เสียงไก่ขันดังขึ้น เวินซีลุกขึ้นนั่งในความมืด นางรีบสวมเสื้อผ้าแล้วเดินไปที่ห้องของโจวอวี่ชางเงียบๆ พร้อมกันกับจ้าวต้าน
เพราะกลัวว่าจะมีคนพบเห็น นางจึงยังมิได้จุดตะเกียง แต่อาศัยเพียงไฟที่อยู่ข้างทางเพื่อเดินไปข้างหน้า
คนที่คอยจับตามองร้านเครื่องหอม ถูกคนของจ้าวต้านเบี่ยงเบนความสนใจไป ทำให้ร้านเครื่องหอมในยามนี้เงียบสงัดกว่าปกติ
สองสามวันที่ผ่านมามีเื่เกิดขึ้นมากมาย ภายในเมืองมีการพูดคุยกันเป็กระแสใหญ่โต หากนางไม่้าให้ผู้ใดล่วงรู้หรือกลายเป็จุดสนใจ จะต้องออกเดินทางในตอนก่อนจะรุ่งสางเท่านั้น
นางได้บอกเื่นี้กับโจวอวี่ชาง เขาจึงตื่นนานแล้ว
ในตอนที่เวินซีเปิดประตูเข้าไป เขากำลังนั่งตัวตรงอยู่ที่หน้าโต๊ะ ฝึกเขียนอักษรอยู่ในความมืดภายใต้แสงจันทร์
เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาว รวบผมยาวเป็หางม้าห้อยพาดไหล่ไว้ ผิวที่ขาวนวลนั้นเมื่อต้องแสงจันทร์ก็ยิ่งดูเป็ประกาย
เวินซีเห็นเขาเช่นนี้ก็อดรู้สึกเสียใจมิได้
หากมิใช่เพราะตระกูลเวิน โจวอวี่ชางคงจะมีสตรีที่ต้องตาต้องใจมากมายจนเหยียบธรณีประตูพัง เช่นนี้แล้วจะอยู่ในสภาพที่ต้องซ่อนตัวไปเรื่อยๆ ได้อย่างไรกัน
“เวินซี” เมื่อรู้สึกได้ถึงการจ้องมอง โจวอวี่ชางก็วางพู่กันลง ยืนขึ้นอย่างนุ่มนวลและเดินไปหานาง
“จัดเตรียมของพร้อมหรือยังเ้าคะ?” เวินซีเก็บความรู้สึกไว้พลันถามด้วยสีหน้าปกติ
“เตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว” โจวอวี่ชางหยิบสัมภาระที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมา
สัมภาระมีขนาดเล็กมากถึงขนาดที่สามารถยกได้ด้วยมือข้างเดียว เวินซีขมวดคิ้ว เมื่อรับไปแล้วจึงเปิดออกดู
ข้างในนั้นมีเสื้อผ้าเพียงสามชุด
“นี่...” เวินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ของของข้าล้วนอยู่ในจวนตระกูลเวิน เอามามิได้แล้ว หากมีสิ่งที่้าค่อยซื้อเอาก็ได้ ระยะทางอีกยาวไกลนัก หากนำไปเยอะจะเป็ภาระเสียเปล่าๆ”
“เงินที่เ้าให้ข้ากับยานั้นสำคัญ ข้าพกติดตัวไว้แล้ว มิได้ใส่ในห่อผ้า”
โจวอวี่ชางรู้ว่านางคิดอันใดจึงเอ่ยปากอธิบาย
เวินซีเม้มริมฝีปาก ในตอนที่นางเก็บสัมภาระกลับไปนั้นก็รีบนำเงินอีกหลายฉบับใส่ไว้ให้
เพราะว่ายังไม่มีแสงสว่างส่องเข้ามา เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็น
“ท่านพี่ ขอร้องแล้วเ้าค่ะ ระหว่างทางจะต้องระวังตัวไว้ อย่าได้เปิดเผยตัวตนเป็อันขาด”
“อย่าลืมส่งจดหมายมาบ่อยๆ นะเ้าคะ ข้าจะส่งทหารลับไปปกป้องพวกท่าน และยังมีสืออี หลังจากที่ถอนพิษให้เขาแล้วข้าจะส่งเขาไปช่วยท่าน ถึงอย่างไรก็ต้องระวังตัวให้มากนะเ้าคะ”
“ข้าเตรียมนี่มาให้เ้าค่ะ เป็ยารักษาาแชั้นเลิศ ท่านเก็บไว้เผื่อยามฉุกเฉิน”
“นั่งลงสิเ้าคะ ข้าจะปลอมตัวให้”
เวินซีวางห่อผ้าที่เตรียมมาด้วยลงบนโต๊ะ พลันหยิบถุงผ้าออกมาจากอ้อมอกแล้วเทของด้านในออกมาบนตัก
มันเป็เครื่องแป้งแต่งหน้า
โจวอวี่ชางพยักหน้า นั่งตัวตรง ก่อนที่เวินซีจะเริ่มแต่งหน้าให้เขาอย่างชำนาญ
ทาเปลือกตาด้วยชาด ดัดขนตาขึ้น้า ทาริมฝีปากสีแดง ใช้แป้งทากลบสีผิวเดิม แกะผมของเขาออกมัดเป็เปีย สุดท้ายก็ให้เขาใส่ชุดสตรี
“ไม่เลวเลยเ้าค่ะ” เวินซีมองดูฝีมือของตนอย่างพึงพอใจ
โจวอวี่ชางถูกจับแต่งตัวเป็คุณหนูผู้สูงศักดิ์ จ้าวต้านที่คอยดูอยู่ยังอดมิได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
“จะไม่มีปัญหาจริงๆ ใช่หรือไม่?” โจวอวี่ชางมองดูตนเอง
“ไม่รู้สิเ้าคะ ก็ต้องลองดู ทานสิ่งนี้ตอนที่มีคนพูดคุยกับท่าน มันจะช่วยเปลี่ยนเสียงให้เป็เสียงสตรี มีฤทธิ์ยาวนานสิบห้านาที” เวินซียื่นยาเม็ดสีดำให้
เขาพยักหน้าพร้อมกับรับไป
เสียงไก่ขันดังขึ้นอีกครา ยามนี้บนถนนเริ่มมีเสียงคนเดินแล้ว
“ไปเถิด จะไม่ทันเวลาแล้วเ้าค่ะ” เวินซีเอ่ยปากเร่ง หันตัวแล้วเดินนำทางไปยังประตูหลัง
รถม้าจอดอยู่ที่นั่นนานแล้ว จ่างกุ้ยอุ้มยียีที่นอนหลับอยู่เดินไปมาอย่างประหม่า เมื่อเห็นพวกเขาออกมาก็ดีใจและเดินไปหา
“คุณหนูเวินซีขอรับ”
“ขอบใจมากจ่างกุ้ย วางยียีลงบนรถม้าเถิด” เวินซีพูด
เพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ยียียังคงอยู่ในห้วงนิทราด้วยฤทธิ์ของยานอนหลับ เขาจะไม่ตื่นขึ้นมาสักพัก
ยียีถูกพาขึ้นรถม้า ส่วนโจวอวี่ชางโยนสัมภาระเข้าไปในรถ ในขณะที่กำลังจะขึ้นไป เขาก็เหลือบมองเวินซีและทำใจมิได้จึงถอยกลับลงมา
เขายืนนิ่ง แย้มริมฝีปากอย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่เอวออก “ข้าให้เ้า เ้าต้องปกป้องตนเองดีๆ”
เวินซีมิได้ยื่นมือออกไปรับ
ในความทรงจำของเ้าของร่างเดิม จี้หยกนี้เป็ของดูต่างหน้าเพียงชิ้นเดียวที่มารดาของโจวอวี่ชางเหลือไว้ให้เขาก่อนจะเสียชีวิต
“รับไว้เถิด หากมิ้าก็คิดเสียว่าช่วยข้าดูแลมัน เจอกันคราหน้าค่อยคืนให้ข้า”
“เ้าค่ะ” เวินซีมิอาจจะปฏิเสธได้อีกเมื่อเขาพูดเช่นนี้ นางจึงนำจี้หยกใส่กระเป๋า
“ไว้พบกันใหม่ ดูแลตนเองดีๆ ล่ะ”
โจวอวี่ชางขึ้นรถ จากนั้นรถม้าก็ออกเดินทางไปนอกเมือง ขณะนั้นทั้งเวินซีและจ้าวต้านก็แอบตามไปด้วย
ที่ชานเมืองนั้นเต็มไปด้วยคนของฮ่องเต้และหลานเยว่เฉิง นางกับจ้าวต้านต้องเห็นกับตาว่าโจวอวี่ชางนั้นสามารถออกจากเมืองไปได้จริงๆ
อาจเป็เพราะฟ้ายังไม่สาง ระหว่างทางมีชาวบ้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รถม้าจึงออกจากเมืองไปโดยไม่มีผู้ใดสงสัย
จนกระทั่งใกล้ถึงชานเมือง บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที
เส้นทางในป่าที่ทอดยาวไร้ผู้คน เต็มไปด้วยกิ่งก้านและใบไม้กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น ทุกครั้งที่ล้อรถเหยียบจะส่งเสียงดัง
เส้นทางข้างหน้ามืดสนิท แสงตะเกียงในรถม้าจึงยิ่งดูเยือกเย็น นกกาถูกรบกวน พวกมันบินขึ้นและร้องระงม
บรรยากาศแปลกๆ ทำให้เวินซีอดกลั้นหายใจมิได้ นางระวังตัวมาก
ป่าแห่งนี้เป็สถานที่เดียวที่สามารถใช้ซ่อนตัวได้ ขอเพียงผ่านเส้นทางนี้ไปได้ โจวอวี่ชางจะมิต้องกังวลปัญหาใดอีก
รถม้าเคลื่อนตัวลึกเข้าไปในป่า เวินซีและจ้าวต้านจึงไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
“โฮ่ง...โฮ่ง...โฮ่ง...”
จู่ๆ ก็มีเสียงสุนัขเห่า เวินซีใมากจึงมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดจึงเดินหน้าต่อ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อมองย้อนกลับไป นางก็เพิ่งเห็นว่ารถม้าหยุดนิ่งอยู่กับที่
ม้าที่ลากรถมีท่าทีกระสับกระส่าย กีบเท้าทั้งสองของมันย่ำอยู่กับที่ ทั้งยังส่งเสียงฮึดฮัด
เวินซีและจ้าวต้านถือกริชไว้ในมือ สบตากันพลันแยกย้ายออกไป
โจวอวี่ชางที่ยังอยู่ในรถม้าก็ััได้ถึงความผิดปกติ หลังจากที่ซ่อนยียีไว้ในมุมมืดของรถก็กลืนยาเม็ดลง เปิดหน้าต่างรถออกแล้วยื่นศีรษะออกไปดู
ทันใดนั้นก็มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามา แต่เขาหลบได้อย่างหวุดหวิด
“ผู้ใดกัน?” น้ำเสียงที่เขาเอ่ยออกมานั้นเป็เสียงของสตรีที่เกรี้ยวกราด
ตนเองต้องตกตะลึงและจับคอเบาๆ ด้วยความไม่อยากเชื่อ ไม่นานก็ได้สติกลับมาพลันมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง
ในเวลานั้นมีเสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น พร้อมด้วยกลุ่มคนในชุดดำที่ปรากฏตัว และล้อมรอบรถม้าไว้
“พวกเ้าเป็ผู้ใดกัน?”
ตอนแรกโจวอวี่ชางคิดจะแสร้งเป็สตรีอ่อนโยนที่กำลังกลัวจนตัวสั่น แต่ก็คิดได้ว่าสตรีที่บอบบางเช่นนั้นไม่มีทางออกมายังชานเมืองผู้เดียว จึงไม่อาจใช้แผนนั้นได้
“เ้าเป็ผู้ใด?” ผู้นำของกลุ่มคนชุดดำเดินออกมา เอ่ยถามด้วยเสียงเ็า
“ข้าน้อยชื่อเย่เ้าค่ะ ข้าเป็แม่ค้าเดินทางผ่านมาที่นี่ มิทราบว่าพวกท่านมีอันใดหรือเ้าคะ? หาก้าเงินทอง ข้าพอจะมีอยู่บ้าง พวกท่านเอาไปเถิด อย่าได้ทำอันใดข้าเลยนะเ้าคะ”
โจวอวี่ชางหยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อสองสามฉบับแล้วส่งให้ชายที่เป็ผู้นำอย่างนอบน้อม
บุรุษผู้นั้นขมวดคิ้วมองหน้า พลันเลื่อนสายตาไปที่เงิน
“เป็อันใดเ้าคะ? หากน้อยไป ข้าจะเพิ่มให้” โจวอวี่ชางทำท่าจะเลิกแขนเสื้อขึ้นอีก
“บนรถมีผู้ใดอีก?” บุรุษผู้นั้นมองเข้าไปในรถม้า
“มีข้าน้อยคนเดียวเ้าค่ะ”
“ออกไป ข้าจะค้นรถ”