คนขับรถนำโซ่งเวินหยูกับฉินหลางมาส่งที่ร้านวังน้ำชา
นี่เป็เื่ธรรมดา เพราะโซ่งเวินหยูเป็ถึง ผอ.เขต ที่ที่เธอจะนั่งดื่มน้ำชาต้องมีระดับอยู่แล้ว ถ้าเื่แค่นี้ยังไม่รู้ ก็คงเป็คนขับรถของเธอไม่ได้หรอก
ผ่านไปสักพัก ในห้องส่วนตัวแบบพิเศษของวังน้ำชาก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของชา
แม้แต่ของในร้านวังน้ำชาจะแพงมาก แต่น้ำชาของที่นี่ก็มีกลิ่นหอมและรสชาติดีมากเช่นเดียวกัน ทำให้พวกเศรษฐีและข้าราชการชั้นสูงชอบมานั่งจิบชาที่นี่
หลังจากที่ชงชาเสร็จ พนักงานบริการก็เดินออกจากห้องอย่างรู้หน้าที่
สายตาของโซ่งเวินหยูยังคงจับจ้องแม่น้ำข้างนอกหน้าต่าง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สักพักเธอถึงพูดขึ้นว่า “ฉินหลาง เธอรู้ไหมว่าชื่อของรั่วปินมาจากอะไร?”
ฉินหลางส่ายหน้า เขาคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็คำถามแรกของโซ่งเวินหยู
แม้ตอนนี้ฉินหลางจะทำเป็นิ่งมาก แต่ในใจเขากลับเต้นไม่เป็จังหวะแล้ว—กระวนกระวายใจ เพราะฉินหลางรู้ดีว่า สำหรับผู้ชาย อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของความรักก็คือแม่ยายในอนาคตของตัวเอง
คำพูดของคนโบราณนั้นมีเหตุผลเสมอ นอกจากคำนี้ ‘แม่ยายมองลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชื่นชอบ’
ในปัจจุบันสำหรับคนจีนแล้ว แม่ยายได้กลายเป็ปัญหาใหญ่ เพราะมีพวกเธออยู่จึงทำให้ราคาบ้านเรือนแสนแพง และยังทำให้มีชายหญิงจำนวนมากต้องอยู่บนคาน คู่รักที่น่าสงสารหลายๆ คู่ล้วนถูกแม่ยายจับแยกออกจากกัน
ในขณะที่ฉินหลาง ก็กำลังเผชิญหน้ากับปัญหานี้อยู่เช่นเดียวกัน
เพราะว่าที่แม่ยายอย่างโซ่งเวินหยู นอกจากจะไม่ชอบหน้าเขาแล้ว ยังเกลียดขี้หน้าเขามากด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาช่วยชีวิตรั่วปินไว้ครั้งก่อน โซ่งเวินหยูคงไม่แม้แต่จะมองหน้าของเขาด้วยซ้ำ
“รั่วปิน มาจากคำว่า รั่วเจียงจือปิน เดิมทีโรงพยายาลที่รั่วปินเกิด ก็สามารถมองเห็นแม่น้ำรั่วเจียงสายนี้ ตอนที่ฉันคลอดเธอ ฉันก็บอกกับตัวเองว่าจะต้องให้เธอได้รับการเลี้ยงดูที่ดีที่สุด การอบรมที่ดีที่สุด ชีวิตความเป็อยู่ที่ดีที่สุด และอนาคตที่ดีที่สุด!”
พูดถึงตรงนี้ โซ่งเวินหยูก็เลิกมองนอกหน้าต่าง แล้วหันมามองหน้าฉินหลางแทน “เดิมที ฉันมองเห็นอนาคตที่สวยงามของรั่วปินแล้ว แต่เพราะการปรากฏตัวของเธอ ทำให้อนาคตของรั่วปินเปลี่ยนไป และไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีด้วย เธอน่าจะรู้ว่า สำหรับรั่วปินแล้ว การไปเรียนต่อที่มหาลัยฮาร์วาร์ดนั้นสำคัญมากแค่ไหน!”
“ขอโทษครับคุณน้า ผมก็ไม่ได้้าให้เป็แบบนี้เหมือนกัน”
“ฉันรู้ เื่นี้โทษเธอไม่ได้” โซ่งเวินหยูถอนหายใจ “เดิมที ฉันไม่ชอบเธอเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนที่เห็นเธอเอาชีวิตของตัวเองเป็เดิมพัน ถ่ายเืเพื่อช่วยชีวิตรั่วปินที่โรงพยาบาล น้าก็ซาบซึ้งใจเหมือนกัน และน้าก็เชื่อว่าเธอจริงใจกับรั่วปินจริงๆ เพียงแต่ พวกเธอยังเด็กอยู่ น้าไม่อยากเห็นพวกเธอเลือกผิด และอีกอย่างพวกเธอก็ยังไม่รู้ว่าความรักที่แท้จริงคืออะไร”
“ไม่ทราบว่าสำหรับคุณน้า ความรักที่แท้จริงคืออะไรครับ?”
“คือการปล่อย” โซ่งเวินหยูตอบอย่างเฉยเมย พลางหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาเป่า แล้วจิบเบาๆ “ความรักที่แท้จริง นานแค่ไหนก็ยังคงอยู่ และต้องผ่านการทดสอบของเวลา ก้าวผ่านมรสุมที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ ถ้าเธอชอบรั่วปินจริงๆ อย่าเป็ภาระที่คอยถ่วงเธอ ควรส่งเสริมให้เธอไปตามหาความฝันของตัวเอง และไปตามหาอนาคตที่สวยงาม”
“คำพูดของคุณน้าล้ำลึกเกินไป ผมเข้าใจง่ายๆ ว่าในสายตาของคุณน้า ผมยังไม่คู่ควรกับรั่วปินใช่ไหมครับ?” ฉินหลางถามตรงๆ
“น้ารู้ว่าคำพูดพวกนี้ทำร้ายจิตใจเธอ แต่น้าคิดอย่างนี้จริงๆ” โซ่งเวินหยูกล่าว “เ้าฉิน น้ายอมรับนะว่าวิธีของน้าอาจจะรุนแรงไปบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่มีอะไรดีเลย อย่างน้อยวิชาการแพทย์ของเธอก็ไม่เลว ดังนั้นน้าไม่ได้จะกีดกันเธอกับรั่วปิน แต่น้าหวังว่าเธอจะคิดเผื่ออนาคตของตัวเองกับรั่วปินด้วย เธอตั้งใจเรียน สอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ กลายเป็นายแพทย์ที่เก่งที่สุดก็ได้ ส่วนรั่วปิน เธอจะสอบเข้ามหาลัยฮัวชิงก่อน แล้วปีหน้าค่อยยื่นเื่ไปมหาลัยฮาร์วาร์ดใหม่ แบบนี้ พวกเธอทั้งสองคนก็จะมีอนาคตที่ดีทั้งคู่”
“คุณน้าหมายความว่า ให้ผมไม่ต้องยุ่งกับรั่วปิน ถูกไหมครับ?”
“ฉันหวังว่าพวกเธอจะเป็เพื่อน หรือเพื่อนร่วมห้องที่คอยช่วยเหลือกัน แต่ไม่้าให้เกินเลยไปกว่านี้ น้าอาบน้ำร้อนมาก่อน น้าก็เลยหวังว่าพวกเธอจะไม่หลงเดินทางผิด ทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่น” โซ่งเวินหยูพูดอย่างนิ่งเรียบ “ตอนแรกฉันไม่อยากให้รั่วปินกลับไปเรียนที่ชีจง แต่เธอจะไปให้ได้ ฉันก็จนปัญญา แต่ถ้าน้ารู้ว่าเธอทำอะไรที่เกินเลยล่ะก็ น้าจะต้องจับรั่วปินย้ายโรงเรียนอีกแน่”
“น้าโซ่งครับ ผมรู้ครับ แล้วผมก็เข้าใจแล้ว—ความจริงคือคุณน้าดูถูกผม นอกจากนี้ก็ไม่้าให้ผมเป็ตัวถ่วงอนาคตของรั่วปิน ถูกไหมครับ?” น้ำเสียงของฉินหลางนิ่งเรียบมาก
“ถ้าเธอจะคิดแบบนั้น ฉันก็ช่วยไม่ได้” โซ่งเวินหยูกล่าว “สิ่งที่ควรพูดฉันก็พูดแล้ว นอกจากนี้ เพื่อขอบคุณที่เธอช่วยรักษารั่วปิน ฉันเขียนเช็คสองแสนหยวนเอาไว้แล้ว ถือว่าน้าให้เธอเป็ค่าตอบแทน หวังว่าต่อไปเธอจะตั้งใจเรียน แล้วสอบเข้ามหาลัยดีๆ”
โซ่งเวินหยูหยิบเช็คใบหนึ่งออกที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมาจากกระเป๋า แล้วยื่นให้ฉินหลาง
สำหรับนักเรียนคนหนึ่ง สองแสนหยวนเป็จำนวนมหาศาล ต่อให้เป็ครอบครัวที่มีเงินเดือน ก็ยังเป็จำนวนมหาศาลเลย แต่โซ่งเวินหยูคิดไม่ถึงว่า ฉินหลางกลับไม่รับ
“ทำไม น้อยไปเหรอ?” โซ่งเวินหยูถามขึ้น
ฉินหลางส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า “น้าโซ่งครับ คุณอย่าดูถูกผมด้วยวิธีแบบนี้ได้ไหมครับ? เงินเป็สิ่งที่คนจำนวนมากชื่นชอบ แต่ว่าผมไม่ได้ขาดแคลนเงินจริงๆ ครับ” พูดถึงตรงนี้ ฉินหลางก็เอาบัตรเอทีเอ็มทองคำขาวออกมาจากกระเป๋าตังค์ แล้วพูดต่อว่า “น้าโซ่งครับ นี่เป็เงินที่ผมหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ผมไม่ได้จะโอ้อวดนะครับ ผมแค่หวังว่าคุณจะไม่ใช้เงินมาเหยียบหยามผมอีก”
โซ่งเวินหยูเคยเห็นบัตรเอทีเอ็มทองคำขาว แต่กลับเป็ครั้งแรกที่เธอเห็นเด็กมัธยมใช้บัตรเอทีเอ็มทองคำขาว ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงของฉินหลางแล้ว บัตรเอทีเอ็มทองคำขาวใบนี้เป็ของฉินหลางจริงๆ ซึ่งนั่นก็แสดงว่าฉินหลางไม่ได้โม้ แต่เขามีคุณสมบัติที่จะปฏิเสธเงินสองแสนของโซ่งเวินหยูจริงๆ
โซ่งเวินหยูเป็ผู้หญิงที่ใช้แต่เหตุผล เธอชอบตัดสินความสามารถของคนคนหนึ่งจากสิ่งที่เห็น ดังนั้นเมื่อเห็นบัตรเอทีเอ็มทองคำขาวใบนี้ เธอก็เริ่มมองฉินหลางดีขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงเก็บเช็คกลับเข้าไปในกระเป๋า พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า “น้าให้เกียรติในการตัดสินใจของเธอ เพียงแต่สิ่งที่น้าพูดไปก่อนหน้านี้ ไม่มีทางเปลี่ยน—”
“น้าโซ่งครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน น้าจะต้องเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อผมแน่” ฉินหลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “คุณมีสิทธิ์ห้ามไม่ให้ผมกับรั่วปินอยู่ด้วยกัน แต่ว่าคุณจะรู้สึกว่าผมไม่คู่ควรกับรั่วปินไม่ได้!”
“ดูแล้วเธอเป็คนหนุ่มที่มีอุดมการณ์ ดีมาก แล้วฉันจะคอยดู!” โซ่งเวินหยูรู้สึกว่าเธอพูดมามากพอแล้ว จึงไม่ได้พูดต่อ ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
ฉินหลางไม่อยากกลับไปพร้อมกับโซ่งเวินหยู จึงรอให้เธอกลับไปก่อน ฉินหลางยกกาน้ำชาขึ้นดื่มจนหมด จากนั้นกินของว่างที่อยู่บนโต๊ะจนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวออกไป
ทว่าในเวลานี้เอง กลับมีเสียงหนึ่งเรียกฉินหลางเอาไว้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้