ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เยี่ยเฉินเฟิงที่คล้ายกับภิกษุกำลังเข้าฌานก็พลันลืมตาตื่น ฝ่ามือทั้งสองข้างที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังฟาดลงบนหินก้อนใหญ่ที่ตนนั่งอย่างดุดัน ส่งผลให้หินก้อนั์แตกละเอียดเป็ชิ้นๆ
ร่างของเขาโฉบสูงขึ้นราวกับวิหคั์ เผชิญหน้ากับแรงปะทะจากน้ำตก ปล่อยหมัดที่มีพละกำลังหนึ่งพันจินโจมตีใส่น้ำตกเต็มแรง ตัดขาดกระแสน้ำที่พรั่งพรูลงมาราวกับสายธารดวงดาวให้แยกออกจากกัน
“ในที่สุดก็ฝึกฝนเทพดาราหกชีพจรขั้นแรกสำเร็จ”
เยี่ยเฉินเฟิงดีดตัวส่งตัวเองจากกลางอากาศ อาศัยแรงสะท้อนมหาศาลที่เกิดจากมวลน้ำตก ร่อนลงมาหยุดลงตรงริมสระ
หลังจากััได้ถึงพลังที่ะเิออกมาจากร่างเมื่อครู่ เขาก็รู้สึกยินดีปรีดาเป็อย่างยิ่ง
แต่เพราะ้าฝึกฝนเทพดาราหกชีพจรให้บรรลุขั้นแรกในเวลาสั้นๆ เขาจึงได้ผลาญผลึกิญญาที่ฉีทงเทียนทิ้งเอาไว้จนหมดสิ้น และหากเขา้าฝึกให้ถึงระดับสองไวๆ ก็ต้องหาทางซื้อผลึกิญญามาให้ได้
ทว่าั้แ่ถูกขับไล่ออกมา ตระกูลเยี่ยก็ไม่เคยสนับสนุนค่าใช้จ่ายของเยี่ยเฉินเฟิงอีกเลย แค่ผลึกิญญาระดับต่ำก็มีมูลค่าสูงถึงหนึ่งหมื่นตำลึงแล้ว ตอนนี้เขาเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ยี่สิบตำลึงเท่านั้น หากคิดจะซื้อผลึกิญญาระดับต่ำมาบ่มเพาะพลัง ก็ต้องหาเงินมาให้ได้เสียก่อน
นอกจากผลึกิญญาแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงต้องซื้อสมุนไพรหลอมกายาเพิ่ม อีกทั้งยังต้องกระตุ้นศักยภาพตนอีกนิดหน่อย และราคาสมุนไพรเ่าั้ก็สูงลิบลิ่ว
“บางทีความรู้สองแขนงนี้อาจจะพอช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากสภาพขัดสนตอนนี้ไปได้” เยี่ยเฉินเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาตัดสินใจจะใช้เวลาไปกับวิชาแพทย์และอักขระอาคมที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของห้วงสมอง
เขายืดเส้นยืดสายขยับร่างกายเล็กน้อย กินอาหารแห้งอีกหน่อยเพื่อรองท้อง ปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม แล้วเริ่มต้นเรียนรู้เนื้อหาอันลึกซึ้งจากชิ้นส่วนความทรงจำ
แม้เยี่ยเฉินเฟิงจะไม่คุ้นกับข้อมูลที่อยู่ในชิ้นส่วนความทรงจำเลยสักนิด แต่เพราะเขาได้ผสานรวมกับสมองกลืนเทวะ ระดับการรู้แจ้งของเขาจึงพัฒนาสูงขึ้นไปจนเหนือความคาดหมาย
เยี่ยเฉินเฟิงใช้เวลาอยู่ประมาณสองวัน เขาก็ซึมซับความรู้วิชาแพทย์และอักขระอาคมจนครบหมด
“เป็วิชาความรู้ที่มหัศจรรย์ดีแท้ วิชาแพทย์และอักขระอาคมที่อยู่ในสมองกลืนเทวะไม่ใช่สิ่งที่ความรู้ของแคว้นจื่อจินจะเทียบเคียงได้เลยสักนิด คงมีเพียงการสืบทอดวิชาในนิกายใหญ่เท่านั้น จึงจะสามารถค้นคว้าวิจัยการแพทย์และอักขระอาคมได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้” เยี่ยเฉินเฟิงที่ตระหนักถึงความลึกซึ้งของวิชาทั้งสองแขนง เผยสีหน้าปลื้มปีติออกมา ในแววตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเืฝอยและปวดศีรษะจนศีรษะแทบจะะเิ
ทว่าความรู้ด้านอักขระอาคมค่อนข้างจะลึกซึ้งอยู่มาก หากเขา้าเรียนรู้ให้แตกฉาน คงต้องอาศัยเวลาค่อยๆ ฝึกฝนจากพื้นฐานไปก่อน ซึ่งกระบวนการฝึกฝนก็ไม่ต่างอะไรกับการผลาญเงินเล่นเลยสักนิด
ด้านวิชาแพทย์สามารถนำไปใช้ทำมาหากินได้ก็จริง แต่เขาไม่มีเวลามากพอที่จะมาตั้งโรงหมอหาเงินนี่สิ ดังนั้นใน่เวลานี้ มีเพียงการสร้างยันต์เท่านั้นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของเขาได้อย่างทันท่วงที
“อืม ข้าลองสร้างยันต์ประเภทโจมตีหรือยันต์เข็มทองดูดีกว่า”
เยี่ยเฉินเฟิงตรองอยู่สักพัก สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะสร้างยันต์ที่ง่ายที่สุดอย่างยันต์เข็มทอง แต่ถึงยันต์เข็มทองจะเป็วิชาที่สร้างง่ายที่สุด แต่วัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างกลับแพงอย่างไม่น่าเชื่อ
“เืสัตว์อสูรดุร้าย ผงดารา์ ชาดระดับสูง แผ่นยันต์หวงอวี้...เฮ้อ!”
พอนึกถึงวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการสลักยันต์เข็มทอง ความยินดีในใจของเยี่ยเฉินเฟิงก็แปรเปลี่ยนเป็ความทุกข์ตรม เนื่องด้วยเงินยี่สิบตำลึงที่เขามีติดตัวอยู่ตอนนี้ คาดว่าแม้แต่ผ้ายันต์หวงอวี้ที่ราคาถูกที่สุดก็ยังไม่อาจซื้อมันได้
“ข้าควรจะไปหยิบยืมเงินจากใครดีล่ะ?” เยี่ยเฉินเฟิงนึกกังวล
ั้แ่รวบรวมจิตอสูรไม่สำเร็จและถูกขับออกจากตระกูลเยี่ย มิตรสหายรอบตัวเขาก็ลดน้อยลงทุกที จนเขาแทบจะไม่เหลือเพื่อนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว และคงไม่มีใครยอมให้เขายืมเงินเป็แน่
“ดูท่าข้าคงต้องไปขอยืมจากเยี่ยจื่อหลิงแล้วล่ะ”
เยี่ยเฉินเฟิงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขานึกออกอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น และเขาก็ไม่มั่นใจด้วยว่าเยี่ยจื่อหลิงจะยอมให้เขายืมเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้
“เอาเถอะ ลองดูก่อนละกัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยหาวิธีอื่น”
เยี่ยเฉินเฟิงถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง พลางหยิบอาหารแห้งเข้าปาก ก่อนจะออกจากหุบเขาสันโดษที่ใช้ฝึกฝนวิชาอยู่หลายวันและเดินทางกลับไปที่เมืองไป๋ตี้
เยี่ยเฉินเฟิงไม่ได้กลับไปที่บ้านเดิมของตน แต่ตรงไปที่บ้านหลังเล็กของเยี่ยจื่อหลิงซึ่งตั้งอยู่ในสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ เนื่องจากกลัวจะถูกศัตรูของฉีทงเทียนตามตัวเจอและอาจเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นได้
“เ้ามาได้อย่างไรเนี่ย มาหาข้ามีธุระอะไรล่ะ?”
เย่จื่อหลิงที่กำลังบ่มเพาะพลังได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น จึงลงจากเตียงไปเปิดประตูห้อง เมื่อนางพบว่าคนที่อยู่ด้านนอกคือเยี่ยเฉินเฟิงนางก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ข้าอยากจะขอยืมเงินเ้าหน่อย”
เยี่ยเฉินเฟิงกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม สายตาเหลือบมองเยี่ยจื่อหลิงที่อยู่ในชุดกระโปรงบางยาว รูปร่างสูงโปร่ง เรียวขากลมมนแข็งแรง กลิ่นอายความสาวสะพรั่งเบ่งบานไปทั่วร่าง
“ยืมเงิน?” เยี่ยจื่อหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เ้าจะยืมเท่าไหร่ล่ะ?”
“สามหมื่นตำลึง”
“สามหมื่นตำลึง นี่เ้า้าเงินมากมายไปทำสิ่งใดกัน?” เยี่ยจื่อ หลิงเอ่ยถามเสียงเย็นะเื ไม่คิดว่าเยี่ยเฉินเฟิงจะมาขอยืมเงินมากมายขนาดนี้
“ใช้ในการฝึกฝน” เยี่ยเฉินเฟิงตอบกลับอย่างเรียบง่าย “ข้าจะคืนให้เ้าทั้งหมด ขอเวลาข้าช้าสุดหนึ่งเดือน”
“อืม...”
“สามหมื่นตำลึงนี้ข้าให้เ้า เ้าไม่ต้องคืนข้าหรอก” เยี่ยจื่อหลิงมองเยี่ยเฉินเฟิงด้วยสายตาเป็ประกาย เมื่อนึกย้อนถึง่เวลาที่ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน นางจึงยอมตอบตกลง
“แต่นี่จะเป็ครั้งสุดท้ายที่ข้าให้เ้าแล้วนะเยี่ยเฉินเฟิง หวังว่าวันข้างหน้าเ้าจะไม่มากวนใจข้าอีก”
“ได้!”
เยี่ยเฉินเฟิงยิ้มเยาะพลางเอ่ยตอบตกลง แต่หากวันข้างหน้าเขาหาเงินได้มากพอเขาก็จะนำเงินมาคืนให้เยี่ยจื่อหลิงอยู่ดี เพราะเขาเองก็ไม่อยากติดค้างอะไรกับนาง และยิ่งไม่อยากติดค้างตระกูลเยี่ยด้วย
หลังจากยืมเงินสามหมื่นตำลึงจากเยี่ยจื่อหลิงได้สำเร็จ เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่รั้งจะอยู่ต่อแต่อย่างใด เขาหันหลังเดินจากไปทันที
“พวกเราไม่ใช่คนระดับเดียวกันอีกแล้วนะเยี่ยเฉินเฟิง ข้าหวังว่าเ้าจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างราบรื่นนะ”
เย่จื่อหลิงบ่นพึมพำกับตัวเองขณะที่สายตามองส่งแผ่นหลังของเยี่ยเฉินเฟิง แต่นางคงยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาทั้งสองก็นับว่าอยู่คนละระดับกันแล้วจริงๆ
เมื่อเยี่ยเฉินเฟิงได้เงินมาสามหมื่นตำลึง เขาก็ออกจากสำนักฝึกยุทธ์และมายังร้านไป๋อวิ๋น ร้านค้าที่ใหญ่โตที่สุดในเมืองไป๋ตี้ และใช้เงินไปเกือบสองหมื่นแปดพันตำลึงเพื่อซื้อวัตถุดิบในการสร้างยันต์เข็มทอง เขาซื้อเข็มเงินอีกหนึ่งชุดและหน้ากากหนังมนุษย์ที่บางราวกับปีกจักจั่น
ที่เยี่ยเฉินเฟิงต้องซื้อหน้ากากหนังมนุษย์มาด้วย เพราะกลัวว่าความลับเกี่ยวกับทักษะกลืนิญญาจะเล็ดลอดออกไป จึงเตรียมพร้อมป้องกันไว้ก่อน
ส่วนเข็มเงิน เขาซื้อมาเพราะว่าในวิชาแพทย์มีทักษะการฝังเข็มอันยอดเยี่ยมที่ชื่อว่าเข็มนภาทมิฬอยู่
คำอธิบายเกี่ยวกับทักษะเข็มนภาทมิฬที่อยู่ในชิ้นส่วนความทรงจำคือ การใช้เข็มนภาทมิฬต้องอาศัยพลังิญญาควบคู่ไปกับการกระตุ้นจุดชีพจร จึงจะสามารถชำระเส้นลมปราณตัดผ่านชีพจรได้ มีผลช่วยในการรักษาอาการาเ็ภายใน
หลังจากได้ของที่้าครบหมดแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ใช้เงินอีกหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อเช่าบ้านหลังเล็กที่สร้างจากดินแถวๆ ชานเมืองทางทิศตะวันออกของเมืองไป๋ตี้ เพื่อใช้เป็ที่พักอาศัยชั่วคราว
“แพง วัตถุดิบในการสร้างยันต์เข็มทองนี่โคตรจะแพงเลย โดยเฉพาะเืสัตว์อสูรดุร้าย ขวดเล็กๆ ราคาก็สูงถึงหนึ่งพันตำลึงแล้ว นี่มันปล้นกันชัดๆ”
เขาทำความสะอาดห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองอย่างรวดเร็ว วางย่ามสะพายใบใหญ่ลงบนโต๊ะที่สีหลุดลอกจนไม่เหลือชิ้นดี เขามองขวดเืสัตว์อสูรดุร้ายทั้งเก้าขวดที่แสนจะล้ำค่าด้วยความละเหี่ยใจ
หลังจากจัดแบ่งวัตถุดิบออกเป็เก้าส่วนแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่ได้รีบร้อนสร้างยันต์เข็มทองแบบส่งเดช แต่เขาเลือกที่จะนั่งสมาธิบนเตียง และอนุมานขั้นตอนการสร้างยันต์เข็มทองในห้วงสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพราะวัตถุดิบที่ใช้สร้างทั้งเก้าชุดนี้ แต่ละชุดมีมูลค่าสูงมากกว่าสามพันตำลึงเลยทีเดียว ถ้าทั้งหมดนี้สร้างไม่สำเร็จ เขาคงต้องขาดทุนจนย่อยยับแน่
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ เยี่ยเฉินเฟิงที่อนุมานการสร้างมานับครั้งไม่ถ้วนก็คิดว่าได้เวลาอันเหมาะสมแล้ว จึงเริ่มลงมือสร้างยันต์ชิ้นแรกในชีวิตของเขา...ยันต์เข็มทอง
