Chapter 15
พอร์ทิเซีย เทพแห่งความตาย เป็หญิงสาวร่างสูงขายาว มีผมยาวสีดำสนิทถึงเอว ดวงตาเฉี่ยว และมีจุดสีดำเล็ก ๆ หลายจุดบนใบหน้า เธอเป็เทพที่ไม่สุงสิงกับเทพองค์อื่น ไม่มีใครรู้ว่าเธอทำอะไรบ้างในบ้านทรงสูงจนเหมือนหอคอยสีดำสนิทของเธอ และมีซาตานเป็ยามอารักขาหน้าประตู คอยบินตรวจตราที่ยอดหอคอยตลอดเวลา
บ้านของพอร์ทิเซียอยู่ในป่าลึก ที่ไม่ห่างไกลจากศูนย์กลางเมืองเทพเท่าไรนัก ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยคำสาปจึงไม่มีเทพองค์ใดอยากย่างกรายเข้าไป เป็ที่รู้กันดีว่าเป็ที่อยู่อาศัยของเหล่าเทพด้านชั่วร้าย เทพแห่งความตายจัดอยู่ในนั้นด้วย เพราะความไม่เป็มิตร และลึกลับของเธอ
พลังของโจไซอาอ่อนแอไปหมดทุกด้าน พ่อจึงมอบสัตว์เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่ตัวหนึ่งให้เขา เป็กริฟฟินตัวโตเต็มวัยและแข็งแรง ได้รับการฝึกฝนให้เชื่อฟังคำสั่งเทพและสามารถใช้เป็พาหนะได้ ตัวของมันสูงใหญ่กว่าพวกซาตาน ศีรษะเป็นกอินทรีมีจะงอยปากแข็งแรง พร้อมกับกรงเล็บแหลมคมเป็ขาหน้า ขาหลังของมันเป็อุ้งเท้าใหญ่ของสิงโต และมีหางยาวปัดแกว่งไปมาเมื่อโจไซอาลูบคอเพื่อทักทายมัน
“ไง หนุ่มน้อย จะพาฉันไปส่งใช่ไหม” กริฟฟินตัวเต็มวัยเชิดหน้าขึ้นฟ้าแล้วร้องตอบ
“ฉันยังไม่ทันได้บอกเอเดนเลย ว่ากริฟฟินมีอยู่จริง”
เสียงแหบแห้งเอ่ยพึมพำอยู่เพียงลำพังระหว่างมองดวงตาใหญ่สีเหลืองทองของสัตว์วิเศษที่อาศัยอยู่ในโลกของเทพมาหลายร้อยปี นามสกุลของเอเดนต้องมาจากชื่อของสัตว์ชนิดนี้อย่างแน่นอน หากอีกฝ่ายได้รู้ว่ากริฟฟินมีอยู่จริง ดวงตาสีเฮเซลคงเป็ประกายด้วยความตื่นเต้น และอยากเห็นมันไม่น้อย
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เอเดนจำโจไซอาไม่ได้อีกแล้ว
กริฟฟินตัวเต็มวัยย่อขาหน้าของมันระหว่างที่โจไซอาจับแผงคอ เพื่อเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังของสัตว์วิเศษ โจไซอาจับขนที่หลังคอของมันอย่างเบามือ ปีกใหญ่สยายและกระพือขึ้นฟ้า มันเชื่อฟังคำสั่งของโจไซอาแล้วมุ่งหน้าไปที่ป่าลึกด้วยความกล้าหาญ มันไม่เกรงกลัวคฤหาสน์หลังใหญ่ของเทพแห่งความมืดที่ปกคลุมด้วยหมอกสีเทาเข้มจนมองเห็นเพียงยอดหอคอย มันไม่กลัวกระท่อมเล็กที่มีควันพวยพุ่งออกมาจากปล่องไฟของเทพแห่งการล่าสัตว์
โจไซอาลูบแผงคอของมันเป็รางวัล ก้มตัวลงต่ำซบใบหน้ากับลำคอสัตว์วิเศษ เพราะสายลมหนาวเย็นจนร่างกายอ่อนแอของเขาทนมันไม่ไหว จนกระทั่งเห็นยอดหอคอยสูงอยู่ไกลออกไป และเห็นซาตานตนหนึ่งกำลังบินวนตรวจตรารอบหอคอย เ้ากริฟฟินจึงร่อนต่ำลงหลบหลังต้นไม้
“เราต้องผ่านพวกซาตานเข้าไป” กรงเล็บแหลมคมและอุ้งเท้าสิงโตแตะลงพื้นหญ้า มันเดินหน้าต่อไปที่หอคอยสีดำสนิทของเทพแห่งความตายตามคำสั่ง
โจไซอาคิดแผนการในหัวให้เขาสามารถผ่านซาตานพวกนี้ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงใช้พลังอำนาจมากมายนัก เ้ากริฟฟินพาเขาเข้าใกล้หอคอยนั่นเรื่อย ๆ จนเห็นแนวกำแพงสูงทำจากรากไม้ของบางอย่างที่มีสีดำสนิท ซาตานสองตนยืนเฝ้าประตูใหญ่อยู่ ผิวกายสีขาวโพลนของพวกมันตัดกับสีดำมืดของกำแพง
โจไซอาลงจากหลังกริฟฟินในความเงียบ ตบหลังของมันเพื่อบอกให้รออยู่ตรงนี้แล้วเดินบนพื้นหญ้าด้วยตัวเอง เพราะพวกซาตานหูดีไม่น้อยไปกว่าเทพเลย ร่างผ่ายผอมเข้ามาใกล้ประตูทางเข้าบานใหญ่ที่เปิดแง้มอยู่เล็กน้อย เขามองลอดผ่านประตูและไม่เห็นซาตานตนอื่นอีก พวกมันมีกันแค่สองตน และที่บินตรวจตราบนหอคอยอีกหนึ่งตนเท่านั้น
มือเรียวชูขึ้นกลางอากาศบันดาลเสือตัวใหญ่ออกมาที่อีกฝากของกำแพงสูง ทันทีที่เสือจากมนตร์วิเศษถือกำเนิด โจไซอาก็สร้างเงาดำที่สวมผ้าคลุมยาวถึงข้อเท้าเป็เ้าของเสือตัวนั้น เงาดำที่มองไกล ๆ จะคล้ายกับเทพผู้บุกรุกสร้างเสียงฝีเท้าเหยียบย้ำกิ่งไม้จนแตกหัก ซาตานหน้าประตูทั้งสองตนหันมองตามเสียงทันที ตนหนึ่งสยายปีกเพื่อไปทางที่มาของเสียง
โจไซอาเหยียดยิ้มมุมปากทันทีเมื่อเหยื่อหลงกลของเขา กายขาวซีดของซาตานบินต่ำมาทางเงามืดที่จางหายไปเพราะมนตร์อ่อนแรง แต่เสือยังคงอยู่และขู่สัตว์ประหลาดที่กำลังบินมาหามัน ซาตานร่างสูงใหญ่กำลังเข้าไปบิดคอเสือ แต่ฝ่ามือกลับััได้เพียงอากาศ เพียงไม่นานเสือก็สลายหายไป
ก่อนที่ซาตานจะรู้ตัวทัน โซ่ตรวนเส้นใหญ่ที่โจไซอาบันดาลขึ้นมาก็ตรึงข้อเท้าทั้งสองข้างแล้วลากไปอย่างไร้จุดหมายจนร่างสีขาวซีดไถลกับพื้นดินโคลนและพื้นหญ้าในป่าไป เสียงร้องโวยวายของซาตานตนที่หนึ่งทำให้ซาตานตนที่สองร้อนใจ มันบินตามหาเพื่อนของมันประตูที่เปิดแง้มจึงไม่มียามรักษาการณ์
โจไซอาพาร่างกายผ่ายผอมของตนเองไปที่ประตูบานนั้นทันที สองเท้าออกวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้สลับกับหันมองด้านหลังของตนเองเป็ระยะ แต่เขาไม่ทันระวังสิ่งที่อยู่บนฟ้า
สองมือใหญ่คว้าต้นแขนของโจไซอาทั้งสองข้างจนร่างผ่ายผอมเท้าลอยจากพื้น ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น สูงขึ้นจนพ้นยอดต้นไม้ใหญ่ ซาตานที่ตรวจตราบนหอคอยเห็นเขาผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของกิ่งไม้ก่อนที่เขาจะเดินผ่านเข้าประตูนั้นไป
“ปล่อย! ปล่อยเดี๋ยวนี้!” มือเรียวจิกฝ่ามือสีขาวซีดอย่างรุนแรง
เมื่อบินขึ้นสูงจนเกือบเท่ากับหอคอยของเทพแห่งความตาย ซาตานตนนั้นก็ปล่อยร่างของโจไซอาตามคำสั่งอย่างง่ายดาย โจไซอาจึงตกลงมาพร้อมภายในร่างกายที่วูบโหวง ด้านล่างของเขาคือต้นไม้วิเศษต้นใหญ่ที่ไม่มีใบเลยแม้แต่ใบเดียว แต่กลับมีหนามแหลมแทงออกมาจากกิ่งก้านแทน
ก่อนที่ร่างของโจไซอาััหนามคม เ้ากริฟฟินบินโฉบมารับร่างของเขาเอาไว้พอดิบพอดี มือสองข้างจึงกอดรอบคอของมันแน่น แล้วขยับร่างกายให้เข้าที่เข้าทาง เขาบังคับให้กริฟฟินบินหนีเข้าพุ่มต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีกิ่งก้านสาขาและใบหนาทึบพอจะบดบังร่างของตนเอง เขารอคอยจนได้ยินเสียงกระพือปีกของซาตานเข้ามาใกล้ แล้วจึงบินหนีออกจากพุ่มไม้
แต่ที่อีกฝั่งหนึ่งของพุ่มไม้มีร่างของโจไซอาขี่เ้ากริฟฟินบินออกไปเช่นกัน ซาตานเวรยามยอดหอคอยไม่ทันเห็นอีกร่างหนึ่ง มันกระพือปีกบินตามโจไซอาไปที่หอคอย และซาตานเฝ้าประตูตนที่สองตามมาสมทบ มันบินตามโจไซอาร่างที่บินหนีออกนอกเขตป่าด้วยความเร็ว
โดยที่ซาตานทั้งสองตนไม่รู้ว่ามีโซ่ตรวนล่องหนเส้นเดียวกันรัดคอของพวกมันทั้งสองเอาไว้ เมื่อพวกมันบินแยกไปคนละทิศคนละทางตามร่างโจไซอาตัวจริง และร่างปลอม โซ่ตรวนที่รัดคอจึงดึงรั้งกันเองอย่างสุดแรง พวกมันต่างหยุดชะงักกลางอากาศ แล้วมุ่งหน้าจะจับตัวโจไซอาให้ได้ จึงพยายามกระชากโซ่ที่คอพร้อมกัน โซ่ต่างดึงรั้งลำคอแข็งแกร่งเพราะไม่มีใครยอมใคร
พวกมันถูกรั้งคอด้วยโซ่จนอ่อนแรง ร่วงลงหายไปในพุ่มไม้ โจไซอาจึงบังคับเ้ากริฟฟินบินวนรอบหอคอยเพื่อตามหาเทพแห่งความตาย แต่ก็ไม่พบร่องรอยของเธอผ่านหน้าต่างบานไหนเลย
โจไซอาใจร้อน เพราะกลัวว่าเอเดนเหลือเวลาอีกไม่มาก เขาบังคับเ้ากริฟฟินผู้กล้าหาญให้บินชนหน้าต่างบานใหญ่ที่ชั้นเกือบบนสุดของหอคอยสุดแรง กรงเล็บและจะงอยปากแข็งแรงของมันทำลายหน้าต่างจนแตก เศษกระจกกระจัดกระจาย และกระเด็นบาดข้างแก้มของโจไซอาจนเืไหลซึม
เทพที่เป็โรครักระทมเช่นนี้ เมื่อมีาแย่อมใช้เวลาฟื้นฟูช้ากว่าปกติ รอยแผลจึงยังอยู่ที่โหนกแก้มข้างซ้ายของโจไซอา เ้ากริฟฟินพาทะลุเข้ามาที่ห้องโถงทรงกลมพื้นหินเย็นเฉียบมีลวดลายสีขาวสลับดำ และรอบห้องมีกระจกสูงหลายบาน ทั้งเล็กและใหญ่ตั้งเรียงรายกันอยู่ ไม่ว่าโจไซอามองไปทางไหนจึงเห็นแต่ภาพเงาสะท้อนของตนเอง และเ้ากริฟฟินที่กำลังย้ำเท้าเขี่ยเศษกระจกออกไปจากเท้าของมัน
“พวกเทพนี่เคาะประตูกันไม่เป็หรือไงกันนะ” เสียงเล็กแหลมดังก้องห้องโถงทรงกลม เกิดเสียงสะท้อนแ่เบาตอบกลับ พร้อมกับเสียงย้ำเท้าทีละก้าวลงมาจากบันไดวน
“อ๋อ เทพแห่งการร่วมประเวณี โจไซอานี่เอง” พอร์ทิเซียร์ยังคงสวมชุดสีดำยาวลากพื้น เธอแสยะยิ้มแล้วอุ้มอีกาตัวใหญ่ในอ้อมแขนขึ้นเพื่อลูบหลังของมัน
“ฉัน้าให้เธอต่ออายุขัยมนุษย์คนหนึ่ง พอร์ทิเซียร์” โจไซอารีบเอ่ยจุดมุ่งหมายของตนเอง แต่เทพแห่งความตายกลับหัวเราะเสียงเล็กแหลมจนมันดังสะท้อนกำแพงหินในหอคอย ไม่ต่างกับภาพสะท้อนของเธอผ่านกระจกเงา
“ทำไมถึงได้รีบขนาดนั้นล่ะ” พอร์ทิเซียร์เดินเข้าใกล้โจไซอา วนรอบกายผ่ายผอม มองหนังหุ้มกระดูกของเขาหัวจรดเท้า แล้วขยับมากระซิบข้างใบหู “เขาจะตายแล้วเหรอ”
“ฉันไม่มีเวลาแล้วพอร์ทิเซียร์ เธอ้าอะไรฉันยอมแลกทุกอย่าง”
“ทุก ๆ อย่างเลยเหรอ…”
โจไซอาจ้องดวงตาสีดำของเธอนิ่ง กัดฟันจนเห็นรูปหน้ากับแก้มตอบชัดเจนเพื่อสะกดกลั้นความโกรธ พอร์ทิเซียร์ปล่อยอีกาในอ้อมแขนของเธอให้โบยบินสู่อิสระ มองปีกสีดำสนิทที่กระพือบนท้องฟ้าห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ ระหว่างใช้ความคิด แล้วเดินมาหาโจไซอาอีกครั้ง
“รวมถึงชีวิตของเธอด้วยหรือเปล่า”
“ฉันยินดีมอบอายุขัยของฉันมากเท่าที่เธอ้า ขอแค่ช่วยต่ออายุขัยให้เอเดน กริฟฟิน”
ความร้อนเริ่มตีขึ้นมาที่ขอบตาอีกครั้ง หยดน้ำตาแห่งการทำลายล้างกำลังไหลจากขอบตาโจไซอา ความเ็ปในอกบีบรัดแน่นขึ้นจนเขาต้องยืนกำมืออดกลั้นมันเอาไว้ แต่พอร์ทิเซียร์กลับหัวเราะลั่นราวกับกำลังฟังเื่ตลก เธอเหมือนเสียสติ เสียงเล็กแหลมของเธอน่ารำคาญ มันทั้งดังก้องและสะท้อนกลับเหมือนไม่ได้มีแค่เธอที่อาศัยอยู่ในหอคอย
“โอ้… โธ่ โจไซอา” พอร์ทิเซียร์สูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด แล้วพรูลมหายใจช้า ๆ หลังจากหัวเราะเสียงดังอย่างยาวนาน
“จำได้ไหม ตอนที่ฉันขอให้เธอช่วยต่ออายุขัยให้มนุษย์ ฉันก็พูดแบบเดียวกันกับเธอนี่แหละ”
พอร์ทิเซียร์ย้ำเตือนความทรงจำที่ทำให้เทพสององค์ไม่ลงรอยกันจนถึงทุกวันนี้ โจไซอาขมวดคิ้วแน่นเพราะเขาจำเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนได้ดี คำขอของพอร์ทิเซียร์แตกต่างจากเทพองค์อื่น เธอไม่ได้ขอให้เขาช่วยรักษาโรครักระทมให้ตนเอง แต่เธอขอให้เขาช่วยต่ออายุขัยให้มนุษย์คนหนึ่ง
“แล้วจำได้ไหมว่าตอนนั้นเธอตอบฉันว่าอะไร โจไซอา”
โจไซอาตัวสั่นด้วยความโกรธที่พร้อมปะทุออกมา
“เธอพูดว่า ไม่”
“ฉันไม่ได้ร่วมหลับนอนกับทุกคนที่เทพเอ่ยขอ”
“งั้นคำตอบของฉันเหมือนเธอ คือ ไม่”
โจไซอามองไม่เห็นทางออกอย่างอื่นอีกต่อไป น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ไหลเลอะแก้มตอบจนถึงคางในที่สุด มันหยดลงบนพื้นหินและเกิดเปลวไฟเล็ก ๆ ก่อนจะดับหายไป แต่เขายังไม่อยากยอมแพ้ โจไซอาเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า แล้วคุกเข่ากับพื้น จนดวงตาสีดำของพอร์ทิเซียร์ที่กำลังจ้องมองกริฟฟินตัวโตอย่างสนอกสนใจหันมองโจไซอาด้วยความตกตะลึง เกิดรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเธอ จากนั้นเธอก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยเสียงเล็กแหลมอีกครั้ง
“เธอนี่ตลกจริง ๆ โจไซอา”
“ได้โปรดเถอะพอร์ทิเซียร์ ช่วยเอเดนด้วย” เขาพูดเคล้าน้ำตาและเสียงสะอื้น
“นั้นฉันขอใช้เวลาคิดก่อนนะ”
พอร์ทิเซียร์ละสายตาจากร่างผ่ายผอมที่คุกเข่าอ้อนวอน เดินเข้าหากริฟฟินทีละก้าวอย่างเชื่องช้าและใจเย็น เ้ากริฟฟินตัวเต็มวัยที่หวงตัวกับเทพแปลกหน้าก้าวเท้าถอยหลัง กางกรงเล็บและส่งเสียงแหลมผ่านจะงอยปากเพื่อขู่ แต่เมื่อพอร์ทิเซียร์ชูฝ่ามือขึ้นมันก็นิ่งไปอย่างง่าย มือเรียวลูบจะงอยปากแหลมของมัน ลูบแผงคอและหลัง กับปีกงดงามขนาดใหญ่
“อย่าทำอะไรมัน” โจไซอาเอ่ยเมื่อเห็นดวงตาสีดำของพอร์ทิเซียร์ลุกวาวขณะลูบขนเรียงตัวสวยสีดำสนิท
“ไม่เอาหน่า โจไซอา ฉันแค่จะขอขนของมันแค่เส้นเดียว”
นิ้วเรียวยาวไล่ตามขนแต่ละเส้นที่เรียงตัวเป็ปีกขนาดใหญ่ของกริฟฟิน เธอเลือกเส้นที่เป็สีดำสนิท ไม่มีรอยจุดสีขาวหรือสีน้ำตาลเข้มจนพบ แล้วดึงมันออกมา กริฟฟินร้องเสียงแหลมด้วยความเ็ป กางกรงเล็บอีกครั้งแต่โจไซอาส่ายหน้าไม่ให้มันทำอะไรพอร์ทิเซียร์ เ้ากริฟฟินจึงหยุดยืนยิ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าหา โน้มตัวลงใช้จะงอยปากของมันแตะข้างแก้มโจไซอาแ่เบา
“ฉันชอบสัตว์ปีกเป็พิเศษเลยละ” พอร์ทิเซียร์มองสำรวจขนกริฟฟินสีดำเส้นใหญ่ในมือด้วยความชื่นชม รอยยิ้มน่ากลัวประดับอยู่บนใบหน้าของเธอ
“เอเดนเหลือเวลาไม่มากแล้วพอร์ทิเซียร์” ความใจร้อนของโจไซอาตรงกันข้ามกับท่าทางที่แสนใจเย็นของเทพแห่งความตาย
“ฉันรู้โจไซอา ฉันรู้เื่นี้ดีกว่าใคร เอเดน กริฟฟินเหลือเวลาไม่มาก น้อยกว่าที่เธอคิดด้วยซ้ำ”
โจไซอาเบิกตากว้าง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมาไม่รู้จบ เขาล้มเลิกความคิดที่จะเช็ดมันออก เพียงแต่นั่งคุกเข่าอ้อนวอน กำมือกับกางเกงผ้าสีน้ำเงินเข้มที่หน้าขาของตัวเอง
“ได้โปรดพอร์ทิเซียร์ ฉันไม่อยาก— ให้เขาตาย เขาควรจะอยู่ต่อ”
“แต่เหมือนว่าเขาจะไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ”
โจไซอาชะงักด้วยความสงสัย พอร์ทิเซียร์จึงเดินไปที่กระจกสูงบานใหญ่ประดับด้วยกรอบสีทองบานหนึ่ง เธอแตะขนกริฟฟินที่กระจกเงา และภาพสะท้อนก็เปลี่ยนไปเป็ภาพของคนที่โจไซอาคุ้นเคย และคิดถึงสุดหัวใจ
“เอเดน!”
ภาพที่เห็นคือเอเดนกำลังขี่รถจักรยานยนต์ของตนเองกลางสายฝน และบิดคันเร่งพุ่งตรงไปที่สี่แยก ซึ่งกำลังมีรถบรรทุกคันใหญ่มาจากอีกทาง เอเดนไม่คิดจะชะลอความเร็ว เขามุ่งตรงไปอย่างไม่ลังเล โจไซอารีบลุกขึ้นจากพื้น พาร่างกายมาที่หน้ากระจกบานใหญ่ จ้องมองด้วยหัวใจที่เ็ป
“เขารอดมาได้” พอร์ทิเซียร์ค่อย ๆ อธิบาย ขณะที่ภาพในกระจกเงาเป็เอเดนกำลังนั่งหอบหายใจอยู่กลางถนนที่ฝนตก
“เขาพุ่งเข้าใส่ความตายด้วยซ้ำ แต่นั่นแหละที่ทำให้เขารอด ถึงเขาจะพยายามหยุด ถนนก็ลื่นจนทำให้เขาถูกรถชนเต็ม ๆ อยู่ดี”
“เขาตั้งใจเหรอ” โจไซอาแตะนิ้วมือกับกระจก ราวได้ัักับเอเดนจริง ๆ
“เปล่า มือเขาแข็งจนแทบขยับไม่ได้ เลยตัดสินใจบิดคันเร่ง ต่อให้ตายก็ช่างมัน”
ภาพสะท้อนของเอเดนในกระจกหายไป เหลือเพียงภาพของโจไซอาที่ยืนอยู่หน้ากระจกเท่านั้น
“ความจริงแล้วเขาต้องตายั้แ่ตอนนั้น” เขาหันขวับมองพอร์ทิเซียร์ในทันที เธอกำลังยืนอยู่หน้ากระจกอีกบานที่มีภาพสะท้อนของตัวเธอเอง
“แต่เขาไม่ตาย… เธอช่วยเขาเหรอ พอร์ทิเซียร์”
ดวงตาสีดำค่อย ๆ เหลือบมองโจไซอาช้า ๆ แล้วจึงก้าวเท้ามายืนเคียงข้าง จนเห็นภาพของทั้งคู่ในกระจกเงาบานใหญ่ ท่าทางของเธอเปลี่ยนไป ไม่มีรอยยิ้มน่าสยดสยอง ไม่มีเสียงหัวเราะอย่างเสียสติหลงเหลืออีกแล้ว น่าแปลกที่โจไซอาสังเกตเห็นความเศร้าโศกในแววตาของพอร์ทิเซียร์
“ฉันจะรู้ว่ามนุษย์หรือเทพองค์ไหนกำลังหมดอายุขัย เมื่อก่อนจะมีภาพในหัวของฉัน แต่ตอนนี้มีมนุษย์กับเทพเกิดมากมายไปหมด ฉันเลยแบ่งมาใส่ในกระจกเหล่านี้ ภาพของเอเดน กริฟฟินปรากฏในกระจกบานนี้เมื่อวันก่อน”
พอร์ทิเซียร์แตะปลายขนนกที่กระจก ภาพของเอเดนในเหตุการณ์เดิมจึงฉายซ้ำอีกครั้ง หนนี้โจไซอามองเห็นดวงตาสีเฮเซลที่เขาคิดถึงเมื่ออีกฝ่ายถอดหมวกกันน็อกเต็มใบ แววตาของเอเดนเต็มไปด้วยความกลัว และขึ้นสีแดงจาง
“พลังของฉันมีแค่การไปเตือนพวกเขาหนึ่งครั้ง นอกเหนือจากนั้น ฉันก็ยุ่งเกี่ยวกับอายุขัยของใครไม่ได้ และฉันเตือนเอเดน กริฟฟินไปแล้ว เขาถึงไม่ตาย”
เมื่อภาพของเอเดนในกระจกเงาหายไป โจไซอาก็พยายามใช้นิ้วมือของตนเองแตะบานกระจกเช่นที่พอร์ทิเซียร์ทำ แต่กลับไม่มีภาพของเอเดนกลับมาอีกครั้ง เขาร้อนรนจนมือสั่น ดวงตาก็สั่นไหวด้วยหลากหลายความรู้สึกตีกันในหัว
“แล้วถ้ามีอีกครั้งล่ะ เธอช่วยเตือนเขาอีกได้ไหมพอร์ทิเซียร์” โจไซอามองเธอผ่านกระจกเงา ซึ่งเธอส่ายหน้าช้า ๆ ด้วยดวงตาล่องลอย
“แต่ฉันทำอย่างอื่นได้”
ความหวังผุดขึ้นในความรู้สึกของโจไซอาอีกครั้ง เขามองตามพอร์ทิเซียร์ที่ถอยหลังไปยืนอยู่กลางห้อง เธอวาดแขนไปมาเกิดแสงสีขาวไม่สว่างมากนักขึ้น จากนั้นนิ้วเรียวยาวก็เริ่มทักทอแสงสีขาวที่ปรากฏเป็เส้น ๆ จากภาพความทรงจำของเธอเกี่ยวกับเอเดน กริฟฟิน จนในที่สุด ร่างของเอเดน กริฟฟินก็ยืนอยู่ที่ห้องโถงในหอคอยแห่งนี้ เพียงแต่กายโปร่งใส เป็เงาสีจาง ๆ และสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับที่เห็นในกระจกเงาเมื่อครู่
“เอเดน…” โจไซอาเดินหาร่างโปร่งใสเชื่องช้าด้วยความเหลือเชื่อ เอเดนนิ่งงันไม่ขยับหรือตอบรับเสียงเรียก เพียงแค่กะพริบตาจนเส้นขนตาขยับกระพืออย่างงดงามไม่ต่างจากที่โจไซอาเคยเห็น และแผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงตามการหายใจ
“เรียกว่าร่างไร้จิต” พอร์ทิเซียร์มองร่างที่ตนเองเพิ่งสร้างขึ้น “ฉันสามารถสร้างร่างนี้มาจากภาพที่เห็นในกระจก ถึงมีอยู่ก็จริง แต่ไร้จิติญญา และทำตามคำสั่งของเทพเท่านั้น”
โจไซอายืนจ้องมองร่างไร้จิตของเอเดนนิ่ง เขากำมือแน่นด้วยความลังเล และความคิดถึงที่เข้ามาตีผสมกัน ความหวังที่ก่อตัวในใจกำลังบอกโจไซอาว่าบางทีเขาอาจใช้ชีวิตอยู่ด้วยการมีร่างไร้จิตของเอเดนข้างกายก็ยังดี โจไซอากลืนน้ำลายลงคอ และลองออกคำสั่ง
“กอดฉัน”
สิ้นสุดเสียงคำสั่ง ดวงตาโปร่งใสไร้สีของเอเดนก็หันมองโจไซอาทันที ทำให้น้ำตาไหลลงสู่แก้มตอบ รอยยิ้มแห่งความโหยหาปรากฏบนใบหน้าโจไซอาด้วยความหวัง แต่เมื่อสองแขนของร่างไร้จิตโอบกอดรอบกายโจไซอา เขากลับไม่ได้รับความอบอุ่นอย่างที่คาดหวังเอาไว้ ไม่เหลืออีกแล้วความอบอุ่นจากผิวกายมนุษย์ มีแต่ความหนาวเหน็บและเย็นเฉียบที่ทำให้ทรมานโอบรอบร่างกายผ่ายผอมของโจไซอา
ความหวังที่ก่อเกิด จึงพังทลายอีกครั้ง
โจไซอาร้องไห้จนทรุดตัวลงนั่ง และหลุดออกจากอ้อมกอดของร่างไร้จิต ที่อยู่ตรงหน้าคือขาสองข้างโปร่งใส มือเรียวเอื้อมไปััมัน แต่ก็ยังคงเป็ความหนาวเหน็บจนทรมาน
“คำสาปของเธอรุนแรงมาก โจไซอา เอเดน กริฟฟิน เหลือเวลาไม่ถึง 1 วัน”
คำสาปของเทพแห่งการร่วมประเวณีเมื่อถูกปฏิเสธรักจะยิ่งรุนแรงหากเขาทุกข์ทรมาน โจไซอาไม่สามารถควบคุมคำสาปนั้นได้ เขาหันมองพอร์ทิเซียร์หลังได้รู้ข่าวร้ายที่ไม่อยากได้ยิน ร่างไร้จิตสลายหายไปในอากาศ เ้ากริฟฟินพยายามเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งใกล้ ๆ โจไซอา ใช้ร่างกายของมันให้เขานั่งพิง ขณะที่เขาร้องไห้อ้อนวอนพอร์ทิเซียร์ด้วยความหวังอันริบหรี่แต่ไม่คิดอยากยอมแพ้
“ขอร้องพอร์ทิเซีย เอาชีวิตของฉันไป เอาชีวิตฉันไปต่ออายุขัยให้เอเดน ได้โปรด…”
เทพแห่งความตายส่งมือมาดึงแขนให้โจไซอาลุกขึ้นยืน เช็ดน้ำตาออกจากแก้มและใบหน้าให้โจไซอาโดยไม่คำนึงถึงความเ็ปยามแตะต้องน้ำตาเทพยามเศร้าโศก พอร์ทิเซียร์เหยียดยิ้มมุมปากอีกครั้ง ดวงตาสีดำของเธอจ้องมองโจไซอาและส่ายหน้าช้า ๆ ราวเขาเป็เทพไร้เดียงสาผู้โง่เขลา
“ไม่เอาหน่า… มีเทพแค่องค์เดียวที่ต่ออายุขัยให้มนุษย์ได้” เธอเดินอ้อมไปด้านหลังร่างผ่ายผอม วางมือบนต้นแขนทั้งสองข้าง จับปลายคางของโจไซอาให้เชิดขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจก
“เธอรู้ดีที่สุดว่าต้องทำยังไง”
โจไซอามองร่างกายผ่ายผอมและซีดเซียวของตนเองในกระจก แก้มของเขาตอบจนแทบไม่เห็นเนื้อ มีเพียงรูปโครงหน้าที่ชัดเจน ดวงตาลึกอย่างเหนื่อยล้า และเป็สีแดงช้ำ แผลจากกระจกบาดที่ข้างแก้มเริ่มจางทีละนิดจนเหลือเพียงรอยขีดเล็ก ๆ เท่านั้น เขาไม่คิดว่าสภาพของตนเองตอนนี้จะสามารถมอบพรต่ออายุขัยให้เอเดนได้
“ฉัน… น่าเกลียด” พอร์ทิเซียร์หัวเราะ เธอยกมือปิดปากตัวเอง แล้วล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อ หยิบขวดโหลแก้วขนาดเล็กกว่าปลายนิ้วมือออกมา ด้านในบรรจุของเหลวสีใสอยู่ครึ่งขวด
“เธอต้องแปลงกาย” โจไซอารับขวดโหลมาไว้ในมือด้วยความสงสัย
“นี่คือน้ำตาเทพตอนมีความสุข ขวดสุดท้ายที่ฉันมี”
น้ำตาเทพยามเศร้าโศกมีอำนาจทำลายล้างและแผดเผา น้ำตาเทพยามมีความสุขจึงมีอำนาจในการเยียวยารักษา แต่เป็น้ำตาหายาก และมีค่ามาก เหล่าเทพมักเก็บสะสมน้ำตายามมีความสุขของตนเองเอาไว้เพื่อแลกกับสิ่งต่าง ๆ หรือเพื่อช่วยเหลืออาการเจ็บป่วยของมนุษย์
“แต่มันรักษาโรครักระทมไม่ได้” อำนาจเยียวยารักษาของน้ำตาเทพยังอ่อนแรงเกินกว่าจะรักษาโรครักระทม ยังคงมีเพียงพรจากโจไซอาผู้เดียวที่รักษาโรคนี้ให้หายขาด
“อย่างน้อยก็ทำให้เธอไม่เ็ปหรือไอเป็เืได้สักครึ่งวัน”
โจไซอายังคงสับสน มองขวดโหลในมือผอม ๆ ของตนเองด้วยความไม่เข้าใจ
“เร็วเข้าสิ โจไซอา ดื่มให้หมด” เขามีความหวังอยู่ไม่มาก และพร้อมเสี่ยงทุกอย่างจึงเปิดจุกไม้แล้วดื่มน้ำตาเทพไร้รสชาติจนหมดขวด หากนี่เป็ยาพิษเขาก็ยอมตาย
แต่ผลลัพธ์กลับน่าอัศจรรย์ ความเ็ปตามร่างกายหายไป ความเ็ปจากการบีบรัดที่หัวใจเริ่มคลายออกช้า ๆ แม้ไม่ถึงขั้นเป็ปกติแต่กลับเบาบางลง เขารู้สึกแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อมองตนเองในกระจก เขาพบว่าร่างกายผ่ายผอมยังคงเดิม ดูอัปลักษณ์และน่าเกลียดไร้ความงดงาม
“แล้วเธอต้องแปลงกาย เธอคงไม่อยากรบกวนการทำงานของเทพแห่งความทรงจำและรับโทษซ้ำสองใช่ไหม”
พอร์ทิเซียร์จูงมือโจไซอาไปที่หน้ากระจก แล้วถอยหลังออกมา เธอกอดอกคอยมองว่าโจไซอาจะแปลงกายอย่างไรด้วยแววตาตื่นเต้น แต่โจไซอายังคงสับสนที่พอร์ทิเซียร์ช่วยเขา จึงมองเธอผ่านกระจกเงาพร้อมขมวดคิ้วแน่น และได้รับการโบกมือเร่งให้เขารีบแปลงกาย
โจไซอาหลับตา คิดภาพร่างกายของตนเองที่เหมือนกับยามปกติ และบันดาลให้มันกลับมาอยู่บนร่างกายของเขาอีกครั้ง เปลี่ยนเพียงจากเพศชายเป็เพศหญิง เพื่อไม่ให้ถูกเทพอารักษ์กฎลงโทษ และไม่ให้เอเดนถูกจับไปลบความทรงจำอีกครั้ง หนังหุ้มกระดูกของเขาค่อย ๆ กลับมาอวบอิ่มมีน้ำมีนวล ร่างกายหดย่อความสูงลง มีเอวคอด กับสะโพกเล็กน้อย หน้าอกขยายทั้งสองข้าง ผมสีทองหม่นที่ระต้นคอยาวถึงกลางหลัง
โจไซอาลืมตาจ้องมองตัวเองที่กลายเป็หญิงสาวในกระจก ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดยกยิ้มให้ตนเอง หันข้างสำรวจใบหน้าที่มีแก้มกลมสีระเรื่อ และจับผมยาวทัดหูอย่างที่ชอบทำ
“ต้องแบบนี้สิ” พอร์ทิเซียร์ลูบเส้นผมด้านหลังของโจไซอาให้เรียบร้อย แล้วปัดมาอยู่ที่ไหล่บาง
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมเธอถึงช่วย” โจไซอาหันมองพอร์ทิเซียร์แล้วเอ่ยด้วยเสียงหวานไพเราะของหญิงสาว ดวงตาสีดำของเทพแห่งความตายคลายความตื่นเต้น เปลี่ยนเป็ความเรียบนิ่งแฝงความเศร้าโศกอีกครั้ง
“ฉันแค่ไม่อยากให้มันสายเกินไป” เธอไม่สบตาโจไซอา ยังคงจับเส้นผมสีทองหม่นเล่นต่อไป ก่อนจะจับไหล่บางสองข้าง หันไปทางเ้ากริฟฟินที่กำลังยืนรอเ้านายของมัน
“รีบไปพบเขา ก่อนที่จะสายเกินไป”
โจไซอาพยักหน้า และเหวี่ยงตัวขึ้นหลังของกริฟฟิน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองพอร์ทิเซียร์ ยกมือเรียวข้างขวาทาบอก แล้วก้มหัวเป็คำขอบคุณ ก่อนจะรีบจับแผงคอของกริฟฟิน แล้วบินออกไปจากหอคอยสูง
รอยยิ้มบางบนใบหน้าของเทพแห่งความตายเลือนหาย เธอเดินขึ้นบันไดวนไปที่ชั้นบนสุดของหอคอยอีกครั้ง พร้อมกับขนกริฟฟินในมือ เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นหินดังก้อง กระทั่งมาถึงประตูไม้ทรงโค้งที่เปิดแง้มเล็กน้อย พอร์ทิเซียร์ผลักบานประตูให้กว้างขึ้น และเดินเข้าไปในห้องสูงสุดของหอคอยที่ตกแต่งอย่างอบอุ่นน่าอยู่ที่สุดในบ้านของเธอ
บนเก้าอี้บุนวมสีน้ำเงินรูปพระจันทร์และดวงดาวสีทอง มีร่างไร้จิตของหญิงสาวผมยาวถักเป็เปียคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ เธอกำลังถักผ้าพันคอที่ยาวจนวางกองอยู่รอบห้อง และยาวจนสามารถพันรอบหอคอยแห่งนี้ได้ แต่ก็ไม่คิดจะหยุดถักมัน พอร์ทิเซียร์ยืนด้านหลังของเธอ โน้มตัวลงกอดกายเย็นเฉียบและหนาวเหน็บ พร้อมน้ำตาแห่งความเศร้าโศกที่ไหลเลอะแก้ม
tbc.
#เฮเซลอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้