บทที่ 14 หม้อไฟ ความฝันของอิ๋งปิง
ภายในรถม้า
รถม้าคันนี้ภายนอกดูเรียบง่าย ทว่าภายในกลับซ่อนความพิเศษไว้นับไม่ถ้วน โครงรถทำจากไม้หอมทองสลักลวดลายอันประณีต ไม้หอมส่งกลิ่นหอมประหลาดออกมาเบาๆ แถมเมื่อนั่งอยู่บนนั้น แทบไม่รู้สึกถึงการสั่นะเืเลยแม้แต่น้อย นี่มันคือยานพาหนะชั้นเลิศแห่งโลกยุทธ์ชัด ๆ
“สมแล้วที่เป็รถของท่านเ้าสำนัก”
“ท่านผู้าุโ ขอถามหน่อยว่ารถม้าคันนี้มีราคาเท่าไรหรือขอรับ”
หลี่โม่รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม ราวกับเด็กบ้านนอกที่ได้เข้าไปในบ้านเศรษฐี ทั้งอยากรู้อยากเห็นแต่ก็ไม่กล้าแตะต้องสิ่งใด
“เฒ่าผู้นี้แซ่ปา เป็เพียงคนรับใช้เท่านั้น ท่านชายเรียกข้าว่าเฒ่าปาเถอะ” สารถีชราหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวว่า
“รถม้าคันนี้ หากตีราคาเป็ทองคำแล้ว ก็น่าจะราวๆ หลายหมื่นตำลึงขอรับ ท่านเ้าของห้างเหอเชิงเป็คนมอบให้”
หลี่โม่ตาเบิกกว้าง
หลี่ผู้น้อยที่คิดว่าตนเองมีฐานะพอตัว ถึงกับรู้สึกถึงความยากจนในทันที หลายหมื่นตำลึง แถมยังเป็ทองคำอีกด้วย! ต่อให้ทำทั้งคันด้วยทองคำ ก็ไม่น่าจะใช้เงินมากมายขนาดนั้นนี่นา
ราวกับจะมองออกถึงความสงสัยของเขา เฒ่าปาก็หัวเราะและกล่าวว่า
“รถม้าคันนี้ทำจากเหล็กเย็น แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นขอบเขตกายภาพภายนอก ก็ไม่สามารถทำลายได้”
“ไม่แปลกใจเลย ข้าคงซื้อไม่ไหวแล้ว”
หลี่โม่กระจ่างในทันที เขาจับกระเป๋าสตางค์ที่แบนแฟบของตัวเอง ความฝันที่จะออกเดินทางด้วยรถม้าคู่ใจแบบเดียวกันนี้ก็พังทลายลงในพริบตา
ที่โต๊ะชา อิ๋งปิงนั่งจิบชาอย่างสงบและเป็ธรรมชาติ ราวกับนางเป็เ้าของรถม้าคันนี้มาแต่เดิม ไม่สิ หลี่โม่ถึงกับรู้สึกราวกับว่านางกำลังลดตัวลงมาทำเช่นนี้ด้วยซ้ำ
‘ยัยก้อนน้ำแข็งนี่ เมื่อก่อนไม่ใช่แค่คนรองรับอารมณ์ในจวนสกุลหลี่หรอกหรือ...’
หลี่โม่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้มีกระดูกจักรพรรดินี’
ศาลาชิวสุ่ย
อิ๋งปิงหยิบกิ่งไม้แห้งข้างทางขึ้นมาฝึกวิชาดาบ นางกำลังทดลองว่าขอบเขตพลังในปัจจุบันของนาง สามารถใช้กระบวนท่าดาบได้ถึงระดับใด
หน้าประตูห้องครัว หลี่โม่ถามว่า
“วันนี้อยากกินอะไร”
แน่นอนว่าใน สำนักชิงเยวียน มีโรงอาหาร ทว่าอาหารทั้งสามมื้อ เขาสามารถได้รับรางวัลตอบแทนจากยัยก้อนน้ำแข็งนี่ได้ ดังนั้นหลี่ผู้น้อยจึงยินดีที่จะลงครัวเอง
“อะไรก็ได้ ข้าไม่มีความปรารถนาในเื่ปากท้อง เ้าไม่จำเป็ต้องเสียเวลาคิดมาก” อิ๋งปิงตอบโดยไม่หันกลับมามอง
“นั่นเป็เพราะเ้ายังไม่เจออาหารอร่อยจริง ๆ”
“ไม่ได้โอ้อวดนะ หากข้าตั้งใจทำครัวจริง ๆ ทั่วหล้าไร้ผู้เทียมทานเลย” หลี่โม่กล่าวอย่างมั่นใจ
ในคราที่ได้รางวัลตอบแทนชะตาสีขาว เขาได้รับเครื่องปรุงหลายอย่างที่โลกนี้ไม่เคยปรากฏ แถมยังมีน้ำซุปหม้อไฟ ซึ่งเขาอยากกินมานานแล้ว
อิ๋งปิงไม่เอ่ยคำ ไม่รู้ว่านางได้ยินหรือไม่
“ตั้งใจเกินไปแล้ว” หลี่โม่คิดในใจ คนเราไม่ใช่เครื่องจักรเสียหน่อย หากละเลยความ้าพื้นฐานของมนุษย์ไปนาน ๆ จิตใจก็อาจมีปัญหาได้
“ศิษย์พี่อิ๋งปิงอยู่ไหมขอรับ!”
ในตอนนั้นเอง เสียงะโจากภายนอกดังขึ้น หลี่โม่เดินออกไปก็พบศิษย์พี่ฝ่ายกิจการภายนอกคนหนึ่ง เขานำถุงขนาดใหญ่เล็กมาด้วย มันคือเนื้อของสัตว์วิเศษนานาชนิด เมื่อรับประทานแล้วจะช่วยบำรุงเืลมได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งหาทานไม่ได้ทั่วไปข้างนอก นี่คือสิทธิพิเศษของศิษย์สายตรงเ้าสำนัก
ศิษย์พี่ฝ่ายกิจการภายนอกผู้นั้นแนะนำว่า เนื้อทั้งสองชนิดนี้เป็สัตว์ที่เลี้ยงในยอดเขาอสูร ได้แก่ เนื้อวัวกระดูกเหล็ก ปลาเกล็ดเขียว และแพะหิน
“มีทั้งเนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้อปลา นี่ถ้าเอามาทำหม้อไฟนะ…” หลี่โม่คิดพลางน้ำลายสอ
ครึ่งชั่วยามต่อมา
กลิ่นหอมเผ็ดร้อนฟุ้งกระจายไปทั่วลาน
หลี่โม่นั่งอยู่หน้าเตา กำลังลวกเนื้อวัวกระดูกเหล็กที่บางเฉียบราวปีกจั๊กจั่น
“สุดยอดจริง ๆ”
เมื่อเนื้อสัตว์วิเศษจากโลกนี้ มาเจอกับน้ำซุปหม้อไฟจากโลกเก่า ช่างอร่อยจนน่าจดจำไม่มีที่สิ้นสุด
“รีบชิมดูสิ” หลี่โม่ลวกปลาเสร็จ ก็คีบใส่ชามของอิ๋งปิง ริมฝีปากของหญิงสาวเปื้อนน้ำมันสีแดง ทำให้ดูน่าลิ้มลองยิ่งขึ้น
“อร่อยใช่ไหม”
“พอใช้ได้” อิ๋งปิงใช้ตะเกียบเร็วขึ้นกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย
หลี่โม่เห็นทุกอย่างในสายตา กล่าวหัวเราะว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็กินเยอะ ๆ เนื้อสัตว์วิเศษก็มีประโยชน์กับการฝึกยุทธ์นะ”
“การกินกับการรักสวยรักงามเป็เื่ปกติของมนุษย์ ถึงเวลาสนุกก็ต้องสนุกสิ”
ไอน้ำร้อนพลุกพล่าน ใบหน้าของหญิงสาวก็เลือนรางไปในม่านไอน้ำนั้น แก้มของนางขยับขึ้นลง ไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่
ชั้นสาม ภายในห้อง
【ยินดีด้วยเ้าของระบบ คุณได้ลงทุน: หม้อไฟเนื้อสัตว์วิเศษหนึ่งที่】
【ได้รับรางวัลตอบแทน: ผลึกทมิฬหนึ่งเม็ด】
【ผลึกทมิฬ】: “บรรจุพลังปราณบริสุทธิ์ที่สุดในฟ้าดิน สามารถใช้ในการหลอมยา หลอมอาวุธ หรือใช้เป็แหล่งพลังงานขับเคลื่อนอุปกรณ์ต่างๆ มีประโยชน์นับไม่ถ้วน”
“หม้อไฟมื้อนี้คุ้มค่าเกินไปแล้ว”
ในมือของหลี่โม่ปรากฏผลึกสีขาวน้ำนมรูปทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ส่องประกายระยิบระยับ กลิ่นอายที่ส่งออกมาจากมันนั้น คุ้นเคยกับเขาเป็อย่างดี นั่นไม่ใช่พลังปราณที่เขาดูดซับเข้าร่างกายเวลาฝึกวิชาหรอกหรือ? แต่ปริมาณพลังปราณที่บรรจุอยู่ในผลึกทมิฬนี้มหาศาลนัก เขาต้องใช้เวลาดูดซับเองนานแค่ไหนจึงจะสะสมได้ขนาดนี้
สำหรับหลี่โม่แล้ว ประโยชน์ของมันไม่ได้มากมายนัก ทว่าของสิ่งนี้มีค่าสูงลิ่ว! บันไดสู่์ก็ใช้ของสิ่งนี้ในการเปิดใช้งาน
“ตัดสินใจแล้ว ต่อไปจะต้องกินเนื้อสัตว์วิเศษทุกวัน!”
“ต้องป้อนยัยก้อนน้ำแข็งให้อิ่มเอมเปรมปรีดิ์” หลี่โม่เก็บผลึกทมิฬลงไปในใจแล้วตัดสินใจ
ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นได้อีกเื่หนึ่ง ศิษย์พี่เซียวฉินไม่ใช่ว่ามีหยกโบราณเจ็ดดาราหรอกรึ? เพราะหยกโบราณเจ็ดดาราต้องใช้พลังปราณในการเปิดใช้งาน ระดับพลังของเซียวฉินจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง ผลึกทมิฬชิ้นนี้ไม่ใช่ว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้พอดีเลยหรือ?
“อย่างไรเสีย ผลึกทมิฬข้าก็ไม่ได้ใช้ สามารถลงทุนให้เขาได้” หลี่โม่สรุปกฎเกณฑ์ของการลงทุนได้บางอย่าง ระดับของลิขิตฟ้าเป็พื้นฐานของรางวัลตอบแทน หากมีสิ่งของที่ช่วยเป้าหมายการลงทุนได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้รางวัลตอบแทนดีขึ้นบนพื้นฐานของลิขิตฟ้า เซียวฉินมีลิขิตฟ้าสีม่วง รางวัลตอบแทนที่ได้ จะต้องมีค่ามากกว่าผลึกทมิฬหนึ่งชิ้นอย่างแน่นอน
“หมัดหกประสาน ไม่จำเป็ต้องเรียนอีกแล้ว”
“มีความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์อยู่ 20 ปี ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องทำให้แตกฉาน” จากประสบการณ์ครั้งที่แล้ว หลี่โม่จะไม่ใช้ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ทั้งหมดรวดเดียว
【ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ห้าปี ถูกหลอมรวมสำเร็จ】
【หลังจากการฝึกฝนหนึ่งปี คุณได้เชี่ยวชาญ****หมัดหกประสานอย่างสมบูรณ์ สามารถใช้ต่อสู้ได้ บรรลุถึง ขั้นเชี่ยวชาญ】
【ในปีที่สี่ หมัดหกประสาน ได้ถูกคุณหลอมรวมเข้ากับการเดิน ยืน นั่ง นอน จากการฝึกฝนที่มุ่งมั่น ไม่จำเป็ต้องยึดติดกับกระบวนท่าอีกต่อไป】
【ในปีที่ห้า หมัดหกประสาน ของคุณบรรลุ ขั้นชำนาญ】
…
ความรู้สึกที่คุ้นเคยถูกส่งผ่านมา แต่แค่ขั้นชำนาญยังไม่พอ
…
【ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ห้าปี ถูกหลอมรวมสำเร็จ】
【ในปีแรก คุณฝึกฝนหมัดอย่างต่อเนื่อง รู้สึกได้ถึงขอบเขตที่สูงขึ้นของวิชาหมัดอย่างเลือนราง】
【ในปีที่สาม คุณเกิดแรงบันดาลใจฉับพลัน เหมือนจะพบทิศทางที่ถูกต้อง และเริ่มตรวจสอบการฝึกฝน】
【ในปีที่สี่ วิชาหมัดหกประสานของคุณบรรลุขั้นแตกฉาน!】
【ในปีที่ห้า คุณมีความเข้าใจใหม่ แต่ความเข้าใจนี้ยังไม่ชัดเจน...】
หลังจากได้รับความเข้าใจทั้งหมดแล้ว หลี่โม่กำหมัดแน่น รู้สึกอยากทดลองดู ดังนั้นเขาจึงตั้งกระบวนท่าหมัดในห้องทันที แล้วฝึกวิชาหมัดอย่างดุดัน แต่ละกระบวนท่าดุดันราวกับพยัคฆ์เหินลม ไม่แตกต่างจากการฝึกด้วยตัวเองเลย
เพียะเพียะ—
หลี่โม่รวบรวมพลังจากพื้นดิน พลังทั้งหมดรวมเป็หนึ่งเดียว แล้วฟาดออกไปอย่างรุนแรง
ความตั้งใจรวมเป็หนึ่ง!
ด้วยหมัดนี้ แขนเสื้อของเขาฉีกขาด กลายเป็เศษชิ้นส่วนเล็กๆ
“เพิ่งจะเปิดเส้นชีพจรหนึ่งเส้น ก็มีพลังขนาดนี้แล้ว” หลี่โม่หายใจออกยาวๆแล้วไปเปลี่ยนชุดใหม่
ตอนนี้เขายังไม่สามารถแสดงพลังของหมัดหกประสานได้อย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ ต้องฝึกวิชาเพิ่ม!
เขาขัดสมาธินั่งลง แล้วเริ่มโคจรวิชาจิตเพลิงก่อบัวอย่างเงียบๆ
อีกด้านหนึ่ง
อิ๋งปิงสะบัดดาบเพียงครั้งเดียว กลีบดอกไม้ก็แตกออกมาเป็เก้ากลีบ
‘วิชาดาบซุนฮวา’
เมื่อชาติที่แล้วนางใช้วิชานี้ได้ แต่วันนี้นางก็ยังคงตั้งใจดูท่านผู้าุโหานเฮ่อสาธิตวิชานี้อย่างจริงจังอีกครั้ง เพราะนี่คือวิชาลับที่สืบทอดภายในสำนัก หากนางบอกว่าทำได้แล้วโดยตรง ก็ยากที่จะอธิบาย
ตอนนี้ นางสามารถทำได้มากที่สุดคือดาบเดียวเก้ากลีบ ใน่ที่พลังเคยเต็มเปี่ยม นางสามารถใช้วิชานี้จนเกิดฝนดอกไม้เต็มท้องฟ้าได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเกิดจากกระแสปราณดาบ หากผนวกกับพลังไท่อิน ยังสามารถทำให้น้ำในทะเลสาบแข็งตัวได้อย่างง่ายดาย
ขอบเขตในตอนนี้ยังต่ำเกินไป
อิ๋งปิงเก็บดาบยืนนิ่ง เตรียมเร่งฝึกวิชาอีกครั้ง ทันใดนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อย เพราะความเคลื่อนไหวจากห้องข้างๆ...
“เขาฝึกวิชาแล้วยังจะดูดพลังปราณฟ้าดินด้วยหรือ?”
“ไม่น่าจะเป็วิชาที่ซางอู่มีได้ หรือจะเป็ร่างกายพิเศษอะไรบางอย่าง...”
อิ๋งปิงประหลาดใจเล็กน้อย วิชาที่สามารถดึงพลังปราณฟ้าดินมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเองได้โดยตรงนั้น นางรู้จักอยู่หลายวิชา แต่ไม่ว่าจะเป็วิชาไหน ล้วนต้องใช้พลังที่บรรลุถึงขั้นขอบเขตกายภาพภายนอกขึ้นไปเท่านั้น หากไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอก ผู้ฝึกยุทธ์ก็ไม่สามารถดึงพลังจากฟ้าดินมาใช้ได้โดยตรง
นั่นหมายความว่า นี่เป็ผลมาจากร่างกายพิเศษของหลี่โม่
“กายาแก่นแท้แห่งธาตุ... กายาไม้มงคละ... กายาสัจธรรมนิรันดร์...”
อิ๋งปิงจมดิ่งสู่ความทรงจำ นึกถึงเหล่าอัจฉริยะที่เคยพบเจอมากมาย ในบรรดาพวกเขา บางคนก็มีความสามารถพอที่จะทิ้งความทรงจำไว้ให้นางได้ แล้วร่างกายของหลี่โม่จะเป็แบบไหนในบรรดากายาเหล่านี้กันนะ? หรืออาจจะเป็แบบที่นางไม่เคยพบเจอ?
ชั่วครู่ต่อมา อิ๋งปิงก็ดึงความคิดกลับมา นางแค่สงสัยเล็กน้อยว่าทำไมหลี่โม่ถึงมีการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้
จะเป็ร่างกายแบบไหนไม่สำคัญ หากนางไม่รู้ แสดงว่ายังไม่แข็งแกร่งพอ อย่างน้อยก็ยังไม่เคยติดอันดับเก้า์สิบปฐีที่จัดอันดับโดยหอเทียนจี
แล้วถ้าเป็ร่างกายของบรรดาผู้พ่ายแพ้เท่าที่นางจำได้ล่ะ?
ช่างเถอะ อย่างไรเสียก็เทียบไม่ได้กับกายาเซียนสิบทิศอยู่ดี
ฝึกวิชาต่อเนื่องสองชั่วโมง บนร่างกายของนางเริ่มมีไอเย็นแผ่ซ่านออกมาอีกครั้ง
นางเพิ่งจะนั่งลงบนเตียงได้ไม่นาน
ก๊อกๆ——
ประตูถูกแง้มออกเล็กน้อย หลี่โม่ถืออ่างทองแดงอยู่ และยื่นศีรษะเข้ามา
“อิ๋งปิง เนื้อสัตว์วิเศษต้องแช่เย็นน่ะ ข้าขอเอาไปวางไว้ในห้องเ้าแล้วกัน!”
ตู้เย็นยี่ห้อยัยก้อนน้ำแข็ง ใครๆ ก็บอกว่าดี
“?”
อิ๋งปิงมองดูเขาเอาอ่างเนื้อสัตว์วิเศษที่ปิดฝาไว้ไปวางไว้ที่มุมห้อง แล้วก็เดินออกไป ตอนจากไป ยังช่วยนางดับไฟให้ด้วย
หากเป็เมื่อก่อน นางคงจะโยนอ่างทองแดงทิ้งไป แล้วใช้สายตาเ็าเตือนหลี่โม่ว่า ต่อไปห้ามเข้าห้องนางตามอำเภอใจ และห้ามเอาของอะไรมาวางในห้องนางเด็ดขาด
แต่วันนี้...
ความอร่อยของหม้อไฟดูเหมือนยังคงวนเวียนอยู่ที่ปลายลิ้นไม่จางหาย... ถ้าเนื้อเสีย ก็จะไม่ได้กินน่ะสิ?
ฟรู่—
นางดึงม่านเตียงลง ความหนาวเหน็บกัดกินไปทั่วห้อง ความเงียบสงัดยิ่งทวีคูณ นางค่อยๆ หลับไป
ใบหน้ายามหลับของหญิงสาว ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความทรมานจากความหนาวเย็นสุดขีด
นางฝันไป
ฝันถึงภาพเมื่อครั้งที่นางเป็ถึงฮองเฮาแห่ง์ เป็ผู้ปกครองตำหนักกุ้ย
“นายท่าน! ข้าทราบดีว่าศิษย์ตำหนักกุ้ยมิอาจแปดเปื้อนด้วยเื่ความรัก ได้โปรดลงมือทำลายวรยุทธ์ของข้าด้วยเถิด”
“ท่านอาจารย์ ข้าท่องยุทธภพแล้วได้พบกับชายผู้เป็ที่รัก...”
“นายท่าน...”
“ฮ่าฮ่าฮ่า อิ๋งปิง ที่แท้เ้าไม่รู้เลยว่าความรักคืออะไร เ้าช่างน่าสมเพชยิ่งนัก!”
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ฉายวนไปมาไม่เป็ระเบียบ คิ้วของนางขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้