หลี่เยว่หยางน้องชายของหลี่เยว่สิงลูกชายคนเล็กของบ้านใหญ่ ปีนี้อายุสิบหกอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับเซี่ยชิงหลีพอดี วันนี้ทั้งสองพบกันเป็ครั้งแรกทว่ากลับสนิทกันอย่างรวดเร็ว
เมื่อชายหนุ่มคีบเห็ดสนผัดเข้าปากคำแรก ต่อมาตะเกียบของเขาก็ไม่หยุดทำงานอีกเลย
“นี่อาหยาง เ้ายังไม่ได้บอกพวกเราเลยนะ เป็อย่างไรบ้าง”
ลุงใหญ่ใช้เท้าสะกิดบุตรชายของตน
“ท่านพ่อ ข้าจะบอกพวกท่านทำไม ให้ท่านมาแย่งของอร่อยกับข้าหรือ”
จากนั้นาเล็กๆ ของการ่ชิงอาหารได้เริ่มขึ้น ทว่าครอบครัวของเซี่ยชิงหลีที่ทานล่วงหน้าไปก่อนอิ่มกันหมดแล้ว บัดนี้จึงเหลือเพียงบ้านหลี่ที่ต้องต่อสู้กัน
“ฮ้า!!! อิ่มจังเลย”
หลี่เยว่หยางเดินออกมารับลมหลังทานอาหาร บ้านตระกูลหลี่เมื่อยามเปิดประตูหน้าเรือนฝั่งตรงข้ามคือทุ่งนางเขียวขจีมีต้นไม้โบราณยืนต้นตระหง่านอยู่กลางทุ่ง เมื่อถึงยามเช้าก็สามารถมองเห็นพระอาทิตย์โผล่พ้นทิวเขาพร้อมหมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่ง
บรรยากาศทิวทัศน์ช่างสวยงาม
เซี่ยชิงหลังช่วยเก็บกวาดโต๊ะอาหารจึงตามหลี่เยว่หยางออกมา เพราะนางคิดวิธีทำเงินก้อนแรกได้แล้ว และคนที่จะช่วยนางคือหลี่เยว่หยางและหลี่ิเจ๋อที่กำลังจะแต่งงานในปีหน้า สองคนนี้ไม่มีภรรยาคอยควบคุมดังนั้นจึงสามารถจูงใจได้ง่าย
“พี่เยว่หยาง ท่านคิดว่าเห็ดสนวันนี้อร่อยหรือไม่”
หญิงสาวเอ่ยถามเพื่อหยั่งเชิง
“อร่อยสิ อร่อยมาก เ้าเก็บมาจากที่ไหนหรือ วันหลังพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ งานในนาก็เสร็จหมดแล้วข้าอยู่ว่างๆ พอดี”
“เื่นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้ามีข้อเสนอหนึ่งท่านลองฟังดูหรือไม่”
เซี่ยชิงหลีเอ่ยถึงการนำเห็ดสนไปขายที่ร้านอาหารในเมือง หากได้ราคาดีก็ยึดเป็อาชีพหลัก่นี้ได้เลย ก่อนเข้าฤดูเก็บเกี่ยวน่าจะทำเงินได้ไม่น้อย หลี่เยว่สิงเดินตามออกมาพบสองคนยืนซุบซิบบางอย่าง จึงเดินเข้าไปดู
“พวกเ้าคุยอะไรกัน!”
“เอ๊ย!! พี่ใหญ่!มีอะไรหรือ มาเงียบๆ ข้าใหมด...”
หลี่เยว่หยางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพี่ชายส่งเสียงจากทางด้านหลัง
“เปล่า...ข้าแค่จะมาถามหลีเอ๋อว่าเห็ดสนที่เราทานวันนี้จะสามารถขายในเมืองได้หรือไม่”
หญิงสาวไม่คิดว่าพวกเขาจะสนใจเื่นี้ด้วย
“ท่านเองก็สนใจหรือ”
“สนใจอะไร...”
หลี่เยว่สิงไม่เข้าใจคำถามของนาง น้องชายของเขาจึงเป็ผู้อธิบาย
“ข้ากับหลีเอ๋อกำลังปรึกษากันว่าจะเก็บเห็ดสนไปขายในเมือง พอดีท่านก็เข้ามา”
“แล้วทำไมต้องออกมาปรึกษากันสองคน”
ชายหนุ่มมองคนทั้งสองด้วยท่าทางสงสัย เซี่ยชิงหลีจึงเอ่ยสิ่งที่กังวลออกมา
“ก็เพราะข้ากลัวพวกท่านไม่เห็นด้วยไม่ใช่หรือ”
อย่างไรการนำเห็ดมาปรุงอาหารก็ไม่มีให้เห็นบ่อยนัก หากถูกเข้าใจว่ากินไม่ได้ที่ทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า จำต้องทดลองกับหลี่เยว่หยางดูก่อนว่าขายได้จริงหรือไม่ แต่คำตอบของอีกฝ่ายทำเอานางถึงกับอึ้ง
“พวกเราปรึกษากันแล้วถึงได้มาถามความเห็นของเ้า”
“พวกท่านปรึกษากันแล้วหรือ...แหะ แหะ รวดเร็วจริงๆ”
หญิงสาวไม่คิดว่าคนสกุลหลี่จะเปิดใจเร็วขนาดนี้ นี่แค่อาหารธรรมดาเท่านั้นถึงกับทำให้พวกเขาต้องประชุมวางแผนกันเชียวหรือ
“พี่เยว่สิง เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ให้คนที่ว่างตามข้าขึ้นเขาเถอะ ข้าจะสอนให้พวกท่านรู้จักกับเห็ดสน”
เช้าตรู่วันต่อมา
ดวงตะวันยังไม่พ้นขอบฟ้าดี เซี่ยชิงหลีก็ตื่นขึ้นมาดูอาการาเ็ของมารดา ตอนนี้าแของนางดีขึ้นมากแล้วหากพักอีกสักสิบวันก็สามารถเดินเหินได้ปกติ
“พี่ใหญ่ ข้าต้มยากับโจ๊กเอาให้ท่านแม่แล้ว สายสักหน่อยท่านช่วยอุ่นให้นางด้วยนะ....ส่วนของท่านข้าทำเจียนปิ่งไส้เนื้อเตรียมเอาไว้ในครัว ตั้งใจอ่านตำราล่ะ...สู้ๆ”
หญิงสาวคว้าตะกร้าไม้ไผ่สะพายขึ้นหลัง คนตระกูลหลี่ล้วนเตรียมพร้อมรอที่หน้าเรือนเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นในเรือนจึงเหลือเพียงห้าคนคือเซี่ยจื่ออี้ที่ขาไม่ดี มารดาของเขา แม่เฒ่าโจวที่กำลังป่วย ตู้เฟิงอิงและเถาเถาน้อยบุตรสาวของนาง ส่วนผู้เฒ่าหลี่มีหรือจะพลาดติดตามไปด้วย เพราะชายชราอยากเห็นสถานที่ที่หลานสาวจับหมูป่าด้วยตาตนเอง
ชาวบ้านที่ตื่นเช้าเตรียมตัวจะไปไร่นามองคนบ้านหลี่ทั้งเด็กทั้งแก่มีดวงตามุ่งมั่นเดินขึ้นเขาราวกับกำลังจะเตรียมเข้าสู่สนามรบ
“ทุกคนฟังทางนี้ สถานที่แห่งนี้คือสมรภูมิของพวกเรา ต้องสอดส่ายสายตามองหาให้ดี เห็ดสนทุกต้นคือเงินค่าอาหารของเรา...เริ่มได้”
หญิงสาวสาธิตวิธีการหาเห็ดสนให้ทุกคนดู ตอนนี้เซี่ยชิงเป่าและอาเหิงคือผู้เชี่ยวชาญเพราะเคยเก็บมาแล้ว
หญิงสาวปล่อยให้พวกเขาก้มหน้าก้มตาเก็บเห็ดไป ส่วนตนเองคิดปลีกตัวตามรอยหมูเหมือนคราวก่อน ทว่ากลับถูกผู้เฒ่าหลี่ขวางทางเอาไว้
“เ้าคิดจะไปคนเดียวหรือ”
“ท่านตา...แหะ แหะ ใครคิดแบบนั้นกันเล่า ข้ากำลังจะตามท่านอยู่พอดี”
หลังจากพูดคุยสองตาหลานก็เดินหายเข้าไปในป่า เมื่อไปถึงปลักที่พวกหมูป่าเคยเล่นโคลน วันนี้กลับไม่มีแม้แต่ตัวเดียว ดูเหมือนพวกมันจะหนีไปหมดแล้ว
“น่าเสียดาย ดูเหมือนเราสองคนคงต้องกลับบ้านมือเปล่า”
นางอุตส่าห์ให้ท่านตาแบกหน้าไปยืมธนูของนายพรานในหมู่บ้าน ทว่าเมื่อมาถึงกลับไม่มีหมูป่าแม้แต่ตัวเดียว
“เอาเถอะ ไม่มีก็ดีแล้ว รู้หรือไม่ว่าหมูป่าอันตรายเพียงใด”
“ข้ารู้แล้วเ้าค่ะ”
เมื่อเป้าหมายไม่อยู่สองตาหลานจึงเดินกลับออกมา ระหว่างทางเซี่ยชิงหลีพึ่งสังเกตเห็นสมุนไพรขึ้นอยู่โดยรอบตลอดทางเดิน เพื่อไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไปจึงชวนชายชราพูดคุยไปพลางๆ
“ท่านตา หมู่บ้านสือโถวมีหมอหรือไม่”
“ไม่มีหรอก หมู่บ้านของเราเมื่อยามเจ็บป่วยก็มักจะเดินทางไปหาท่านหมอหลิวที่หมู่บ้านสือซาน ท่านยายของเ้าก็ได้รับการรักษาจากท่านหมอหลิวเช่นเดียวกัน”
“เช่นนั้นมีคนรู้จักสมุนไพรหรือไม่”
เซี่ยชิงหลียังคงถามต่อ
“จะมีได้อย่างไร คนที่รู้เื่สมุนไพรอำเภอเราแทบนับนิ้วได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็เื่ที่ต้องรู้เฉพาะคนที่เคยร่ำเรียนมาอย่างนั้น”
“เช่นนั้นถ้าข้าบอกว่าข้ารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็สมุนไพรท่านตาเชื่อหรือไม่”
หญิงสาวชี้ไปยังชวนซินเลี่ยน (ฟ้าทะลายโจร) ที่ขึ้นเต็มทั่วบริเวณ ชาวบ้านทั่วไปมักจะมองว่าเป็พิษเพราะความขมของมัน
“หลีเอ๋อ เ้าจะบอกว่าตนเองรู้เื่สมุนไพรหรือ”
“ใช่สิเ้าคะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ไหว้หมอพเนจรท่านหนึ่งเป็อาจารย์ กระทั่งตอนนี้ที่พูดได้ก็ไม่ใช่ฝีมือของอาจารย์ข้าหรือ”
ชายชราหันมายิ้มกับหลานสาวผู้โชคดีของตน
“ดี! ดีจริงๆ ไม่คิดว่าในความโชคร้ายของพวกเ้าจะยังมีเื่ดีๆ อยู่ด้วย นี่ท่านแม่ของเ้ารู้เื่นี้หรือยัง”
“อืม...ท่านแม่ของข้าจะรู้หรือไม่นั้น...าแของนางข้าก็เป็คนรักษา อีกอย่างข้ายังคิดว่าจะใช้ความรู้ของตนพัฒนาเป็อาชีพ ต่อไปครอบครัวของเราจะต้องร่ำรวยไปด้วยกัน”
สองตาหลานเดินพูดคุยอย่างเพลิดเพลิน หูที่ได้รับการฝึกฝนของเซี่ยชิงหลีพลันได้ยินความเคลื่อนบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป
“ท่านตา!...รอสักครู่”
หญิงสาวเปลี่ยนจากท่าทางที่ดูขี้เล่นเป็จริงจังในทันที ร่างบางย่องตามเสียงนั้นไปเมื่อพ้นเขตป่าสมุนไพรกลายเป็ลานทุ่งกว้าง ที่นั่นมีสัตว์ป่ามากมายกำลังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลิน
ทันใดนั้นกวางหนุ่มตัวเขื่องค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากแนวพุ่มไม้
มันเดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า ด้วยจังหวะที่สงบและเปี่ยมด้วยความมั่นใจ จมูกของมันก้มลงเล็มยอดหญ้าอ่อนสีเขียวสดอย่างละเมียดละไม ทว่าทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความระมัดระวังแม้จะไม่มีภัยใดปรากฏให้เห็น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้