“ไม่ว่าจะเป็สินเ้าสาวของนางหรือไม่ แต่นางแต่งเข้าบ้านข้า อยู่ก็เป็คนตระกูลหลิว ตายไปก็ยังเป็ิญญาของตระกูลหลิว”
หลิวฉีซื่อพูดได้ชอบธรรมและเคร่งขรึมนัก ราวกับว่าตนเองปฏิบัติกับจางกุ้ยฮัวดีอย่างดีมาโดยตลอดอย่างไรอย่างนั้น
หลิวเต้าเซียงอยากส่งสายตาพิฆาตใส่นางหมื่นที
“เฮอะ บ้านเ้าสามดีขึ้น นี่คือเื่จริงที่ไม่อาจลบเลือนได้” หลิวฉีซื่อคงกลัวว่าหลิวซานกุ้ยจะฟังแล้วไม่สบายใจ จึงเอ่ยเสริม
หลิวซานกุ้ยคิดดูแล้ว ครอบครัวของตนนั้นดีขึ้นไม่น้อยจริงๆ เสื้อผ้าก็เป็ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดหรือไม่ก็ผ้าไหมหูโจว การกินแม้จะไม่ใช่อาหารเลิศรส แต่ก็มีข้าวขาวและเนื้อหมูทุกมื้อไม่ขาด แม้ว่าเขาจะจับปลาในข้องเอง แต่ก็มีปลาสดใหม่ให้กินวันเว้นวัน
หลิวซานกุ้ยพยักหน้าเป็การยืนยันว่าชีวิตครอบครัวของเขาดีขึ้นมาก
“ซานกุ้ย ตอนที่แยกบ้าน แม่ลำเอียงเล็กน้อย เพราะแม่เชื่อว่าเ้าจะมีชีวิตครอบครัวที่ดีได้ไม่ใช่หรือ อีกอย่างถึงอย่างไรก็มีทั้งที่นาและบ้าน ไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใด เทียบกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้านถือว่าดีมากแล้ว”
หลิวซานกุ้ยคิดอีกครั้ง ตอนนั้นที่แยกครอบครัว หากเทียบกับคนที่เหนือกว่าย่อมไม่เพียงพอ แต่หากเทียบกับคนที่ด้อยกว่าย่อมมีล้นเหลือ เขาพอเพียงแล้ว!
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอีกครั้ง
หลิวฉีซื่อเห็นว่าเขายังคงเชื่อฟังเหมือนเดิม ใบหน้าที่เคยเขียวปั๊ดจึงค่อยๆ ดูดีขึ้นมา
จากนั้นได้ยินนางกล่าวอีกว่า “ตอนนี้ครอบครัวเ้าดีแล้ว แต่ว่าน้องสี่เ้ายังไม่ได้แต่งงาน น้องสาวเ้าก็ยังไม่ได้หมั้นหมาย หากเ้ามีชีวิตดีแล้ว อย่าได้ลืมความลำบากของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเ้า ข้าว่าตอนท้ายปี เงินตอบแทนสองตำลึงเปลี่ยนเป็ห้าสิบตำลึงเถิด ก็แค่หมูกับไก่ไม่กี่ตัว”
“ท่านแม่ ว่าอะไรนะ?” ครั้งนี้หลิวซานกุ้ยไม่พยักหน้า แต่เป็การเอ่ยถามเสียงดังและขมวดคิ้ว
หลิวฉีซื่อใกับเสียงของเขา รอจนสติค่อยๆ กลับมาแล้วค่อยเอ่ยย้ำ
“ข้าบอกว่า ต่อไปเงินตอบแทนคุณทุกปีของเ้าต้องให้ห้าสิบตำลึง ชีวิตของเ้าดีกว่าพี่ชายสองคน แม่ไม่ได้ให้เ้าดูแลรับผิดชอบพวกเขาทั้งสองครอบครัว เพียงแต่เ้าควรตอบแทนคุณพ่อกับแม่ ชีวิตเ้าดีแล้ว ก็ไม่ควรให้พ่อกับแม่อยู่อย่างยากลำบากหรอกนะ”
หลิวฉีซื่อพูดเหมือนเป็เื่ที่สมควร
หลิวซานกุ้ยเป็บุตรชายของนาง เมื่อมีเงินก็สมควรนำมาตอบแทนบิดามารดาให้มากหน่อย
“ท่านแม่ เอาเช่นนี้ นอกจากเงินสองตำลึงที่ระบุในหนังสือแยกครอบครัว ทุกๆ ปีข้าจะมอบชุดสี่ฤดู ฤดูละสองชุด รวมแปดชุด ส่วนเนื้อผ้า ระยะสั้นนี้คงยังต้องเป็ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด ต่อไปหากชีวิตข้าดีย่อมต้องมอบเสื้อผ้าที่ดีกว่าให้ท่านพ่อท่านแม่แน่นอน”
เขาไม่้าทุบตีสุนัขด้วยซาลาเปาเนื้อ!
หลิวซานกุ้ยไม่สามารถเอาเงินห้าสิบตำลึงไปลงหลุมกับดักนี้ หากเอาเงินจำนวนนั้นออกมาจริง เกรงว่าคงไปอยู่ในมือพี่ชายทั้งสองอีก เขายอมให้เงินแปรสภาพเป็เสื้อผ้าดีๆ ที่บิดามารดาสวมใส่ดีกว่า ไม่มีทางให้เงินสดแน่นอน
เมื่อเห็นว่าครอบครัวของเขาเริ่มตั้งตัวได้ในปีนี้ ก็คิดอยากได้ห้าสิบตำลึง หากปีหน้ามั่งคั่งกว่านี้ คงกลายเป็ร้อยตำลึง พันตำลึงอย่างนั้นหรือ?
ตอนนั้นที่แยกครอบครัวก็ไม่ได้แบ่งเงินให้เขามากขึ้นแม้ตำลึงเดียว บ้านกับที่นาสองไร่นั้น หลิวฉีซื่อคงแบ่งให้เพราะกลัวว่าตนเองจะทำเกินเหตุจนถูกคนในหมู่บ้านตำหนิการกระทำ
ในท้ายที่สุด นางก็รักใคร่เอ็นดูบุตรชายคนเล็กมากที่สุดและห่วงเื่งานแต่งของเขา!
หลิวซานกุ้ยรู้สึกขมขื่น!
“ข้าจะเอาเสื้อผ้าไปทำอะไร ไม่ใช่ ความหมายของแม่คือ พี่ใหญ่กับพี่รองเ้าก็ตอบแทนผ้าชั้นดีอยู่แล้ว เ้าไม่ต้องทำเสื้อให้พวกข้าสองคนหรอก”
หลิวฉีซื่อขาดแค่ประโยคที่ว่า เอาเงินมาโดยตรงดีกว่า
หลิวซานกุ้ยไม่ใช่ซาลาเปาเนื้อในอดีต จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ท่านแม่ ตอนที่แยกครอบครัว ข้าได้เพียงสองตำลึงกับที่นาสองไร่ แต่พี่ชายทั้งสองได้ที่นาคนละหกไร่ หนังสือแยกครอบครัวก็ระบุชัดว่าเอาไปเท่าไรก็ให้ตอบแทนเท่านั้น ข้าอยากใคร่ขอถามว่า หากข้าตอบแทนห้าสิบตำลึง เช่นนั้นพี่ชายทั้งสองก็ต้องให้ท่านหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงใช่หรือไม่ หากเป็เช่นนั้น หรือไม่ เราก็เชิญหลี่เจิ้งกับผู้าุโมาอีกรอบ เพื่อให้พวกเขาเป็พยาน”
หลิวฉีซื่อเกือบโมโหจนหงายหลัง แล้วเอ่ยด้วยความโมโห “อะไรกัน ไม่เชื่อฟังคำพูดของแม่แล้วหรือ?”
นางไม่กล้าเชิญหลี่เจิ้ง หากว่านางเด็กหลิวชิวเซียงยังไม่หมั้นหมายกับหวงเสียวหู่ก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ทั้งสองหมั้นหมายกันแล้ว หากนางส่งคนไปเรียกหลี่เจิ้งจริง เกรงว่าจะเป็การหาผู้ช่วยให้หลิวซานกุ้ยแทน
หลิวซานกุ้ยน้อยเนื้อต่ำใจมากกับมารดา เหตุใดทั้งที่เป็บุตรชายเหมือนกัน แต่เขากลับไม่เหมือนลูกแท้ๆ ของนาง “คำพูดของท่านแม่ ลูกเชื่อฟังอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องสมเหตุสมผลด้วย อีกอย่างท่านแม่บอกว่าชีวิตข้าดี แต่กลับไม่ถามว่าเหตุใด่นี้ชีวิตจึงดี ข้าจะบอกท่านแม่ตามตรง นั่นล้วนอาศัยสินเ้าสาวของเมียข้า กำไรที่ได้ก็นับอยู่ในสินเ้าสาวของนาง หากท่านแม่้าก็ย่อมได้ หากท่านคิดว่าการนำสินเ้าสาวของลูกสะใภ้ไป แล้วจะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ ไม่กลัวว่าในอนาคตเมื่อน้องสี่ได้เป็บัณฑิตแล้วเื่ราวเหล่านี้จะกลายเป็จุดอ่อนให้คนอื่นใช้ประโยชน์ได้ ลูกย่อมไม่อาจพูดอะไร”
หลิวซานกุ้ยไม่ได้คัดค้านโดยตรง แต่ทุกคำพูดล้วนเป็การปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เพราะเขารู้ว่ามารดาย่อมไม่มีทางเอาเื่อนาคตของบุตรชายคนที่สี่มาล้อเล่น
“เ้า...” หลิวฉีซื่อชี้หน้าเขา เหตุใดตอนนี้เมื่ออยากได้เงินจากเขาจึงได้ยากเพียงนี้?
“ท่านแม่ ข้าจำได้ว่าพวกข้าพี่น้องแยกครอบครัวกัน พี่ใหญ่กับพี่รองแยกกันอยู่ ท่านแม่กับท่านพ่อต้องไปอยู่กับน้องสี่ ลูกชายมีชีวิตดี หากไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ เกรงว่าคงจมน้ำตายบนกองน้ำลายของคนในหมู่บ้าน ดังนั้นลูกคิดดีแล้ว เมื่อใดที่บ้านมีอาหารอร่อย แม้ลูกจะไม่ได้กินก็จะยกมาให้ท่านพ่อท่านแม่”
ส่วนเื่เงินยามแก่เฒ่า เขาจะทำตามที่ระบุในหนังสือแยกครอบครัวเท่านั้น หนึ่งปีมอบให้ท่านทั้งสองสองตำลึง แล้วก็ส่งอาหารดีๆ มาบ่อยๆ ชุดเสื้อผ้าดีๆ ไม่กี่ชุด เงินสองตำลึงเพียงพอสำหรับทั้งสองแล้ว แน่นอนว่าหากจะใช้ชีวิตดั่งคนร่ำรวยคงไม่มีทาง
ในท้ายที่สุดหลิวซานกุ้ยไม่้าเป็ลูกที่ไม่ซื่อสัตย์
แต่เขาก็ไม่้าปล่อยให้พี่น้องอีกสามคนฉวยโอกาสกับเขา
“ฮือๆ ์ เหตุใดไม่ลืมตาดูสักหน่อย เหตุใดข้าจึงมีแต่ลูกที่เนรคุณแบบนี้” หลิวฉีซื่อทำอะไรหลิวซานกุ้ยไม่ได้ จึงใช้ลูกไม้โอดครวญ
ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยยิ่งดูแย่หนัก เขาจัดการเช่นนี้แต่ยังได้รับการตราหน้าว่าเนรคุณ ต้องยกสมบัติของทั้งครอบครัวให้แก่มารดาผู้ละโมบคนนี้หรือจึงจะเรียกว่าคนกตัญญู?
ขณะที่หลิวซานกุ้ยกำลังตกที่นั่งลำบาก เสียงตะคอกด้วยความโมโหก็ดังขึ้นจากในห้อง “นางเฒ่าอย่างเ้าจะร้องห่มร้องไห้หาวิมานอะไร!”
ทุกคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน หลิวต้าฟู่ห่มเสื้ออ๋าวตัวยาว กำลังจ้องมองอย่างถมึงทึง!
หลิวฉีซื่อโมโหจนแทบจะคลั่ง แต่เมื่อได้ยินหลิวต้าฟู่ด่า นางจึงกัดฟันกลืนคำพูด “ตาเฒ่าตัวดี หากไม่ใช่เื่ที่เ้าเคยทำไว้ตอนนั้น ข้าจะลำบากเช่นนี้หรือ? ตอนนั้นเ้ายังมีหน้าทำ เหตุใดตอนนี้ไม่มีหน้ารับ?”
หลิวต้าฟู่โกรธมากจนมือสั่น ชี้ไปที่หลิวฉีซื่อและต่อว่า “เ้า้าทำให้บ้านแตก เ้าถึงจะพอใจหรือ?”
คำพูดของเขาหนักหนาไปสักหน่อย ลูกๆ ก็โตกันหมด จนหลานๆ ก็จะหมั้นหมายแล้ว หลิวฉีซื่อไม่ได้อยากหย่ากับเขาอย่างแท้จริง
แม้จะมีพี่ชายที่รัก แต่นางก็ออกเรือนแล้ว หากว่าหย่ากันแล้วกลับบ้านฝั่งมารดา นางคงไม่มีจุดยืนเป็แน่
หลิวเต้าเซียงกะพริบตาปริบๆ เื่นี้นับวันก็ยิ่งตะหงิดๆ
หลิวฉีซื่อดุอีกครั้งทันที “ตาเฒ่าตัวดี เ้าคนลืมบุญคุณ ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะอาศัยข้า เ้าจะมีชีวิตดีเยี่ยงนี้หรือ เื่งานศพของพ่อแม่เ้าจะจัดได้อย่างโอ่อ่ามีสง่าอย่างนั้นหรือ!”
ทันใดนั้นความเย่อหยิ่งของหลิวต้าฟู่ก็เหี่ยวเฉาลงทันที
ขนบธรรมเนียมของราชวงศ์โจว ภรรยาที่เคยไว้ทุกข์ในบ้านของฝ่ายชาย ล้วนไม่อยู่ในกฎบัญญัติเจ็ดข้อที่สามารถปลดภรรยาได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลิวฉีซื่อก็ยอมควักเงินออกมาไม่น้อย เพื่อจัดงานศพอย่างสมฐานะให้แก่บิดามารดาของเขา ลำพังข้อนี้จึงทำให้หลายปีมานี้หลิวต้าฟู่ยอมให้นางมาโดยตลอด
หลิวต้าฟู่เป็ทั้งคนที่กตัญญู แต่ก็อกตัญญู!
แต่เขายังโกรธมาก เพราะสาเหตุการตายของบิดามารดานั้นเกี่ยวข้องกับปากพล่อยๆ ของหลิวฉีซื่อ หากจะพูดให้น่าเกลียดหน่อยก็คือ บิดามารดาของเขาเสียชีวิตเพราะหลิวฉีซื่อทำให้โมโห
“เ้าใช้ชีวิตให้ดีไม่ได้หรือ เหตุใดต้องตอแยเ้าสามไม่เลิก”
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ปู่คนนี้ที่มีพลังต่อสู้อ่อนด้อยมาก พลันส่ายหน้าอย่างระอา
“ท่านปู่ อย่าโกรธไปเลย บ้านลุงรองก็ยังอาศัยที่บ้าน ท่านย่า ตอนนี้ลุงรองไม่มีงาน อาสี่ก็ยังเรียนอยู่ ลุงรองอยากดูแลปรนนิบัติพวกท่าน การที่ท่านเอ่ยเช่นนี้ เท่ากับเป็การบีบคั้นให้ครอบครัวลุงรองต้องออกไปนะ ลุงรองกับพ่อข้าเป็พี่น้องกัน ท่านย่า ท่านอย่าได้บอกว่าลุงรองกตัญญูโดยไม่ต้องควักเงินก็ได้ ถ้าท่านย่าพูดแบบนั้น ข้าคำนวณดูแล้ว พ่อข้าดูแลท่านปู่ท่านย่ามาั้แ่สิบขวบ เงินที่หาได้ก็ให้ท่านปู่ท่านย่าหมด เช่นนี้คงพูดกันไม่รู้เื่!”
หลิวเต้าเซียงนับนิ้วของตนเอง คำนวณไปมาก็คำนวณไม่ถูก จึงเงยหน้าถามหลิวซานกุ้ย “ท่านพ่อ หากคำนวณแบบนี้ ตอนนั้นเหตุใดท่านย่าต้องเอาเงินที่ท่านรับงานข้างนอกไปด้วย? ไหนบอกว่ากตัญญูแล้วไม่ต้องออกเงินไม่ใช่หรือ?”
นางมองอย่างสับสนไปที่พ่อแสนดีด้วยดวงตากลมโต
หลิวซานกุ้ยหัวใจเย็นะเือีกครั้ง ใช่สินะ หลายๆ เื่เขาเองก็เกือบลืมไปแล้ว ตนเองกตัญญูอยู่ที่บ้านมาสิบกว่าปี จนสุดท้ายบุตรสาวก็ถูกท่านย่ากระแทกกับเสาบ้าน เขากลับล้วงเงินออกมาไม่ได้แม้แต่แดงเดียว พอกลับมาดูพี่ทั้งสอง คนไหนบ้างที่ไม่ได้ร่ำรวยมั่งมี
จิตใจของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงง่ายเสมอ
ตัวของหลิวซานกุ้ยก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ก่อนไม่มีคนมาชี้นำให้เขาคิดนอกกรอบ
แต่เมื่อมีหลิวเต้าเซียงจอมวายร้าย ความคิดของเขาย่อมเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ
หลิวเต้าเซียงไม่คิดว่าตนเองผิดที่ทำเช่นนี้ ความกตัญญูกตเวทีสมควรมี แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ผู้อื่นมารังแกข่มเหงกันมากเกินไป ใคร่ขอถาม ชายหญิงเด็กคนแก่บนโลกนี้ ใครเล่าไม่มีความเห็นแก่ตัว?
หลิวฉีซื่อกับบุตรชายใหญ่และบุตรชายรองล้วนมีจุดประสงค์อยากเหยียบย่ำรังแกพ่อแม่แสนดีของนาง แล้วนางจะทนกล้ำกลืนกับความอดสูนี้ได้อย่างไรกัน
ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือเงินที่ครอบครัวของนางลำบากตรากตรำหามา เื่อะไรถึงต้องเอามาเลี้ยงสองครอบครัวนี้
แม้ว่าหลิวฉีซื่อจะบอกว่าไม่้าให้หลิวซานกุ้ยเลี้ยงดูสองครอบครัวนี้ แต่แค่เอ่ยปากก็ขอห้าสิบตำลึง เหตุใดจึงไม่แย่งไปเลยเล่า!
หลิวซานกุ้ยได้รับการเตือนจากหลิวเต้าเซียง ในใจก็ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้ง กัดฟันแล้วเอ่ย “ท่านแม่ ลูกขอพูดอีกรอบ ท่านกับท่านพ่อ ข้าจะตอบแทนคุณปีละสองตำลึง เสื้อผ้าสี่ฤดู ฤดูละสองชุด หากลูกมีอาหารดีๆ ก็จะแบ่งมาให้ท่านพ่อท่านแม่ นอกเหนือจากนั้น อย่าได้เอ่ยอีก”
เขาหันไปมองหลิวต้าฟู่อีกรอบ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม “ท่านพ่อ ในเมื่อแยกครอบครัวแล้วย่อมดูแลกันต่างหาก ลูกเองก็ยังมีเมียและลูกที่ต้องเลี้ยง ตอนนั้นในหนังสือแยกครอบครัวระบุชัดเจนว่าเอาสมบัติของบ้านไปเท่าไร ก็ต้องตอบแทนเท่านั้น ตอนนั้นข้าได้รับแบ่งแค่ที่นาดีสองไร่ ท่านแม่บอกว่าต้องมีเงินยามแก่เฒ่าให้ปีละสองตำลึง ข้าไม่ได้คัดค้านอะไร ส่วนเื่บ้าน หากข้าจำไม่ผิด ก่อนที่ปู่จะตายเคยบอกไว้ว่า อีกหน่อยให้ยกเป็ของข้า”
-----
