“โธ่เอ๋ย เ้าอย่าขบคิดเื่เหล่านี้เลย ขุนนางขั้นสี่หากจะแต่งงานก็ต้องขอคุณหนูแสนล้ำค่าที่ครอบครัวฐานะใกล้เคียงกันแต่งงานอยู่แล้ว บุตรสาวที่ครอบครัวทำไร่ทำนาจะเหมาะสมกับคนเขาได้อย่างไร” หวงซื่อคีบเนื้อห่านขึ้นหนึ่งชิ้นและใช้มือบิออก ป้อนเข้าในปากหลานสาว
“นั่นก็ใช่ เฮ้อ หากรู้ว่าเขาจะมีอนาคตที่สดใสเพียงนี้ั้แ่แรก รีบหมั้นหมายไว้ั้แ่สามปีก่อน ตอนนี้คงยินดีหน้าชื่นตาบานไปแล้ว” เจี่ยงซื่อแทะปีกไปพลางนินทาไปพลาง
หลี่ซื่อเงยหน้าพลางกวาดตามองสองคนโดยไม่ให้ผิดสังเกต หลังจากนั้นสายตาเลยไปทางเจินจู เห็นเพียงนางทานอาหารอย่างเงียบสงบ สีหน้าท่าทางเยือกเย็น ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ในใจหลี่ซื่อกลัดกลุ้มเล็กน้อย ยัยหนูนี่ไม่สนใจว่าหลัวจิ่งจะขอผู้ใดแต่งงานเลยหรือ?
เจินจูคีบเนื้อห่านทานอย่างเอร็ดอร่อย โอกาสที่ในบ้านจะได้ทานเนื้อห่านหาได้ยากนัก ไม่ทานมากหน่อยจะได้อย่างไร ส่วนคำนินทาของเจี่ยงซื่อกับหวงซื่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย
ท้ายที่สุดแล้ว เขาจะขอผู้ใดแต่งงานก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะกล่าวได้แม่นยำเสียหน่อย
“พี่รอง วันนี้ในสถานที่ทำอาหารหมักราบรื่นดีหรือไม่?”
นางคีบเนื้อส่วนอกให้ชุ่ยจูหนึ่งชิ้นและถือโอกาสถามไปด้วย วันนี้นางยุ่งเล็กน้อย ไม่สามารถไปช่วยพี่รองของนางได้
“อื้ม ค่อนข้างราบรื่นอย่างมาก หน้าที่ที่แบ่งกันไปล้วนเสร็จเรียบร้อยดี” ชุ่ยจูพยักหน้า นับั้แ่เจินจูเสนอให้จัดตั้งหัวหน้ากลุ่มเล็กขึ้น ฟู่เหรินไม่กี่คนต่างก็ทำงานช่วยกันแต่โดยดี ไม่มีผู้ใดกล้าแอบอู้งานอีก
เจินจูพยักหน้าและกล่าวกำชับนาง “ภายในระยะเวลาสั้นๆ อาจยังประพฤติดีอยู่ ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็ไม่แน่ ท่านต้องใส่ใจให้มากอยู่ตลอด มีอะไรก็หารือกับพวกอาสะใภ้เจิ้งได้เลย พวกนางทำงานมาหลายปี ล้วนมีประสบการณ์อยู่มาก”
ชุ่ยจูพยักหน้าติดกัน ภายใต้การช่วยเหลือของอาสะใภ้เจิ้งและท่านย่าของตงเซิ่งในสองวันมานี้ ขจัดปัญหาไปได้ไม่น้อย ในที่สุดในใจนางก็มีความมั่นใจขึ้นมาได้สักหน่อย
สองสาวพี่น้องพูดคุยเสียงเบาอยู่ใกล้กัน หวงซื่อมองสองพี่น้องสีผิวดั่งผิวหยกหน้าตางดงามละเอียดอ่อนทั้งคู่ ในใจอดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ตาเฒ่าของนางสายตาดีจริงๆ ที่ลงมือหมั้นหมายเด็กสาวคนรองของสกุลหูไว้แต่เนิ่นๆ
ธรณีประตูของสกุลหูนับวันยิ่งสูงขึ้น ขณะนี้มีขุนนางขั้นสี่หนึ่งคนมาอาศัยอยู่ ต่อไปหากผิงอันผิงซุ่นเด็กสองคนอยากมีความก้าวหน้าในอนาคต ตลอดทางที่สอบขึ้นไปมีญาติเป็ขุนนางระดับสูงคอยคุ้มอยู่ เส้นทางขุนนางของพวกเขาอาจราบเรียบกว่าคนธรรมดาไม่น้อย
คิดถึงตรงนี้ในใจนางก็ตื่นเต้น เด็กสาวครอบครัวรองของสกุลหูผ่านปีไปก็อายุสิบห้าปีแล้ว ฉางกุ้ยกับภรรยาคล้ายว่าไม่มีความร้อนใจเลยสักนิด ได้ยินมาว่ามีครอบครัวร่ำรวยในเมืองที่อยู่ในเขตอำเภอส่งแม่สื่อมาถึงหน้าบ้าน แต่หลี่ซื่อปฏิเสธออกมาทันทีโดยไม่คิดสักนิดเลย
แม่สื่อผู้นั้นขุ่นเคืองสุดขีดจนกระทืบเท้าปึงปัง อยู่ข้างนอกกล่าวคำอิจฉาอยู่บ่อยครั้งในทำนองว่าสกุลหูคิดการใหญ่ ดวงตาสูง บุตรสาวครอบครัวนางต้องแต่งให้กับบุรุษตำแหน่งจอหงวนเท่านั้น
ดวงตาของหวงซื่อวูบไหว แม้บุรุษจอหงวนจะไม่มี แต่ขุนนางขั้นสี่อยู่ใกล้ตรงหน้า
สายตาของนางวนไปมาระหว่างบนกายของเจินจูกับหลัวจิ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าสองคนเหมาะสมกันนัก คนหนึ่งหน้าตารูปงามลักษณะท่าทางสง่าผ่าเผย คนหนึ่งงดงามเฉลียวฉลาด เมื่อวางอยู่ด้วยกันเสมือนกิ่งทองใบหยกก็ไม่ปาน
แต่หลัวจิ่งในตอนนี้เป็ขุนนางขั้นสี่ คงไม่มีทางขอสตรีชาวบ้านธรรมดาหนึ่งคนแต่งงานหรอกกระมัง
หวงซื่อป้อนอาหารให้หลานสาว ความรู้สึกนึกคิดวกวนไปมา หากเจินจูสามารถแต่งให้หลัวจิ่งได้ เช่นนั้นหลัวจิ่งก็จะกลายเป็สามีของน้องภรรยาไป่ิแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งหัวใจของนางเบิกบานจนเต้นตึกตัก แทบอยากจะให้สองคนแต่งงานกันได้เลยทันที
เหลียงซื่อใช้มือหยิบขาห่านมาแทะอย่างมีความสุข ผิงซั่นมีหวังซื่อป้อนอยู่ นางจึงสามารถสะบัดแขนเริ่มทานได้ ตอนนางอยู่บ้าน หวังซื่อกับหูฉางหลินควบคุมนางค่อนข้างเข้มงวดเป็อย่างมาก ห้ามการทานดื่มของนาง ไม่ให้นางทานจนอิ่มพุงกางจนเกินไป ดังนั้นนางต้องคว้าโอกาสนี้ไว้แน่น นำความรู้สึกคับข้องใจที่ไม่สามารถทานดื่มได้อย่างตามใจปากในยามปกติ ระบายทุกอย่างออกมาให้เต็มที่ นางรู้ว่าพออยู่ต่อหน้าธารกำนัล แม่สามีไม่สามารถตำหนินางต่อหน้าได้อย่างแน่นอน
หวังซื่อมองนาง ปวดศีรษะหนึบขึ้นมาพักหนึ่ง ั้แ่อาหารเริ่มวางบนโต๊ะ ปากของเหลียงซื่อก็ไม่ได้หยุดเลย ในปากยัดเนื้อพะโล้เข้าไปเต็ม ในมือยังถือเนื้อห่าน ในถ้วยยังกองเนื้อตากแห้งไว้ไม่น้อย
สตรีผู้นี้ตะกละได้มากเพียงใดกัน ถึงได้ทำท่าทางออกมาเช่นนี้ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าที่บ้านล้วนมีเนื้อครบสามมื้อ นางกลับทำท่าทางเหมือนไส้แห้งไม่เคยทานเนื้อมานานสิบปีเช่นนี้ออกมาเสียได้
เหลียงซื่อเห็นสีหน้าไม่น่ามองของแม่สามีแวบหนึ่ง รีบก้มหน้าทำเป็มองไม่เห็นทันที ต่อให้กลับไปถูกด่าพักหนึ่งก็ต้องทานให้คุ้มแล้วค่อยว่ากัน
ชุ่ยจูก็มองเห็นสถานการณ์เช่นนี้อยู่ในสายตา รู้สึกอับอายขายหน้าอย่างมาก มารดาของนางนับั้แ่คลอดผิงซั่น ก็ไม่สามารถลดน้ำหนักลงไปได้เลย ทุกมื้อล้วน้าทานจนท้องกลมแน่น ถึงจะตัดใจลุกจากโต๊ะได้
ท่านย่ากับท่านพ่อเคยว่านางหลายครั้ง นางถึงได้ฝืนบังคับเปลี่ยนแปลงนิสัย แต่เมื่อนางไม่ได้ทานอาหารให้จุใจบนโต๊ะ ก็จะหลบเข้าไปแอบทานในห้องครัว หากเป็ชุ่ยจูอยู่ในห้องครัวด้วยกัน นางจะทานอย่างกล้าหาญไม่หลบซ่อน จากนั้นก็จะกล่าวเตือนนางไม่ให้บอกหวังซื่อ
เจินจูมองเหลียงซื่อด้วยความไม่สบายใจ เมื่อก่อนตอนที่บ้านยากจน รูปร่างของเหลียงซื่อได้สัดส่วนอย่างดีอยู่ตลอด ก็ไม่เห็นว่านางจะชอบทานมากเช่นนี้ พอั้แ่นางตั้งท้องผิงซั่น ความเป็อยู่ทางบ้านก็เริ่มดีขึ้นช้าๆ อาหารบนโต๊ะก็เปลี่ยนไปจนอุดมสมบูรณ์ และยิ่งควบคุมการทานไม่ได้ยิ่งขึ้น
รูปร่างของนางคล้ายกับลูกโป่ง เวลาผ่านไปไม่นานก็อ้วนท้วนขึ้นมา จนกระทั่งตอนนี้ผิงซั่นอายุสามปีแล้ว นางกลับไม่ต่างจากตอนอุ้มท้องผิงซั่นมากนัก ไปจนกระทั่งอ้วนขึ้นกว่าตอนนั้นเล็กน้อยอีกด้วย
คงไม่ใช่เป็ปัญหาอย่างความผิดปกติของการรับประทาน [1] หรอกใช่หรือไม่ เจินจูพิจารณาเหลียงซื่อขึ้นลงอย่างสงสัย
หวงซื่อกับเจี่ยงซื่อลอบสบตากันหนหนึ่ง สำหรับเหลียงซื่อที่ลักษณะนิสัยเปลี่ยนไปจนทานเก่งผู้นี้ พวกนางเคยได้ยินมานานแล้ว หวังซื่ออุปนิสัยน่าเกรงขามอย่างร้ายกาจเพียงนั้น ก็ยังไม่สามารถควบคุมจุดบกพร่องการทานเก่งนี้ไว้ได้ ทำตัวเองจนอ้วนเป็หมูขึ้นทุกวันจริงๆ
หลี่ซื่อมองท่าทางเช่นนี้ของพี่สะใภ้ตนเอง จึงขมวดคิ้วขึ้นอย่างสลดใจ เวลาอยู่ร่วมกันของพวกนางไม่มาก แต่ก็ไม่เคยส่งเสียงเอะอะโวยวายหรือแสดงอารมณ์ต่อกัน ท่าทางของนางเช่นนี้จึงทำให้หลี่ซื่อรู้สึกสมเพชเวทนาเล็กน้อย
เหลียงซื่อกลับไม่ได้พะวงกับบรรดาสายตาของพวกนาง ในดวงตาของนางราวกับมีเพียงเนื้อเท่านั้น
หวังซื่อลอบถอนหายใจหนึ่งเฮือก ไม่ได้คาดหวังกับนางอีก
หลังงานเลี้ยงเสร็จสิ้น เจินจูกับหวังซื่อจึงพากันเก็บกวาดภาชนะต่างๆ
“ท่านย่า ท่าทางของท่านป้าสะใภ้นี่ไม่ค่อยถูกต้องเล็กน้อยหรือไม่เ้าคะ?”
การกระทำในมือหวังซื่อหยุดชะงักไปพักหนึ่ง พลางถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “อาจเป็ยามปกติข้ากดขี่นางจนเกินไป นางรู้ว่าอยู่ข้างนอกข้าไม่กล้าพูดจาเพราะต้องรักษาหน้าตาไว้ ไม่มีทางดุด่านาง ดังนั้นเลยตั้งใจทานอย่างสุดชีวิต”
“ท่านย่า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าจะบอกว่า ท่านป้าสะใภ้ทานลงไปเช่นนี้ เกรงว่าร่างกายจะรับไว้ไม่ไหว เมื่อสักครู่เห็นนางเดินได้ลำบากแล้วนะเ้าคะ” ยุคนี้น่าจะไม่มีการพูดถึงโรคความผิดปกติของการรับประทาน อืม... จัดการไม่ง่ายจริงๆ
“เฮ้อ ย่าก็รู้ แต่นางไม่ฟังการโน้มน้าวใดๆ เลย บนโต๊ะทานไม่เท่าไร พอหมุนหลังไปก็วิ่งแจ้นเข้าห้องครัวไปแอบทานอีก ย่าไม่สามารถดูแลนางได้ตลอด” หวังซื่อส่ายหน้าด้วยความระอายใจ
เจินจูขมวดคิ้วและกล่าวโน้มน้าว “ท่านย่า ไม่เช่นนั้น ให้ท่านลุงพานางไปฝูอันถังนั่งให้ท่านหมอตรวจสักหน่อย ชอบทานมากเพียงนี้ ไม่แน่ว่าอาจเจ็บป่วยอะไรขึ้นก็ได้นะเ้าคะ”
หวังซื่อตะลึงทันที ถามอย่างไม่มั่นใจ “ความตะกละยังสามารถเจ็บป่วยได้ด้วยหรือ? นางเพียงชอบทานเท่านั้นเอง”
“ท่านย่า เมื่อก่อนร่างกายของท่านป้าสะใภ้ปกติมากมาโดยตลอด ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนมาเป็เช่นนี้เลย พานางไปตรวจดูหน่อย ไม่แน่ว่าท่านหมออาจมีวิธีรักษาโรคตะกละของนางได้” เจินจูแสดงความคิดเห็นอย่างจริงใจ
โรคตะกละ? มุมปากหวังซื่อกระตุก มีอาการของโรคตะกละจริงด้วย
“ได้ ระยะนี้ท่านลุงเ้ายุ่งกับการไปรับหมูยังไม่มีเวลา รอข้าเข้าเมืองไปซื้อของ จะพานางไปด้วยตัวเอง”
“ผ่านไปอีกสองวัน ท่านพ่อจะนำกระต่ายไปมอบให้ฝูอันถัง พวกท่านตามไปด้วยก็ได้แล้วเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นไม่ได้ พ่อเ้าลากท่านอาเจิ้งของเ้าไปด้วย แล้วยังขนกระต่ายไปเต็มเกวียนอีก หากรวมข้ากับท่านป้าสะใภ้ของเ้าไปด้วย ล่อน่าจะเหนื่อยตายเลย”
“…”
“ข้าให้ท่านปู่เ้าเร่งเกวียนวัวไปส่งพวกข้าเข้าเมืองก็ได้แล้ว”
“…เช่นนั้นก็ดีเลยเ้าค่ะ”
“คุณชาย เหวยจื่อยวนตายแล้วขอรับ”
ภายในห้องหนังสือของที่พักไท่อัน เฉินเผิงเฟยรายงานด้วยสีหน้าอึมครึม
“เกิดอะไรขึ้น? เขาต่อต้านหรือ?” กู้ฉีวางตำราในมือลง
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าน้อยพบเขาอยู่หลังถนนดอกโบตั๋น ตอนแรกเขานั่งรถม้ากลับมาพร้อมกับพวกข้าแต่โดยดี ทว่าขณะที่รถม้าผ่านถนนใหญ่ทางเหนือ พบเข้ากับขบวนม้าขององค์ไท่จื่อ เหวยจื่อยวนไม่สนใจเลยว่ารถม้ากำลังวิ่งอยู่ จู่ๆ เขาก็ะโลงไปอย่างทันทีทันใด วิ่งมุ่งตรงเข้าไปยังกลุ่มคนขององค์ไท่จื่อ ข้าน้อยไม่กล้าเข้าไปยับยั้ง เพราะองครักษ์ข้างกายองค์ไท่จื่อมีมากนักขอรับ”
เฉินเผิงเฟยตำหนิตัวเองเล็กน้อย เขาขี่ม้าตามอยู่ข้างรถม้าตลอดเวลา หากตอนที่เหวยจื่อยวนะโลงจากรถม้าและรีบจับตัวเขาไว้ อาจยังรั้งชีวิตของเขาไว้ได้อยู่
บนความเป็จริง เหวยจื่อยวนได้คำนวณไว้แม่นยำแล้ว เขาะโลงจากรถม้าจะหันไปร้องขอความช่วยเหลือจากกลุ่มองค์ไท่จื่อ จึงทำให้องค์ไท่จื่อที่กำลังเดินทางอย่างเร่งรีบลดระดับความเร็วลง
แต่ตอนที่เหวยจื่อยวนวิ่งถลาไปหน้าขบวนม้าขององค์ไท่จื่อ องค์ไท่จื่อกลับมองมาทางเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาหนาวเหน็บ หลังจากนั้นเฆี่ยนแส้ม้าลงไปอย่างโเี้
แส้ม้าเส้นยาวเฆี่ยนลงบนใบหน้าเหวยจื่อยวน เืสีแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมาจากปากเขาในชั่วพริบตา เขาร้องโหยหวนล้มลงบนพื้นทันที แส้ยาวขององค์ไท่จื่อสะบัดลงไปอย่างต่อเนื่อง เฆี่ยนจนทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเืสีแดงสด จากนั้นแค่นเสียงเ็าอย่างโเี้อำมหิตไม่แยแส พร้อมควบม้าจากไป
เหวยจื่อยวนล้มอยู่บนพื้นดวงตาเบิกกว้างตกตะลึงและอ่อนล้า เืแดงสดไหลออกจากตา จมูก และปากของเขาไม่ขาดสาย เขาดิ้นชักไปมาด้วยความเ็ปทรมานไม่หยุด มองดูขบวนองค์ไท่จื่อจากไป เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าการที่เขาทรยศต่อนายเก่า เพื่อไปขอพึ่งพาอาศัยองค์ไท่จื่อจะได้รับจุดจบเช่นนี้
อันที่จริงก็นับว่าเขาโชคไม่ดี หานเซี่ยนโดนเรียกเข้าไปในวังแต่เช้าตรู่ ถูกฮ่องเต้หานเซียงชี้หน้าดุด่าอยู่พักหนึ่ง บอกว่าเขารวบรวมพรรคพวกทำเื่เลวร้าย แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว อุปนิสัยโเี้ เห็นชีวิตคนเป็ผักปลาต้นหญ้าไร้ค่า สาสน์กราบทูลของฝ่ายตรวจการที่ยื่นร้องเรียนไม่ไว้วางใจเขา กองบนโต๊ะทรงงานเสด็จพ่อเต็มไปหมด เขาถูกบังคับให้กักขังตัวเป็เวลาสามเดือน ไม่ได้รับอนุญาตเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
เมื่อหานเซี่ยนออกจากประตูเมือง ความโมโหอย่างรุนแรงภายในใจสูงขึ้นจนถึงระดับขีดสุด ตาแก่น่าตายผู้นี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจวนจะตายอยู่รอมร่อกลับถูกช่วยชีวิตขึ้นมาอีก จางเชียนหย่วนไอ้งี่เง่าเวรตะไลนั่นเขาก็จัดการไม่ได้ ไอ้ตัวหมัดพวกนั้นที่ถวายโอสถสมุนไพรขึ้นไปประจบ พวกมันต้องตายไปให้พ้นหน้าเขาทั้งหมด! จงไปตายเสีย!
เมื่อเหวยจื่อยวนปรากฏออกมาใน่โมโหนี้ พอดีให้เขาหาทางระบายอารมณ์ออกมาได้ทันที จะสนที่ไหนว่าเป็คนหรือเป็ผี เมื่อขวางทางของเขามันก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต
ถึงอย่างไรเื่ร้องเรียนไม่ไว้วางใจเขาก็มีมากพอแล้ว เฆี่ยนคนปางตายบนถนนเท่านั้นเอง เขาไม่ได้้าชีวิตของมันโดยตรงเสียหน่อย
เหวยจื่อยวนยังไม่ทันถูกหามไปถึงโรงหมอก็ขาดใจตายไปเสียก่อน เืออกทั้งเจ็ดทวาร [2] ตายได้น่าเวทนาอย่างยิ่งยวด
กู้ฉีฟังคำรายงานของเฉินเผิงเฟยจบแล้วถอนหายใจหนึ่งที ไม่พูดไม่จาไปชั่วขณะหนึ่ง
“เ้าไปจัดการเื่งานศพของเขาให้ดี เบิกเงินจากห้องบัญชีไปห้าร้อยเหลียง ชดเชยให้คนในครอบครัวของเขา”
“ขอรับ ข้าน้อยรับทราบ”
“ทางด้านหลิวผิงยังไม่มีข่าวหรือ?” องค์ไท่จื่อกระทำการตามอำเภอใจเช่นนี้ ในใจกู้ฉีลึกๆ แล้วรู้สึกไม่เป็สุขอย่างยิ่ง
“ยังเลยขอรับ แต่จดหมายที่ส่งไปเร่งด่วน หลิวผิงน่าจะได้รับข่าวแล้วขอรับ” เฉินเผิงเฟยตอบ
กู้ฉีพยักหน้า กดความกังวลใจไว้ข้างใน “เ้าไปจัดการเื่เหวยจื่อยวนก่อน หลังจากนั้นคอยระมัดระวังการเคลื่อนไหวทางองค์ไท่จื่ออย่างใกล้ชิด”
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เฉินเผิงเฟยโค้งกายถอยไปด้วยความเคารพ
กู้ฉีคลึงหน้าผาก ภายในจิตใจวุ่นวายเล็กน้อย องค์ไท่จื่อลักษณะนิสัยดุร้ายโเี้ ถูกเขาจ้องเข้าเช่นนี้คล้ายกับมีดาบแขวนอยู่บนศีรษะ อาจลงมือฆ่าอย่างลับๆ ได้ตลอดเวลา
จวนสกุลกู้ถูกเปิดเผยออกมาในที่โล่งแจ้งแล้ว ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่ายแต่เกาทัณฑ์ลับยากระวัง ในที่โล่งแจ้งองค์ไท่จื่อย่อมไม่มีทางทำอะไรอย่างแน่นอน แต่วิธีการในที่ลับก็ยากที่จะกล่าวได้
ยังดีที่พระพลานามัยของฝ่าานับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ขอแค่ฮ่องเต้สามารถกลับมายึดกุมอำนาจราชสำนักได้อีกครั้ง เช่นนั้นสกุลกู้ก็จะยิ่งปลอดภัย
เชิงอรรถ
[1] ความผิดปกติของการรับประทาน คือ ความผิดปกติทางจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งนิยามจากนิสัยการกินที่มีผลกระทบทางลบต่อสุขภาพทางกายหรือจิตของแต่ละบุคคล ได้แก่ ความผิดปกติของการรับประทานแบบตะกละ (binge eating disorder) ซึ่งเป็การกินปริมาณมากในเวลาอันสั้น, โรคเบื่ออาหารสาเหตุมาจากจิตใจ ซึ่งเป็การกินน้อยมากและมีน้ำหนักตัวน้อย, โรคบูลิเมีย เนอร์โวซา เป็ลักษณะการกินมากแต่พยายามล้วงเอาอาหารออกมา, อาการอยากกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร (pica), ความผิดปกติแบบสำรอก (rumination), ความผิดปกติแบบเลี่ยง/จำกัดการกินอาหาร (avoidant/restrictive food intake disorder) ซึ่งเป็ลักษณะไม่อยากอาหาร และกลุ่มความผิดปกติในการรับประทานที่จำแนกไว้อื่นๆ มักพบโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้าและการใช้สารเสพติด (substance abuse) ร่วมด้วย
[2] เจ็ดทวาร ได้แก่ ตาสอง จมูกสอง หูสอง และปากหนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้