ซวีอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตามคำสั่งของฉิงชางจวิน ข้าให้คนสืบหาภูตผีทั้งหมดในปรโลกซึ่งยังไม่ได้ไปเกิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับาาผีแห่งแดนใต้ในอดีต ในที่สุดก็พบเบาะแส...ก่อนที่เ้าเมืองยวนโส่วจะหายตัวไป เขาได้นำผู้คนไปยังเขาเจียวซางกุยในโลกมนุษย์เพื่อค้นหาเผ่าปีศาจเผ่าหนึ่งที่เรียกว่าตระกูลหลิงเย่า[1] ฉิงชางจวินไม่ได้กลับมายังปรโลกเป็เวลานาน อาจยังไม่ทราบถึง ‘ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่’ ในภายหลังของเ้าเมืองยวนโส่วผู้นี้ เขาไม่ลงมือก็ไม่เป็ไร แต่หากลงมือคราใดจะต้องเกิดลมฝนคาวโลหิต แน่นอนว่าไม่อาจเอาชนะโดยปราศจากการเกิดลมฝนเช่นนี้ ท่านจะได้รับความเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากกลับไปที่ปรโลกในทันที ยากที่จะรับรองได้ว่าจะไม่โดนศัตรูไม่ฉวยโอกาสเป็นกขมิ้นที่อยู่เื้ั[2] ดังนั้น...โดยปกติแล้วก่อนนำผู้คนออกไปโจมตีจะไม่บอกลูกน้องว่าจะกลับไปกบดานที่ใดในภายหลัง ลูกน้องเ่าั้ย่อมคุ้นเคยกับการไร้ข่าวคราวเป็เวลานานของเขาซึ่งหายไปชั่วระยะหนึ่ง เพียงแค่ปฏิบัติตามปกติ รอการกลับมาด้วยท่วงท่าใหญ่โต แต่หลังจากคราวนั้น เวลาล่วงเลยมาหลายสิบปีแล้วยังคงไม่มีข่าวคราวใด สถานการณ์โดยรูปธรรมเป็เช่นไร ภูตผีลูกน้องของเขาเหล่านี้ยังไม่ทราบโดยชัดเจนเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ การบังคับและล่อลวงด้วยผลประโยชน์ย่อมไร้ผล ข้าไม่ได้กระทำการใดที่แหวกหญ้าให้งูตื่น”
หลังจากเจียงเฉิงเยว่ได้ยิน อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วพึมพำกับตนเอง “สุดท้ายแล้วก็มีทิศทาง...ดูเหมือนว่าต้องไปเขาเจียวซางกุยสักรอบ...”
ซวีอวี่กล่าว “ฉิงชางจวินรู้อะไรเกี่ยวกับเผ่าปีศาจที่เขาเจียวซางกุยหรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว นึกถึงความทรงจำอันยาวนานจึงถาม “ข้ารู้ไม่มากนัก เพียงจำได้ว่าเคยได้ยินไม่กี่คำเท่านั้นเมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว ดูเหมือนจะเป็สถานที่ลึกลับของปีศาจในโลกมนุษย์ โอ้ ใช่แล้ว ไม่รู้ว่ามีเขตอาคมอะไรที่ด้านนอกูเา...ซึ่งทรงพลังมากใช่หรือไม่?”
ก่อนที่ซวีอวี่จะตอบหลี่อวิ๋นหังกลับเอ่ย “ค่ายกลมาร์เสวียนอิน”
ซวีอวี่พยักหน้า “สิ่งที่ซ่างเซียนกล่าวนั้นถูกต้อง เขาเจียวซางกุยนั้นหลบซ่อนอยู่จึงหาได้ยาก ทุกสถานที่บนเขามีค่ายกลมาร์เสวียนอิน ว่ากันว่าถูกสร้างโดยเผ่ามาราหลังจาการะหว่างเทพกับมาร แม้ว่าจะเสียหายแต่อานุภาพที่เหลือยังคงอยู่ เมื่อเข้าไปข้างในนอกจากเผ่ามารแล้ว พลังิญญาและประสาทััทั้งห้าจะหายไปสิ้น มีเพียงเข้าร่วมเป็เผ่ามารเท่านั้นจึงจะใช้เคล็ดวิชาได้ ฉิงชางจวินคงทราบ หลังาระหว่างหัวเทียนซ่างเสินกับาามาราเมื่อพันปีก่อน ในบรรดาสามโลกได้กวาดล้างเผ่ามารจนสิ้น ส่วนใหญ่ได้เร้นกายจากโลก ค่ายกลมาร์เสวียนอินนั้นถูกทอดทิ้ง แต่กลับกลายเป็ที่หลบภัยสำหรับเผ่าปีศาจตัวน้อยที่อ่อนแอ”
เจียงเฉิงเยว่ถาม “เร้นกายจากโลก? พวกเขาเร้นกายจากผู้ใด เมื่อเผ่าปีศาจเข้ามาข้างในเคล็ดวิชาทั้งหมดจะไม่สูญสลายหรือ?”
ทั้งหลี่อวิ๋นหังและซวีอวี่ไร้คำพูดเล็กน้อย ซวีอวี่ยังคงมีความอดทนที่จะอธิบายให้เขาฟัง “โดยปกติแล้ว ผู้ฝึกฝนธรรมดาในโลกมนุษย์ที่โห่ร้องว่า ‘ปราบมารกำจัดปีศาจ’ ตลอดทั้งวันเ่าั้ เผ่าปีศาจตัวน้อยเหล่านี้ มีบางตนที่ก่ออาชญากรรมอย่างจริงจัง มีบางตนที่อ่อนแอจึงเป็เหยื่อของนักพรตมนุษย์ที่โอ้อวดความสำเร็จ ตระกูลใหญ่หลายเผ่าของโลกปีศาจที่อยู่ในโลกมนุษย์ถูกแยกออกจากกัน แต่ละเผ่ามีที่มั่นของตนเอง เผ่าปีศาจเล็กๆ ที่เหลือเลือกที่จะสวามิภักดิ์ได้เพียงเผ่าเดียวเท่านั้นเพื่อร้องขอความคุ้มครอง ทว่าตระกูลใหญ่เหล่านี้สนใจเพียงผู้ที่อยู่ในเขตการปกครองของพวกเขา ส่วนพวกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาพวกเขาย่อมไม่สนใจ ทว่าข้าราชบริพารของตระกูลใหญ่ในหมู่ปีศาจนั้นไม่ได้เป็กันง่ายๆ พวกเขาต้องมีความแข็งแกร่งติดตัวบ้าง หากไม่มีผลประโยชน์ให้กับตระกูลใหญ่เ่าั้แม้แต่น้อยเช่นเดียวกับิสุ่ยกับเหยียนชิวที่รับผู้คนทั้งหมด เช่นนั้นจะไม่ถูกทำให้ล่มจมหรอกหรือ? ดังนั้น เหล่าปีศาจตัวน้อยที่อ่อนแอซึ่งไม่อาจสวามิภักดิ์ต่อตระกูลใหญ่ได้จึงทำได้เพียงขอพร แน่นอนว่าหลังจากเข้าสู่ค่ายกลมาร์เสวียนอิน พลังิญญาจะหายไปจนสิ้น ผู้ฝึกฝนธรรมดาเ่าั้คงกังวลเกี่ยวกับจุดนี้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ที่ตั้งของเขาเจียวซางกุยยังเป็ความลับ”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าอย่างเชื่องช้าหลังจากฟังด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ข้ารู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ยากลำบาก แต่...หากไม่ตรวจสอบ ท้ายที่สุดอาจเป็เื่ยากที่จะหาที่อยู่ของคนผู้นั้น”
ซวีอวี่พยักหน้ากล่าว “เป็สิ่งที่แน่นอน เพียงแต่จะหาที่ตั้งของเขาเจียวซางกุยได้อย่างไร นับเป็ปัญหาที่ยากอยู่แล้ว...”
เจียงเฉิงเยว่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน หลังจากครุ่นคิดเป็เวลานานโดยไม่มีผลลัพธ์ เขาถอนหายใจกล่าว “ไม่ว่าอย่างไร ตัดสินใจตามสถานการณ์ไปก่อนแล้วกัน”
ทั้งสองคนพูดคุยรายละเอียดกันอีกสองสามประโยค จากนั้นเจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังจึงกล่าวลา ซวีอวี่ลุกขึ้นส่ง มีเจียงเฉิงเยว่เดินนำหน้า หลี่อวิ๋นหังตามหลัง เมื่อเขาอยู่ใกล้ซวีอวี่เล็กน้อยจึงได้ยินอีกฝ่ายเรียกเสียงเบา “ซ่างเซียน”
หลี่อวิ๋นหังหันศีรษะไปมอง ซวีอวี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มน้อย “ผ่านมาหลายปีแล้ว ไม่ทราบว่าซ่างเซียนได้พบคนที่รอในตลาดผีเมื่อปีนั้นหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึง เขามองแผ่นหลังของคนผู้นั้นซึ่งกำลังพูดคุยหัวเราะกับผู้คุมิญญาที่นำทางห่างออกไปสองสามก้าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นพลางเอ่ยเสียงเบา “นับว่าพบแล้ว”
.............................
เจียงเฉิงเยว่พาหลี่อวิ๋นหังออกจากปราสาทหลักของเมืองปี่อั้นมายืนอยู่บนถนนในตลาดผีที่พลุกพล่านอีกครั้ง เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เซียนจวินรอสักครู่ ข้ายังนัดกับใครบางคนไว้ ขอพบเขาสักครู่แล้วค่อยไปในไม่ช้า ได้หรือไม่?”
“ตกลง”
เจียงเฉิงเยว่พาอีกฝ่ายผ่านถนนตรอกซอกซอยอย่างคุ้นเคยไปยังโรงน้ำชาแห่งหนึ่งในตลาดผี
เสี่ยวเอ้อร์[3] ยังไม่ได้บ่มเพาะการแปลงกายจึงดูโปร่งใสเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นกลับทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น “ไม่คุ้นหน้าเซียนซือทั้งสองท่านอยู่เล็กน้อย เป็ครั้งแรกที่มาตลาดผีในเมืองปี่อั้นหรือขอรับ?”
เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้ม “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่นี่คงเป็ครั้งแรกที่มาร้านของพวกท่าน”
เสี่ยวเอ้อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้เป็ท่านลูกค้าใหม่นี่เอง ขอเชิญขึ้นไปยังห้องส่วนตัวชั้นบนได้หรือไม่ขอรับ?”
เจียงเฉิงเยว่ “ตกลง”
ทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบนด้วยการนำของเสี่ยวเอ้อร์ ค้นหาตำแหน่งทำเลดีติดกับถนนแล้วนั่งตรงข้ามกัน เสี่ยวเอ้อร์เช็ดโต๊ะพลางถาม “เซียนซือทั้งสองท่าน้าสั่งอะไรขอรับ?”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ย “ขอเป็ชาเขียวก่อนแล้วกัน พวกเรากำลังรอคนอยู่”
เสี่ยวเอ้อร์ะโเสียงดัง “ขอรับ!” จากนั้นลอยออกไป
ผู้ช่วยในร้านแห่งนี้คล่องแคล่วว่องไว เพียงไม่นานกาน้ำชากับถ้วยชาสองสามใบจึงมาส่ง เสี่ยวเอ้อร์ชงให้ทั้งสองคนตามลำดับพลางเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “เซียนซือทั้งสองท่านดื่มให้อร่อยนะขอรับ” เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า เสี่ยวเอ้อร์ถึงจากไป
ทั้งสองคนนั่งเงียบไร้คำพูดเป็เวลานาน หลี่อวิ๋นหังกำลังยื่นมือไปแตะถ้วยชาตรงหน้า เจียงเฉิงเยว่ยื่นมือไปบนหลังมือขาวของเขาโดยพลันเพื่อหยุด “ซ่างเซียนรอเดี๋ยว...” จากนั้นหยิบถ้วยชาในมือของอีกฝ่ายภายใต้การจ้องมองของหลี่อวิ๋นหัง เขาหมุนถ้วยชาเทลงบนพื้น ก่อนวางถ้วยชาเปล่ากลับคืน จากนั้นอธิบายให้ฟังด้วยรอยยิ้ม “ตลาดผีคือสถานที่ชั่วร้าย อันที่จริงเมื่อตลาดผีต้อนรับแขกที่มาจากนอกปรโลก อย่างน้อยต้องใช้น้ำไร้ราก[4] ของโลกมนุษย์ แต่น้ำไร้รากเป็สิ่งที่หรูหราในตลาดผีเป็อย่างยิ่ง ทางด้านเ้าเมืองปี่อั้นนั้นไม่มีปัญหา แต่โรงน้ำชาเล็กๆ ข้างถนนในตลาดผีเช่นนี้ แม้จะเห็นได้ชัดเจนว่าใช้น้ำไร้ราก แต่กว่าแปดสิบส่วนใช้น้ำจากปรโลกซึ่งเต็มไปด้วยพลังหยินชั่วร้าย หากนักพรตธรรมดามากมายจากโลกมนุษย์มีการบ่มเพาะไม่เพียงพอ หลังจากดื่มเข้าไปแล้วอาจป่วยอย่างน้อยสิบวันจนถึงครึ่งเดือน แม้ว่าเซียนจวินมีพลังิญญาสูงส่งล้ำ ย่อมต้องปลอดภัยไร้กังวล แต่สุดท้ายแล้ว...อย่างไรก็ยังสกปรกอยู่ดี ดังนั้นอย่าดื่มเสียดีกว่า”
หลี่อวิ๋นหังมองเขาอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง
เจียงเฉิงเยว่สบตา คิดว่าอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจ เขายิ้มแล้วอธิบายอย่างอดทน “เซียนจวินคือเซียนจวินจาก์ สิ่งชั่วร้ายก็เหมือนคราบโคลนบนอาภรณ์ขาว แม้จะซักให้สะอาดได้ แต่เลี่ยงไม่ให้เปื้อนจะดีกว่ากระมัง”
หลี่อวิ๋นหังถอนสายตาออกพลางจ้องมือของตนที่ถือถ้วย สายตาจับจ้องไปยังจุดที่ถูกััเมื่อครู่ ไม่พูดอะไรเป็เวลานาน
ผ่านไปไม่นาน เจียงเฉิงเยว่เห็นร่างหนึ่งที่คุ้นเคยค่อยๆ ขึ้นมาจากชั้นล่างของโรงน้ำชา อวี่ซูก้าวมาข้างหน้า หลังเห็นทั้งสองคนจึงรู้สึกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด นิ่งค้างไปนานไม่เอ่ยอะไร เจียงเฉิงเยว่ย่อมเข้าใจว่าเขากังวลอะไรอยู่จึงส่งยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านนี้คือเสวียนเหยาซ่างเซียนแห่งวังหลิงปี้ ไม่ต้องกังวล นั่งลงเถิด”
หลังจากนั้นอวี่ซูจึงคืนสติ เอ่ยทักทายเจียงเฉิงเยว่ก่อน “คุณชาย” จากนั้นหันไปหาหลี่อวิ๋นหัง “ซ่างเซียน”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้าเล็กน้อย
อวี่ซูนั่งลงด้านข้าง เจียงเฉิงเยว่หยิบถ้วยแล้วรินชาให้เขาด้วยตนเอง ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนผู้นั้น...ว่าอย่างไร?”
อวี่ซูกล่าว “ตามคำสั่งของคุณชาย สิ่งที่คุณชายเคยให้ถามท่านเสวียนชิง นายท่านให้ข้ามาแจ้งกับคุณชาย ตี้จวินได้อธิบายเื่ราวเื้ัก่อนจากไป เื่นี้...ไม่ใช่เื่ที่คุณชายจะเข้าไปแทรกแซงได้ คุณชายอย่าได้ลงไปในน้ำโคลนนี้อย่างเด็ดขาด นายท่านยังให้ข้าน้อยมาแจ้งคุณชาย ตี้จวินจัดการเื่ราวได้เหมาะสม คุณชายโปรดอย่าได้เป็กังวล”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงสักพักแล้วถอนหายใจเล็กน้อย “ในเมื่อเขาพูดเช่นนั้น...ก็ว่าตามนั้นแล้วกัน” หลังจากพูดจบ เขาก้มศีรษะอย่างหดหู่
ทั้งสองคนที่นั่งขนาบข้างไม่รู้จะปลอบอย่างไรดี ทำได้เพียงนิ่งเงียบเท่านั้น
------------------------
[1] หลิงเย่า หมายถึง สัตว์ที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดฝันร้ายได้ตามคัมภีร์ซานไห่จิง
[2] นกขมิ้นที่อยู่เื้ั เป็สำนวน หมายถึง จ้องจะเล่นงาน
[3] เสี่ยวเอ้อร์ หมายถึง บริกรในสมัยโบราณ
[4] น้ำไร้ราก หมายถึง สมุนไพรหรือวัตถุดิบในการทำยาสมัยโบราณ อาจมาจากหิมะแรก น้ำค้างยามเช้าหรือน้ำฝน
