายหน้า) :“ไม่มีเลยครับ ่นี้อาหารการกินผมก็ปกติ ทุกวันนี้อยู่เวร กินอาหารโรงพยาบาลเหมือนกันกับคุณ… เลยคิดไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมถึงเห็นภาพชายโบราณแบบนั้น”
หมอหลินต้าเหนิง เอื้อมมือแตะไหล่เพื่อนร่วมงานเบาๆ และยิ้มให้กำลังใจ
“บางทีอาจเป็ฝันซ้อนฝัน หรือคุณเครียดจนเกิดภาวะหลอนหลังอดนอนก็ได้นะคะ อย่าเพิ่งสรุปอะไร ประเมินสภาพสมองหรือพักให้มากขึ้น บางครั้งจิตใต้สำนึกมันเล่นตลกก็มีนะ” หมอหวังพยักหน้าเชื่องช้า สีหน้ายังเปี่ยมด้วยความสงสัย
หมอหวังอี้เฉิน:“ครับ…ผมจะลองสังเกตตัวเองอีกสักระยะ แต่ถ้าเจอเขาอีกครั้ง ผมคงต้องรีบไปหาจิตแพทย์แล้วล่ะ (หัวเราะฝืดๆ) ”
หมอหลินต้าเหนิง “ถ้ามีอะไรก็เล่าให้ฉันฟังได้ตลอดนะคะ เผื่อร่วมกันวิเคราะห์แบบวิทยาศาสตร์ หรือจะเอาวิธีแพทย์โบราณของหยางหนิงอันมาช่วยก็ไม่เสียหาย…ฉันยินดีเป็เพื่อนคุย” หมอหวังอี้เฉินสบตาเธออย่างขอบคุณ
หมอหวังอี้เฉิน (ยิ้มอบอุ่น) :“ขอบคุณนะหมอหลิน คุณใจดีเสมอเลย… เอาล่ะ ทานต่อเถอะ เดี๋ยวต้องขึ้นไปวอร์ดอีกเคสใกล้ถึงเวลาแล้ว” ทั้งสองคนจึงตั้งใจรับประทานอาหารกลางวันต่อในบรรยากาศที่เหมือนจะเงียบสงบ แต่เต็มไปด้วยความคิดกังวลอยู่ในใจ บางทีพวกเขาอาจไม่รู้ว่า เหตุการณ์ภาพหลอนประหลาดของหมอหวังอี้เฉินอาจเป็เพียงจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะคาดเดา…
หมอหวังอี้เฉิน
แพทย์แผนโบราณหยางหนิงอัน
หมอหลินต้าเหนิง
***เอาละซิ...หรือหมอหวังก็เป็อีกคนที่ต้องเดินทางไกล...ตามมาค่ะรี้ด เริ่มตื่นเต้นละ***ถ้าชอบขอหัวใจให้ไรท์มากๆ ด้วยนะคะ***
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้