ห้องอิสรภาพ
มันคือห้องโถงขนาดใหญ่ที่ใช้ในการประชุมเื่สำคัญของตระกูลจ้าวเหมือนกันกับห้องเมฆาร่วงโรยของตระกูลเวินเป็สิ่งก่อสร้างที่สำคัญมากของตระกูลจ้าว
และตอนนี้ ตรงบริเวณด้านหน้าของห้องเมฆาร่วงโรยนั้นมีผู้คนจำนวนมากมายืนกันเต็มหมดแล้วผู้นำของตระกูลจ้าวจ้าวเหวินชางได้พาเหล่าที่ปรึกษาผู้าุโของตระกูลจ้าวทั้งเจ็ดคนออกมารอต้อนรับหลินหยางอยู่ก่อนแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้หลินหยางรู้สึกประหลาดใจก็คือ ผู้นำตระกูลจ้าวคนนี้ยังดูอายุน้อยอยู่เลยดูๆแล้วน่าจะมีอายุอย่างมากก็แค่ยี่สิบห้ายี่สิบหกปีเท่านั้น ร่างกายดูอ้วนท้วมสมบูรณ์หัวกลมหน้ากลม ดวงตาเล็กๆ คู่นั้นเต็มไปด้วยประกายอำมหิต
ด้านหลังของเขามีผู้าุโเจ็ดคนกำลังยืนคุมอยู่ด้วยท่าทางองอาจและน่าเกรงขามราวกับดาบยาวที่ถูกถอดออกจากฝักเจ็ดเล่มปักหลักอยู่บนพื้นพร้อมกับเปล่งประกายอันคมกริบออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด
หนึ่งในนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ หน้าดำอย่างกับก้นหม้อดวงตาเปล่งประกายอย่างกับแสงไฟมีรอยแผลเป็จากการถูกมีดกรีดจากบริเวณคิ้วลากยาวมาถึงตรงมุมปากบรรยากาศรอบตัวนั้นดูดุร้ายป่าเถื่อนสุดแสน
ชายผู้นี้คือผู้าุโคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้าุโทั้งเจ็ดคนยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นท้าย - นี่หย่วนเทียน
ในตอนที่หลินหยางพาจ้าวเฉินเดินมาถึงหน้าห้องอิสรภาพนั้นสายตาของคนทั้งหมดก็หันมาจับจ้องที่ตัวเขาทันทีและแน่นอนว่าจะต้องจ้องไปทางเ้านกขนแดงสุดอำมหิตนั่นด้วย
คนในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวรู้กันหมดแล้วว่า อดีตคนใช้สาวที่ชื่อสวี่เหยานั้นได้พาชายหนุ่มพร้อมกับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งเข้ามาก่อกวนในคฤหาสน์แห่งนี้
ถึงจะไม่รู้ว่าพวกมันทำไปเพื่ออะไรก็เถอะแค่ตระกูลจ้าวเองก็มีหน้ามีตา มีชื่อเสียงในเมืองแห่งนี้ดังนั้นพวกเขาจะปล่อยให้เหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้จบลงไปง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน
สวี่เหยานี่แต่เดิมก็มีโทษหนักติดตัวอยู่ก่อนแล้ว
แต่การที่นางพาชายหนุ่มลึกลับนั่นกับไอ้ปีศาจตัวนั้นเข้ามาก่อกวนแบบนี้ โทษของนางยิ่งหนักหนามากขึ้นกว่าเดิม
แววตาของจ้าวเหวินชาง นี่หย่วนเทียน และคนอื่นๆ ในคฤหาสน์จ้าวแห่งนี้ล้วนดูไม่เป็มิตรอย่างชัดเจน
จ้าวเฉินพอได้เห็นกลุ่มคนตรงหน้าเข้าก็น้ำตาไหลพรากทันที
“นายท่าน ช่วยข้าด้วยย!!”
่เวลาที่เดินนำพวกหลินหยางนั้นเขารู้สึกทรมานใจเหลือเกิน
จ้าวเหวินชางย่ำเท้าออกมาด้านหน้า กล้ามเนื้อสั่นไปทั่วทั้งตัวเขายื่นมืออวบอ้วนของตัวเองออกมาชี้ไปทางหลินหยาง
“สหายท่านนี้ท่านบุกรุกเข้ามาในคฤหาสน์จ้าวของเราอีกทั้งยังทำร้ายเหล่านักรบของเราจนาเ็ไปอีกหลายคนด้วยแบบนี้ท่านไม่เห็นหัวของข้า จ้าวเหวินชาง ในสายตาเลยใช่ไหม...”
“เ้าหรือประมุขตระกูลจ้าว?”
หลินหยางถามออกไปด้วยสีหน้าสงสัยเหมือนว่าเขาไม่ได้ฟังสิ่งที่จ้าวเหวินชางพูดเลย
จ้าวเหวินชางอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
เขาเสียพ่อไปั้แ่อายุยังน้อยสมาคมการค้าแห่งนี้ก็ล้วนแต่มีเขาที่เป็คนคอยบริหารดูแลอยู่เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจแล้วเขาเองก็เคยทำเื่แย่ๆ ไว้อยู่มากพอสมควรแต่ในที่สุดเขาก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในเมืองฮุยยื่อแห่งนี้ได้บ้างแล้วซึ่งสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดก็คือการถูกผู้อื่นดูถูกเื่ของอายุ
ไอ้เด็กนี่มันหาเื่เสียแล้ว
แต่จ้าวเฉินก็ยังอยู่ในมือของพวกมันอยู่ เขาเลยต้องอดกลั้นจิตสังหารของเขาเอาไว้
“ใช่แล้ว ข้าเอง สหายท่านนี้ท่านน่าจะพอรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าวันนี้พวกท่านคงยากที่จะหนีออกจากที่แห่งนี้ได้แล้วแต่ถ้าท่านยอมปล่อยตัวจ้าวเฉินแต่โดยดีละก็ไม่แน่ข้าอาจจะลองคิดเื่ไว้ชีวิตของพวกท่านให้ก็ได้”
หลินหยางแอบหัวเราะในใจ
เขามองไปทางจ้าวเฉินที่ต้อนนี้กำลังยืนขาสั่นหงึกๆ ด้วยสายตาเ็าไอ้สุนัขเฒ่าแบบนี้เขาไม่คร้านจะไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยอยู่แล้ว
ไปไกลๆ เลยไป!
หลินหยางพลันถีบส่งจ้าวเฉินจนกระเด็นขึ้นไปบนฟ้าอย่างกับก้อนอุจจาระก้อนหนึ่งจากนั้นก็ร่วงใส่กลุ่มคนของพวกตระกูลจ้าวทันที
“ไอ้เด็กเวรนี่ เ้าอยากตายใช่ไหม!”
พอจ้าวเฉินถูกปล่อยตัวออกมาอีกฝ่ายก็ะเิจิตสังหารออกมาทันทีผู้าุโบางคนเริ่มเร่งพลังฟ้าดินขึ้นมาพร้อมกับะโด่าทอใส่หลินหยาง
ใบหน้ากลมๆ ของจ้าวเหวินชางนั้นดูเ็าดุจน้ำแข็ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจัดการหลินหยางให้ได้ถ้าเื่แค่นี้ยังทำไม่ได้ละก็ ตระกูลจ้าวของเขาก็คงไปไม่รอดแล้ว
หลินหยางมองไปที่เหล่ายอดฝีมือตรงหน้านี้ แล้วจึงกล่าวออกมาว่า“ท่านประมุขจ้าวข้าน้อยหลินอี้ ที่ข้ามาในวันนี้เพราะ้าเจรจาธุรกิจกับท่าน แต่คนของตระกูลท่านไม่พูดพร่ำทำเพลงมาถึงก็ลงมือคิดจะทำร้ายเราทั้งหมดที่ข้าน้อยทำลงไปก็เพื่อป้องกันตัวเองเพียงเท่านั้น...แต่เทียบกับเื่พวกนี้แล้วข้าน้อยว่าท่านประมุขจ้าวลองฟังเนื้อหาที่ข้าน้อยจะมาเสนอดูก่อนดีกว่าหรือไม่?”
หืม?
จ้าวเหวินชางอึ้งไป
ท่าทางของหลินหยางทำให้เขารู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาบางอย่างในตัวอีกฝ่าย
แต่เมื่อเขาเหลือบตาไปเห็นสวี่เหยาที่อยู่ข้างหลังหลินหยางนั้นความรู้สึกสนใจในตัวหลินหยางนั่นก็ถูกความทรงจำอันเลวร้ายที่สวี่เหยาทิ้งเอาไว้ทำให้มลายหายไปจนสิ้น
สวี่เหยาคือจุดด่างพร้อยที่ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลจ้าวต้องหมองหม่นถ้าหากหลินหยางมาด้วยตัวคนเดียวละก็เขาก็อาจจะลองฟังในสิ่งที่หลินหยางอยากจะพูดก็เป็ได้ แต่พอมีสวี่เหยามาด้วยแบบนี้แถมเมื่อครู่นี้หลินหยางยังอาละวาดก่อความวุ่นวายในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวอีกดังนั้นเขาจะต้องปกป้องชื่อเสียงของตระกูลจ้าวเอาไว้ก่อนเป็อันดับแรก
“หึ! จะเจรจาธุรกิจอย่างนั้นหรือ?ได้ เ้าส่งนางสวี่เหยามาให้ข้าก่อนจากนั้นก็คุกเข่าโขกหัวขอโทษต่อหน้าข้าอย่างนั้นข้าอาจจะลองฟังธุรกิจที่เ้าว่าให้ก็ได้”
“โอย...ทำไมต้องทำให้เื่มันยุ่งยากแบบนี้ด้วย”
ที่จริงเขาก็พอจะเดาได้อยู่แล้วละว่าถ้าไม่สยบตระกูลจ้าวลงก่อนละก็ก็คงไม่มีทางดำเนินแผนการขั้นต่อไปได้แน่นอน
และดูท่าทางเขาคงต้องออกแรงเสียหน่อยอีกฝ่ายถึงจะยอมคุยด้วยดีๆ กระมัง...
จ้าวเหวินชางพอเห็นหลินหยางเมินเขา ก็โมโหจนหน้าย่นสะบัดมือสั่งการทันที
จับพวกมันมาซะ!
ผู้าุโทั้งเจ็ดคนขยับตัวออกไปทันทีพวกเขาคิดจะจับเ้าหนุ่มจองหองนั่นให้ได้ก่อน เื่อื่นค่อยว่ากันทีหลัง
พวกเขาเองก็รู้ว่านกกระจอกที่มากับหลินหยางเองก็แข็งแกร่งใช่ย่อยผู้าุโคนที่แข็งแกร่งที่สุดจึงอาสาเป็คนที่พุ่งตรงเข้าไปจัดการมันให้พร้อมกับผู้าุโระดับเซียนเทียนขั้นต้นอีกสองสามคนรวมกันโอบล้อมหั่วเอ๋อร์เอาไว้
ส่วนที่เหลืออีกสี่คนนั้นก็แยกกันพุ่งเข้าหาหลินหยาง
ในสายตาของพวกเขา หลินหยางอายุยังน้อยอยู่ ถึงจะมีความสามารถแค่ไหนก็คงไม่สามารถต้านทานการกลุ้มรุมจากยอดฝีมือระดับเซียนเทียนถึงสี่คนพร้อมกันได้หรอก
หนึ่งในนั้นถึงขั้นแอบเหล่มองไปทางสวี่เหยาในระหว่างการต่อสู้ด้วยซ้ำ
ช่างเป็สาวน้อยที่งดงามประดุจเพชรน้ำเอกจริงๆ...
แต่ว่า เขาก็พบว่าบนใบหน้าของสวี่เหยานั้นไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวอยู่เลยแถมยังดูเหมือนนางกำลังรู้สึกสะใจในความซวยของผู้อื่นอยู่เสียด้วยซ้ำ
อะไรกัน
ผู้าุโท่านนี้เพิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลได้ไม่นานสถานการณ์ก็เกิดการพลิกผันกลับตาลปัตรขึ้นจริงๆ
ตูม!
คนที่พุ่งเข้าหาหลินหยางได้เร็วที่สุดในบรรดาผู้าุโทั้งสี่คนนั้นพลันถูกซัดกลับออกมาด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมสองเท่าในจังหวะที่ผู้าุโอีกคนกำลังแอบมองสวี่เหยาอยู่นั่นเอง
อะไรกัน!
พวกเขาตกตะลึงแตกตื่นจนต้องรีบหยุดเท้าลงทันที
ในขณะเดียวกัน ผู้าุโอีกสามคนที่พุ่งเป้าไปหาหั่วเอ๋อร์นั้นมีอยู่คนหนึ่งถูกซัดจนะโดังลั่นด้วยความเ็ปพร้อมกับร่วงลงสู้พื้นทั่วทั้งตัวถูกเผาจนไหม้เกรียม ไม่ต่างอะไรกับไก่ย่างเลย
นี่หย่วนเทียนลอยกลับลงบนพื้นด้วยสีหน้าหวาดผวาสุดขีดตาสองข้างลุกโตจนแทบถลน มองไปที่ลูกไฟบนฟ้าแบบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
บนสนามรบนั้น
หลินหยางตอนนี้สวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬไว้แล้วพลังหมัดที่ชกออกไปเพียงครั้งเดียวนั้น รุนแรงราวกับจะสามารถแยกูเาออกไปสองส่วนพลังอันน่าเกรงขามกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันชั่งนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับพลังของระดับสูงสุดของเซียนเทียนขั้นท้ายขนาดใช้พลังไปแค่หกส่วนยังทรงอำนาจขนาดนี้สามารถซัดศัตรูที่เร็วที่สุดให้กระเด็นกลับไปชนเข้ากับกำแพงจนติดแหงกอยู่ในนั้น
และบนท้องฟ้าตอนนี้
พญาวิหคสีทองกำลังกระพือปีกอยู่ในเปลวเพลิงสีแดงก่ำนั่นอย่าว่าแต่จะเข้าใกล้เลยแค่ยืนอยู่ข้างล่างยังรู้สึกได้ถึงความร้อนที่มันแผ่ออกมาจนรู้สึกเหมือนกับว่าิักำลังจะถูกเผาจนเกรียม
์!
ไอ้ตัวแบบนี้จะมีใครสามารถปราบมันได้กันเล่า?
หนุ่มน้อยในชุดเกราะดำนั่นคนเดียวก็แข็งแกร่งพอที่จะกระทืบนี่หย่วนเทียนจนต้องร้องขอชีวิตได้แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิหคเพลิงที่กำลังส่งสายตาประสงค์ร้ายออกมาอย่างชัดเจนในขณะที่กำลังบินอยู่บนฟ้าอย่างน่าเกรงขามนั่นเลย
แววตาของมันนั้น ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนกับกำลังมองพวกเขาเป็แค่วัตถุดิบสำหรับทำอาหารเท่านั้น
สัตว์ประหลาดนั่นมันอะไรกัน?
ตระกูลจ้าวไปหาเื่พวกคนที่น่ากลัวขนาดนี้ไว้ั้แ่เมื่อไหร่กัน!!
พอหลินหยางและหั่วเอ๋อร์แผลงฤทธิ์บรรยากาศทั้งสนามก็เปลี่ยนไปทันที
ผู้าุโทั้งเจ็ดท่าน ไม่สิผู้าุโหกท่านตอนนี้รู้สึกคอแห้งปากแห้งไปหมด พวกเขาล้วนมองไปทางนี่หย่วนเทียน
นี่หย่วนเทียนตอนนี้กำลังคิดเื่ๆ หนึ่งอยู่
มารดามันเถอะถ้าเจอแบบนี้แล้วจ้าวเหวินชางยังบีบให้พวกเขาสู้ต่อละก็ คงต้องขอลาออกจากงานนี้เสียแล้ว
ต่อให้ได้เงินเยอะกว่านี้ก็ตามแต่ถ้าไม่มีชีวิตรอดไปใช้เงินมันก็ไม่มีความหมาย
หลินหยางและหั่วเอ๋อร์นั้นปล่อยให้เหล่าผู้าุโระดับเซียนเทียนพวกนั้นยอมแพ้การต่อสู้ไปโดยไม่ตามตื้อต่อ
และก็โชคดีที่ จ้าวเหวินชางเองก็สมเป็คนทำธุรกิจเขาเข้าใจดีว่าเวลาแบบนี้ควรจะทำอย่างไร ดั่งสุภาษิตที่ว่า - รู้รักษาตัวรอดเป็ยอดดี
“ผู้กล้าน้อย โปรดหยุดก่อน!”
จ้าวเหวินชางะโออกมาเสียงดังสนั่นบนใบหน้าเขาไม่เหลือท่าทางเงียบขรึมเหมือนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย
เขาหันไปถลึงตาใส่เหล่านักรบที่อยู่ด้านหลังจากนั้นก็หันมามองหลินหยางด้วยสีหน้าที่ดูออกได้ง่ายๆ เลยว่า้าประจบเอาใจ
“ไม่ทราบว่าท่านผู้กล้าน้อยเป็ใครมาจากไหนแล้วพวกข้าเคยไปทำอะไรให้ท่านไม่พอใจหรือ...”
แต่คำพูดที่หลินหยางตอบกลับไปนั้นทำเอาจ้าวเหวินชางถึงกับอกสั่นขวัญแขวน“เ้าไปเรียกไอ้คนที่ออกไปแจ้งข่าวนั่นกลับมาก่อนข้าว่าเราน่าจะพูดคุยกันเป็เื่เป็ราวได้เสียที...”
อึก...
ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมดรู้สึกเหมือนกับว่าถูกหลินหยางควบคุมทุกอย่างเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ชายหนุ่มที่ดูอย่างไรก็มีอายุแค่สิบกว่าขวบผู้นี้ทำไมถึงได้มีแรงกดดันที่ดูองอาจน่าเกรงขามราวกับทวยเทพบน์ขนาดนี้
จ้าวเหวินชางเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหัวรีบเรียกนักรบที่เขาส่งออกไปเมื่อครู่กลับมา จากนั้นหันไปยิ้มให้หลินหยาง
“ปล่อยไก่ให้ท่านผู้กล้าน้อยเห็นเสียแล้ว... มาๆเชิญเข้าไปข้างในเถิด”
ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว
ความสามารถที่หลินหยางแสดงออกมาให้เห็นนั้นสามารถข่มขวัญตระกูลจ้าวได้อย่างสิ้นเชิงจ้าวเหวินชางทำได้แค่รับฟังคำสั่งอย่างว่าง่ายเท่านั้น
หลินหยางเองก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มขึ้นอีกเช่นกันเขาเก็บชุดเกราะสีดำเข้าไปสองมือไขว้หลังเดินพาสวี่เหยาเข้าไปในห้องอิสรภาพของตระกูลจ้าว
ส่วนหั่วเอ๋อร์ถูกสั่งให้รออยู่ด้านนอก
แค่มีอสูรน้อยตัวนี้เฝ้าอยู่ ก็ไม่มีใครกล้าคิดไม่ซื่อแล้ว
หลังจากที่ประตูขนาดใหญ่ของห้องอิสรภาพถูกปิดลงอย่างแ่าส่วนคนอื่นที่อยู่ด้านนอกรวมไปถึงนี่หย่วนเทียนเองก็พยายามเงี่ยหูฟังว่าข้างในนั้นกำลังพูดเื่อะไรกันอยู่
ไม่มีใครกล้าคิดอะไรร้ายๆ กับสวี่เหยาอีก
พวกเขาตอนนี้อยากจะรู้แค่ว่า ชายหนุ่มสุดแกร่งที่สวี่เหยาพากลับมานี้มีธุรกิจอะไรจะมาเจรจากับจ้าวเหวินชาง
แล้วก็ทำไมถึงเลือกตระกูลจ้าว ทำไมถึงต้องเป็จ้าวเหวินชางด้วย?
คำถามเหล่านี้ล้วนคาใจเหล่าคนที่อยู่ด้านนอกจนรู้สึกราวกับว่าเวลาไหลไปช้าลงอย่างมาก
หลังจากที่เวลาผ่านไปนานประมาณมื้ออาหารหนึ่งมื้อ
ประตูห้องก็เปิดออกมาอีกครั้งคนทั้งหมดต่างก็ยื่นคอเข้าไปด้านในนั้น พวกของนี่หย่วนเทียนเองก็เตรียมตัวไว้พร้อมแล้วถ้าหากเจรจาล้มเหลวละก็ พวกเขาก็พร้อมที่จะถอนตัวหนีออกไปทันที
แต่คาดไม่ถึงเลยว่า พอประตูเปิดออกพวกเขากลับได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังกังวานเป็พิเศษของจ้าวเหวินชาง
“ฮ่าฮ่า พี่หลินระวังขาด้วยเล่า นั่นแหละ ค่อยๆ นะ...”
นั่นมันอะไร?
ทำไมประมุขของตัวเองอยู่ดีๆ ถึงได้เปลี่ยนท่าทีได้ขนาดนั้นทำไมถึงไปเรียกเขาว่าพี่ได้เล่า?
อีกฝ่ายดูอย่างไรก็เด็กกว่าหลายปีเลยนะ!!
