ห้องนอนของพวกเขาคือห้องที่ตระกูลหลี่ปล่อยว่างไว้ก่อนหน้านี้ ห้องมีขนาดใหญ่ เครื่องเรือนล้วนเป็ของใหม่ทั้งสิ้น ยังคงมีกลิ่นไม้อยู่จางๆ
เตียงเป็เตียงเตาที่กำลังเป็ที่นิยมในอำเภอฉางผิง เป็เตียงที่ให้ความอบอุ่นอย่างดียิ่ง ปูด้วยผ้านวมที่ตระกูลหลี่เคยใช้ก่อนหน้านี้ แม้จะเก่าและมีรอยปะชุน แต่ก็ถูกนำไปซักจนสะอาดสะอ้านและนำไปตากแดดทั้งวันจนมีกลิ่นอายของแสงแดด ให้ความรู้สึกราวกับมีบ้านให้อยู่จริงๆ
สามพ่อลูกไปตักน้ำมา ผลัดกันล้างเท้าแล้วขึ้นไปบนเตียงเตา
น้ำในบ่อจะอบอุ่นใน่ฤดูหนาว แต่จะเย็นใน่ฤดูร้อน ตอนนี้เป็ฤดูหนาวน้ำจึงค่อนข้างอุ่น
อู่ต้าลูบท้องกลมๆ ของตน เพราะได้กินอาหารเย็นจนอิ่มหนำ กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ลองดูที่อยู่ของพวกเรา ที่นอนของพวกเรา อีกทั้งอาหารการกินเถิด ดีกว่าตอนอยู่ที่โรงช่างฝีมือมากเลยนะขอรับ”
ที่โรงช่างฝีมือกินวันละสองมื้อ ทั้งยังไม่มีน้ำมันให้เห็นแม้แต่น้อย ทว่าที่บ้านหลี่กินวันละสามมื้อและได้กินไข่ไก่อีกด้วย เป็ชีวิตที่ดีประหนึ่งเทพเซียนเลยทีเดียว
อู่เอ้อร์ยื่นมือออกไปลูบเตียงเตาใต้ร่างที่กำลังอบอุ่นอีกครั้ง วันนี้ทั้งวันเขาลูบเตียงเตาไปแล้วหลายรอบ รู้สึกดีใจจนไม่อาจดีใจไปมากกว่านี้แล้ว เขาพูดขึ้นว่า “ที่โรงช่างฝีมือมีเตียงเตาที่ไหนกัน ฤดูหนาวเช่นนี้ต่อให้อยู่ในห้องทั้งวันก็ยังหนาวจนหูแทบแข็ง”
ก่อนหน้านี้เมื่อถึงฤดูหนาวของแต่ละปี หูและมือทั้งสองของพวกเขาเย็นจนแทบแข็ง พวกเขาหนาวสั่นจนเกือบตาย ปีนี้ได้อยู่บ้านหลี่ ได้นอนเตียงเตาอันอบอุ่น วันๆ ก็ทำงานโม่ถั่วเหลืองอยู่ในห้องบด ไม่ต้องไปทำงานตากหิมะ ย่อมไม่ต้องทนหนาวจนเกือบแข็งตายอีก
อู่อวี๋เหนียนมองการณ์ไกลกว่าบุตรชายทั้งสอง เขากล่าวอย่างเนิบช้า “แม้บ้านหลี่จะดูไม่มีอำนาจไม่มีอิทธิพลอันใด แต่ก็มีวิชามีฝีมือที่เป็เอกลักษณ์ของตระกูล เต้าหู้ที่ขายก็มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน กระทั่งจวนเยี่ยนอ๋องก็ยังมาซื้อเต้าหู้ที่นี่ บ้านหลี่มีจวนเยี่ยนอ๋องคุ้มครองย่อมไม่เกิดเื่เป็แน่ อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีที่จะกลายเป็ผู้ร่ำรวย หากเป็เช่นนั้นพวกเราก็จะอยู่ที่นี่ได้อีกนาน ชีวิตก็จะมั่นคง”
“คุณชายน้อยทั้งสี่ของบ้านต่างก็ขยันเรียน ดึกดื่นเพียงนี้แล้วยังจุดตะเกียงอ่านหนังสืออีก…” อู่เอ้อร์เคยเป็ซูถง[1] ให้บุตรชายของอาจารย์ปู่อยู่หลายวัน บุตรชายของอาจารย์ปู่เห็นหนังสือก็บ่นนี่บ่นนั่น เอาแต่คิดจะออกไปเล่นทั้งวัน
“คุณหนูยอดเยี่ยมมากจริงๆ” ในยามที่อู่อวี๋เหนียนกล่าวถึงหลี่หรูอี้เขาจงใจตัดคำว่าบ้านหลี่ออกไป ในใจของเขาเห็นนางเป็นายท่านที่แท้จริง “คุณหนูอายุยังน้อย แต่ก็มีความสามารถสูง บ้านนี้ไม่ว่าจะเื่ในบ้านหรือเื่นอกบ้านคุณหนูล้วนเป็ผู้จัดการทั้งสิ้น คุณหนูปฏิบัติต่อพวกเราไม่เลวเลย พวกเราต้องฟังคำของคุณหนู อย่าทำเื่ที่ผิดต่อนางเป็อันขาด”
แม้ชื่อที่ปรากฏในสัญญาซื้อขายของพวกเขาจะมีหลี่สือเป็นาย แต่พวกเขารู้ดีว่าอีกไม่นานหลี่หรูอี้จะให้พวกเขาเปลี่ยนไปลงทะเบียนเป็คนของนาง
สัญญาซื้อขายก็ถูกหลี่หรูอี้เก็บไว้ โชคชะตาของพวกเขาย่อมอยู่ในกำมือของนาง
บุตรชายทั้งสองพากันพยักหน้า “ท่านพ่อ ข้าทราบแล้วขอรับ”
อู่อวี๋เหนียนเป็ห่วงภรรยาจึงสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปดู เขายืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องนาง เมื่อมองออกไปก็พบว่าในห้องมืดสลัว ภรรยาและคุณชายน้อยทั้งสองหลับไปแล้ว เขารู้ดีว่าภรรยาต้องตื่นมากลางดึกทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า จึงไม่คิดรบกวนนางอีก จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าต่างห้องของคุณชายน้อยทั้งสี่คนที่ยังมีแสงตะเกียงส่องสว่าง “คุณชาย มีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่ขอรับ”
หลี่ฝูคังมีนิสัยใจร้อน รีบตอบไปทันทีว่า “ไม่มีแล้ว เ้าไปนอนเถิด”
อู่อวี๋เหนียนเดินตรวจตราที่ลานด้านหลังอีกครั้ง ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่ที่โรงช่างฝีมือของอาจารย์ปู่ นอกจากจะต้องทำงานที่ทั้งหนักและเหนื่อยแล้ว ยามค่ำคืนยังต้องเดินตรวจตราอีกด้วย เพราะกลัวว่าจะมีคนเข้ามาขโมยของ
เมื่อเทียบกันแล้ว บ้านหลี่โม่ถั่วเหลืองก็ใช้ลา เขาเพียงต้องเฝ้าลาและคอยเติมถั่วเหลืองลงในเครื่องโม่เท่านั้น ไม่จำเป็ต้องลากเครื่องโม่ด้วยตนเอง งานสบายขึ้นมาก
บ้านหลี่ไม่ใหญ่นัก ลานหน้าบ้านกับหลังบ้านอยู่ติดกัน ไม่มีของมีค่าอันใด ทั้งยังไม่ใช่ตระกูลร่ำรวย อีกทั้งยังเลี้ยงสุนัขสำหรับเฝ้าบ้านไว้แล้วถึงสองตัว จึงไม่ต้องเดินตรวจตรายามค่ำคืนอีก ทำให้เขาได้หลับอย่างสบายตลอดทั้งคืน ดีกว่าตอนอยู่ที่โรงช่างฝีมือของอาจารย์ปู่มากจริงๆ
ขณะที่อู่อวี๋เหนียนคิดจะกลับไปนอนที่ห้อง จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นที่ลำคอ ที่แท้หิมะตกแล้วนี่เอง ความเย็นนั้นก็มาจากเกล็ดหิมะที่ปลิวมาเข้าจมูกและตกลงไปในลำคอของเขา เขาบ่นพึมพำกับตนเองว่า “บ้านเ้านายมีเตียงเตา เช่นนี้หากตอนกลางคืนมีหิมะตก พวกเราก็ไม่ต้องกลัวหนาวตายตอนหลับอีกแล้ว”
หิมะตกอย่างไร้เสียง ค่ำคืนนี้ทุกคนนอนหลับสนิท
หิมะหยุดตกก่อนฟ้าสาง หมู่บ้านหลี่ขาวโพลนราวกับมีอาภรณ์สีขาวปกคลุม เงียบสงบไร้เสียงวุ่นวาย ห้องบดของบ้านตระกูลหลี่เป็แห่งแรกที่มีแสงตะเกียงส่องสว่าง พ่อลูกแซ่อู่และสองพี่น้องหลี่ซานเริ่มทำงานของวันนี้แล้ว
หลังจากสวี่เจิ้งและบุตรชายซื้อเต้าหู้เสร็จแล้ว หวังไห่กับภรรยาและบุตรสาวก็มาที่บ้านหลี่
นี่เป็ครั้งแรกที่หวังไห่เห็นบ่าวไพร่ของบ้านหลี่ เขาจึงจ้องมองอยู่นานสักหน่อย พวกเขามีมือและเท้าใหญ่ บนมือมีหนังที่ด้านและแข็งอยู่หลายจุด โดยเฉพาะอู่อวี๋เหนียนที่เพิ่งจะอายุสามสิบต้นๆ แต่แผ่นหลังเริ่มโค้งงอแล้ว ดูท่าทางตอนที่อยู่บ้านเ้านายเก่าบ่าวไพร่เหล่านี้คงทำงานหนักมากกระมัง
หวังไห่เรียกหลี่ซานออกมาจากห้อง พวกเขาไปที่ห้องโถง ซึ่งอยู่บริเวณลานด้านหน้า จากนั้นจึงนำส่วนแบ่งค่าก่อเตียงเตาที่ได้ในระยะนี้ออกมาวางไว้บนโต๊ะแปดเซียนตัวใหม่ เป็เงินจำนวนสองตำลึงห้าเฉียน “ดินที่พวกเราใช้ก่อเตียงเตาเป็ดินแดงที่เอามาจากูเาของหมู่บ้าน นอกหมู่บ้านหาดินชนิดนี้ไม่ได้แล้ว เตียงเตาที่สร้างจากดินชนิดนี้กระจายความร้อนได้ดีและอุ่นนาน ผู้ที่เคยใช้ล้วนกล่าวเช่นนี้ ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว อากาศหนาวเย็นมาก กิจการก่อเตียงเตาของพวกเราดำเนินไปได้อย่างดียิ่ง ดีกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก”
ตอนแรกเพื่อป้องกันไม่ให้วิธีการก่อเตียงเตาถูกผู้อื่นเลียนแบบ หลี่หรูอี้จึงทุ่มเทเวลาให้กับการหาวัตถุดิบเป็อย่างมาก ทำการทดลองไปสิบกว่าครั้ง สุดท้ายจึงใช้ดินแดงบนูเาของหมู่บ้านหลี่
วิธีการก่อเตียงเตาที่เจิ้งโหย่วเลี่ยงได้ไปจากหวังฝูจื้อไม่มีบอกว่าต้องใช้ดินแดง พ่อค้าในเมืองเยี่ยนที่ซื้อวิธีสร้างเตียงเตาไปย่อมไม่รู้จักดินแดง ดังนั้นเตียงเตาที่พวกเขาก่อให้คนในเมืองเยี่ยนย่อมไม่ดีเท่าเตียงเตาของคนตระกูลหวัง
ตอนนี้คนเมืองเยี่ยนรู้แล้วว่า เตียงเตาของตระกูลหวังดีที่สุด หากต้องจ่ายเงินเท่ากัน ย่อมให้ตระกูลหวังมาก่อเตียงเตาให้
“นี่เป็เื่ดี” หลี่ซานเคยได้ยินบุตรสาวกล่าวถึงเื่ดินแดงแล้ว ตอนนั้นเขายังเป็ห่วงกลัวว่าดินแดงบนูเาจะถูกคนตระกูลหวังขุดออกไปจนูเาถล่ม หลี่หรูอี้จึงอธิบายให้เขาฟังว่า เพียงนำดินแดงไปผสมกับดินเหนียวตามสัดส่วนที่นางคิดค้น ไม่ได้ใช้ดินแดงทั้งหมด ใช้ดินแดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ูเาบริเวณหมู่บ้านมีมากมาย ดินแดงก็มีมากมาย ย่อมขุดได้ไม่หมดสิ้นแน่นอน
หวังไห่กล่าวอย่างภาคภูมิใจมาก “งานก่อเตียงเตาถูกจองไว้จนถึงกลางปีหน้าแล้ว”
หลี่ซานยิ้มจนตาหยี “ถึงตอนนั้นก็จ้างคนไปทำงานในที่ดินสักหน่อย แต่ละครอบครัวมีคนดูแลก็พอแล้ว” จากนั้นจึงถามไปว่า “บ้านเ้าทั้งขายเต้าหู้และมีที่ดินหลายสิบหมู่ หากทำงานไม่ไหวข้าจะหาคนงานมาทำนาให้สักหลายคน ส่วนค่าแรงของพวกเขา ข้าจะจ่ายให้เอง”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
“จะไม่ได้อย่างไรเล่า เอาตามนี้เถิด พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ยังต้องใส่ใจเื่เหล่านี้อีกหรือ”
หลี่ซานกล่าวอย่างยินดี “เช่นนั้นข้าขอบคุณท่านมาก ถึงตอนนั้นข้าจะเชิญครอบครัวท่านมาดื่มสุราด้วยกัน”
คราวนี้หวังไห่มาเพราะมีเื่จะขอร้อง จึงถือโอกาสกล่าวไปว่า “ตอนนี้บ้านเ้ามีคนมาเพิ่มแล้ว ย่อมมีคนทำงานเพิ่มขึ้นด้วย เต้าหู้ที่ทำออกมาคงมีมากกว่าเมื่อก่อนกระมัง”
“ใช่ เมื่อวานหรูอี้บอกว่า จะเพิ่มปริมาณการผลิตเต้าหู้” คำว่าปริมาณการผลิตนี้เป็คำที่หลี่ซานจำมาจากหลี่หรูอี้
หวังไห่ดวงตาเปล่งประกาย พูดว่า “ขายให้ตระกูลหวังของพวกเราเพิ่มขึ้นสักพันชั่งได้หรือไม่”
“หนึ่งพันชั่ง มากมายเพียงนั้นเชียวหรือ” หากเป็หนึ่งหรือสองร้อยชั่งหลี่ซานยอมตัดสินใจเองได้
“เช่นนั้นเ้าจะขายเต้าหู้ให้ตระกูลหวังของข้าได้เท่าใด”
“ข้าขอคิดดูก่อนแล้วจะไปบอกท่าน”
“เช่นนั้นข้าจะรอ” จากนั้นหวังไห่ก็บอกเื่ที่เขาตัดขาดกับตระกูลชวี “ชวีผิงหนีไปที่ใดแล้วก็ไม่รู้ คนผู้นี้มีจิตใจโเี้อำมหิต เขาเคยถูกสตรีของตระกูลข้าถอดกางเกงแล้วปล่อยให้กลับไป ข้ากลัวว่าเขาจะเคียดแค้นและกลับมาล้างแค้น จึงบอกให้คนในตระกูลที่ออกไปขายเต้าหู้ว่าให้ไปกันเป็คู่ น้องชายเ้าเคยทำร้ายชวีผิง ต่อไปหากออกจากหมู่บ้านก็ต้องระวังให้ดี”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ซูถง เด็กรับใช้ของบัณฑิต มีหน้าที่คอยช่วยเกี่ยวกับการเรียน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้