เล่มที่ 7 บทที่ 209 ปีศาจร่วนสือขั้นเยาหวัง
หลังจากซากศพปีศาจได้สะบั้นกระบี่ออกไป เหล่าิญญาร้ายก็สลายกลายเป็เถ้าถ่าน แม้แต่ธงเชียนหุนเองจงหยางก็ยังเก็บไม่ทันด้วยซ้ำ เมื่อเห็นดังนั้นจงหยางก็แทบกระอักเืออกมา นั่นเป็ถึงิญญาร้ายนับพันเชียว อุตส่าห์หล่อเลี้ยงมาหลายสิบปี บัดนี้กลับถูกสะบั้นจนแตกสลายในคราเดียว ทำให้แรงกายแรงใจที่ทุ่มเทมาเนิ่นนานถึงกับต้องสูญเปล่า แล้วจะไม่ให้จงหยางปวดใจได้อย่างไรกัน?
แต่เขาก็รู้ดีว่า ในตอนนี้ไม่มีเวลามาให้มานั่งปวดใจอีกต่อไปแล้ว เพราะเสี้ยววินาทีที่เหล่าิญญาแตกสลายไป เ้าซากศพปีศาจก็เตรียมสะบั้นกระบี่ขึ้นอีกครั้ง…
และกระบี่นั่นก็กำลังสะบั้นมาทางเขตแดนอสูรแห่งนี้แล้ว!
เขตแดนอสูรเกิดจากอสุรกายคู่กายของจงหยาง หากถูกสะบั้นแตกละก็ ไม่ใช่เพียงปวดใจเท่านั้น แต่จะร้ายแรงถึงขั้นรากฐานแตกสลายจนอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว!
‘เร็วเข้า เร็วเข้าอีก!’
จงหยางรีบโคจรเคล็ดวิชามารกุ่ยหวังอย่างบ้าคลั่ง เร่งให้เขตแดนอสูรที่สลายไปกลับเป็อสุรกายกุ่ยหวังดังเดิม ชั่วขณะที่กำลังจะกลายสภาพจากเงาเลือนรางเป็ร่างจริงนั้น เ้าซากศพปีศาจก็ได้สะบั้นกระบี่ออกมาเสียแล้ว…
พริบตานั้นเองก็มีลำแสงกระบี่ยาวนับสิบจ้างปรากฏออกมา…
“จบสิ้นแล้วล่ะ…” จงหยางรู้สึกมืดแปดด้านทันที
ทว่า…
บัดนี้บนท้องฟ้าเกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้น ขณะที่ยังมึนงงอยู่ จู่ๆก็มีสายฟ้าสีดำนับสิบสายฟาดลงมาอย่างรุนแรง และสกัดลำแสงกระบี่สีขาวเอาไว้อย่างทันท่วงที จงหยางเห็นดังนั้นก็ปรากฏประกายความยินดีฉายชัดบนใบหน้า ‘นี่มันสายฟ้าหยินนี่นา หวังจิ่งลงมือแล้วสินะ!’
สายฟ้านับสิบกำลังฟาดลงมาเรื่อยๆ ชั่วขณะที่สกัดลำแสงกระบี่เอาไว้ ก็ส่งไอหยินเข้มข้นเข้าสู่เขตแดนอสูรไปด้วย หลังจากที่อสุรกายคู่กายของจงหยางได้รับไอหยินเข้มข้นนี้เข้าไป ก็พลันเลือนรางหายวับไปทันที มันจึงรอดพ้นจากลำแสงกระบี่ที่สะบั้นมาได้อย่างหวุดหวิด…
“ถือว่าคราวนี้ข้าติดค้างเ้าแล้วล่ะ!” จงหยางหันกลับไปมองหวังจิ่ง สายตาก็เปี่ยมไปด้วยความตื้นตันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…
“ระวังหน่อย นี่คือโครงกระดูกไป๋กู่เต้าของหุบเขาร่วนสือ!” ระหว่างที่โคจรพลังบงการสายฟ้าหยิน หวังจิ่งก็มิวายแบ่งสมาธิมาปรึกษาหาวิธีรับมือร่วมกับจงหยาง
“จะต้องหาวิธีทำลายโครงกระดูกที่เป็ร่างจริงของมันให้ได้!”
“โครงกระดูกร่างจริงอย่างนั้นหรือ?” จงหยางมองซากศพปีศาจที่กุมกระบี่ก่อนจะแค่นหัวเราะเ็าออกมา บัดนี้อสุรกายคู่กายได้ปรากฏเลือนรางบริเวณด้านหลังของเขาอีกครั้ง ภายใต้ไออสูรอันเข้มข้นที่หลั่งไหลเข้ามา ร่างกายของจงหยางก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว…
เพียงแค่ครู่เดียวจงหยางก็ขยายตัวกลายเป็ั์ที่สูงประมาณสามจ้าง ใบหน้าของเขาในตอนนี้ถูกหมอกควันดำปกคลุมจนเห็นไม่ชัด ทุกย่างก้าวล้วนมีไออสูรน่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายตามไปทุกที่ และนี่ก็คืออสุรกายกุ่ยหวังร่างจริงนั่นเอง ซึ่งเป็หนึ่งในพลังเสิ่นทงของวิชามารกุ่ยหวัง โดยจงหยางอาศัยพลังของอสุรกายคู่กาย เพื่อสำแดงกายให้เป็อสุรกายกุ่ยหวังร่างจริง ทำให้มีร่างกายแข็งแกร่งฟันแทงไม่เข้า ไม่เกรงกลัวเคล็ดวิชาใดๆ แถมพลังก็ยังกล้าแกร่งขึ้นนับสิบเท่าเลยทีเดียว
หลังจากอสุรกายกุ่ยหวังร่างจริงปรากฏกายออกมา มันก็ไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือซึ่งเต็มไปด้วยหมอกควันดำไปคว้าเ้าซากศพปีศาจเอาไว้ และพริบตาถัดมาก็มีเสียงแค่นหัวเราะดังสนั่นตามมา ทันใดนั้นก็มีพลังรุนแรงขุมหนึ่งะเิออก ใช่แล้ว อสุรกายั์คิดจะประมือกับซากศพปีศาจขั้นเยาเจี้ยงตัวต่อตัว…
“ระวังด้วย!” หลังจากโคจรเคล็ดวิชาบงการอัสนี ทำให้ทั่วทั้งตัวของหวังจิ่งเต็มไปด้วยสายฟ้าสว่างวาบเป็ระยะราวกับเทพสายฟ้าก็ว่าได้ หวังจิ่งคอยบงการให้เหล่าสายฟ้าทั้งหลายฟาดฟันไปยังเกราะหนามของเ้าซากศพปีศาจ
และในเวลาเดียวกันนี้เอง ทางด้านหลินเฟยก็เดินทางมาถึงหุบเขาร่วนสือแล้ว
หุบเขาร่วนสือนี้นับว่าสมชื่อมากจริงๆ เพราะทั่วทุกที่เต็มไปด้วยผาหินจำนวนมาก ดูแล้วช่างไร้ระเบียบสะเปะสะปะเหลือเกิน และยังมีภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อนอีกด้วย เส้นทางสักสายที่มุ่งสู่ยอดเขาก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
หลินเฟยจำต้องโคจรเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนเคลื่อนที่ไปมาภายในหุบเขาที่รกชัฏ เพียงครู่เดียวเขาก็มาถึงยอดเขาร่วนสือ บัดนี้ที่ยอดเขามีไอปีศาจพวยพุ่งขึ้นมา เมฆดำก็ปกคลุมจนหนาทึบ ภายใต้เมฆดำเหล่านี้ก็มีวังปีศาจสีดำตั้งตระหง่านอยู่ เมื่อกวาดตามองไปจึงคล้ายกับสัตว์ร้ายที่กำลังจำศีลอยู่ ส่วนประตูใหญ่หน้าวังที่เปิดอ้าไว้นั้น ก็ราวกับปากขนาดั์ของปีศาจที่กำลังง้างออกก็ว่าได้
บริเวณดานข้างทั้งสองฝั่งประตูวัง ก็มีปีศาจขั้นเยาเจี้ยงเจ็ดตนเฝ้ายามอยู่ ทุกตนในที่นี้ต่างก็เป็ปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกขึ้นไปทั้งนั้น หลินเฟยเห็นดังนั้นก็เข้าใจทันที ว่านี่คือลูกสมุนปีศาจขั้นเยาเจี้ยงทั้งเจ็ดของปีศาจขั้นเยาหวังแห่งทะเลอูไห่ แม้ปีศาจทั้งเจ็ดจะยังไม่สำแดงร่างจริงออกมา แต่ไอปีศาจที่แพร่กระจายก็ราวกับควันไฟที่พวยพุ่ง หากเป็คนที่ขี้ขลาดหน่อยละก็ เกรงว่าตอนนี้คงใตายไปแล้ว…
และแน่นอนว่าหลินเฟยไม่ใช่คนขี้ขลาด…
เพราะหากขี้ขลาดจริง มีหรือที่มีขั้นบำเพ็ญเพียงมิ่งหุนเคราะห์สองแท้ๆ แต่กลับกล้าแย่งชิงชิ้นส่วนประตูมิติกับนักพรตเฮยซาน แล้วมีหรือจะกล้าวางแผนตลบหลังอสุรกายกุ่ยหวัง กระทั่งแย่งชิงมีดบินฮั่วอู๋มาได้?
หลินเฟยยืนมองอยู่ที่หน้าวังปีศาจชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองปีศาจขั้นเยาเจี้ยงทั้งเจ็ด แล้วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“สงสัยปีศาจขั้นเยาหวังนี่คงจะไม่เท่าไรหรอกมั้ง ถึงกับให้ลูกสมุนออกมาเสริมทัพตั้งมากมายขนาดนี้…”
เมื่อสิ้นเสียงหลินเฟย ปีศาจขั้นเยาเจี้ยงทั้งเจ็ดก็เกรี้ยวกราดขึ้นทันที ขณะที่พวกมันกำลังจะเข้ามาสั่งสอนหลินเฟย ก็มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากส่วนลึกของวังเสียก่อน
“ฮ่าๆ ให้เขาเข้ามาเถอะ!”
ปีศาจขั้นเยาเจี้ยงทั้งเจ็ดได้ยินดังนั้นก็พากันถอยห่างออกไป ทว่าสายตาที่มองหลินเฟยกลับเต็มไปด้วยไอสังหารน่าสะพรึงกลัว ทว่าน่าเสียดายที่หลินเฟยไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขาทำเพียงเดินเข้าไปยังส่วนลึกของวังปีศาจด้วยรอยยิ้ม…
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเฟยประหลาดใจก็คือที่นี่ไม่เหมือนกับวังปีศาจทั่วๆไป เพราะวังทั่วไปนั้น หากไม่วังเวงจนน่ากลัว ก็จะมีลักษณะยิ่งใหญ่อลังการ ทว่าที่แห่งนี้กลับดูเหมือนสถานที่พักผ่อนของผู้บำเพ็ญทั่วไป ตลอดทางที่ผ่านมานอกจากไม่มีซากโครงกระดูกมากมายแล้ว ยังไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรอีกด้วย มีเพียงทิวทัศน์ูเาและธารน้ำที่งดงาม แม้แต่หลินเฟยที่เคยพบเห็นอะไรมามาก ก็ยังอดที่จะพยักหน้าให้กับความงามเบื้องหน้าไม่ได้…
และในที่สุดหลินเฟยก็เห็นปีศาจขั้นเยาหวังบริเวณข้างบึงน้ำ
บัดนี้ปีศาจร่วนสือขั้นเยาหวังที่มีชื่อเสียงโด่งดังกำลังนั่งตกปลาด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย เมื่อดูภายนอกปีศาจตนนี้มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ หน้าตาสุภาพหมดจด ดูอายุไม่มากนัก น่าจะประมาณสามสิบกว่าปีเห็นจะได้ แต่รูปร่างกลับดูซูบผอมเล็กน้อย แม้จะมีไอปีศาจปกคลุมอยู่ แต่ก็ไม่เหมือนปีศาจทั่วไป ที่มักจะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวและความรุนแรง แต่ปีศาจตนนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์เสียมากกว่า
“ใช่จริงๆ…” หลินเฟยมองแวบเดียวก็รู้ว่าตนเองคิดถูกแล้ว นี่ก็คือปีศาจเยาหวังที่เคยเจอกันที่หุบเขากระบี่นั่นเอง
ตอนนั้นหลินเฟยที่มีขั้นบำเพ็ญย่างหยวนได้เข้าสู่หุบเขากระบี่เพื่อเสี่ยงโชค ทว่าบังเอิญพบกับการต่อสู้ระหว่างปีศาจขั้นเยาหวังและกุ่ยหวังเสียก่อน แถมในครั้งนั้นอสุรกายกุ่ยหวังยังลงมือกับหลินเฟยอีกด้วย ส่วนปีศาจขั้นเยาหวังตนนั้น ั้แ่ต้นจนจบก็ไม่ได้แสดงตัวออกมาอีกเลย
กระทั่งวันนี้…
ในที่สุดหลินเฟยก็มั่นใจว่าปีศาจร่วนสือขั้นเยาหวังที่้านัดเจอเขา ก็คือปีศาจขั้นเยาหวังที่เคยประมือกับอสุรกายขั้นกุ่ยหวังที่หุบเขากระบี่นั่นเอง
จะว่าไปหลินเฟยก็ถือว่าติดค้างหนี้บุญคุณอีกฝ่ายไว้อยู่ เพราะตอนที่กรงเล็บของอสุรกายกุ่ยหวังกำลังจ้วงลงมาที่ทะเลสาบ หากไม่ได้ปีศาจขั้นเยาหวังตนนี้ช่วยไว้ละก็ เกรงว่าหลินเฟยคงได้ตายที่หุบเขากระบี่ไปนานแล้ว…
“หึหึ คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าที่มีขั้นบำเพ็ญแค่ย่างหยวนในตอนนั้น บัดนี้จะกลับมีสิทธิ์ยืนอยู่เบื้องหน้าอ๋องปีศาจอย่างข้าได้…” ปีศาจเยาหวังเห็นหลินเฟยเดินเข้ามา ก็เก็บเบ็ดตกปลาขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นเดินมาหาด้วยรอยยิ้ม
หากเป็ผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนทั่วไปได้รับคำชมเช่นนี้จะต้องดีใจมากแน่ๆ…
แต่หลินเฟยคนนี้ ใช่ผู้บำเพ็ญทั่วไปที่ไหน?
หลินเฟยได้ยินเช่นนั้น จึงส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะยิ้มออกมา
“ไม่ต้องบอกว่าข้ามีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์หรอก ในเมื่อเชิญข้ามา ก็ย่อมแปลว่ามีเื่จะขอร้อง หากพูดถึงสิทธิ์จริงๆละก็ ต้องเป็เ้ามากกว่าที่มีสิทธิ์เจรจาการค้ากับข้า…”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------