ูเากระดูก มีหิมะขาว มีกระดูกขาว มีกระท่อมไม้ มีโคมไฟ และมีผ้าพลิ้วไสวไปตามแรงลม
บรรยากาศทั้งเงียบและสงบ นี่คือความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้ ทว่ายามที่เฉินโย่วลอบแหวกม่านออก ในชั่วพริบตาทุกคนราวกับว่าได้กลับไปยังูเากระดูกลูกเดิม
ในปีนั้นยามที่ต้อนคนออกมาจากถ้ำเชลย พวกเขาก็มีสภาพเช่นนี้
ร่างกายแข็งทื่อราวท่อนไม้ แขนพิการขาขาด ผอมแห้งจนหนังติดกระดูก ใบหน้าซูบตอบราวผีร้าย คนเหล่านี้เบียดเสียดกันอยู่ในรถม้าหนึ่งคันล้วนมีแต่สตรี บ้างก็มีสีหน้าหวาดกลัว บ้างก็เ็าราวกับไร้อารมณ์
รถม้าตรงหน้าดูราวกับนรกขุมหนึ่งที่ผุดขึ้นมา ไม่แปลกใจว่าเหตุใดท่านนายอำเภอเมื่อส่งมอบคนเสร็จก็ทำท่าจะรีบเผ่นหนีไป
ร่างกายของเด็กหญิงราวกับถูกสะกดไว้ ด้วยแรงปะทะที่พุ่งเข้ามาหานาง ไฟที่เผาไหม้อยู่ในร่างนานนับปี บัดนี้พลันปะทุอย่างรุนแรงอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจทนไหว แข้งขาพลันอ่อนแรงก่อนจะหมดสติไปทันที ราชครูที่กำลังหลบซ่อนตัวจากสายตาของท่านนายอำเภอ เมื่อเห็นท่าทางของเด็กหญิงก็รีบพุ่งมาทันที ทว่าก็ยังไม่อาจสู้ความว่องไวของอาลู่ที่พุ่งตัวมารับน้องสาวไว้ได้ก่อน
ใบหน้าชราของราชครูเต็มไปด้วยความร้อนใจ เ้าเด็กปีศาจนี่ไม่มีทางใจนเป็ลมไปแน่ นางขวัญกล้ายิ่งกว่าใคร จะตื่นใอย่างไรก็ไม่มีทางเป็ลม
“ให้ข้าดูที” ราชครูกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน
เมื่อครู่เขาเห็นคลื่นลูกหนึ่งบนกายขององค์หญิง คลื่นนั้นคือพลังจากคำสาปแช่งที่ดูเหมือนว่าจะพุ่งมาัักายนางโดยตรง
อาลู่ส่ายหน้าปฏิเสธ
ในมือของเด็กหนุ่มยังคงกอดน้องสาวไว้แล้วจึงโยกหัวเป็จังหวะ ก่อนที่จะกล่าวท่องประโยคหนึ่งออกมาอยากหนักแน่น “ปอ ตัว ฮา หลู่ จิ้น จือ ซี เยี่ยน”
เขาพึมพำอยู่เช่นนั้นหลายต่อหลายครั้ง เหมือนกับในอดีตที่เขาเคยอุ้มน้องสาวไว้แนบอกอยู่กลางทุ่งหญ้าที่แสนอ้างว้าง
ใต้สระกระดูกหมอกหนาก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวตามจังหวะของเด็กหนุ่มด้วยเช่นกัน เฉินโย่วไม่นานนักก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา
เมื่อนางลืมตาขึ้นประโยคแรกกลับกล่าวว่า “พี่ชาย ข้าเห็นท่านแม่แล้ว”
เขาก็ไม่รู้ว่ามารดาแท้ๆ ของนางคือใคร ยามนี้ท่านแม่ของเขาก็จากไปแล้ว
บางทีท่านแม่ของนางก็อาจไม่อยู่แล้วเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็ใคร คนคนนั้นก็ช่างโเี้นักที่นำเด็กทารกที่ยังมีชีวิตไปถ่วงลงแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น
อาลู่รู้มาตลอดว่าน้องสาวร่างกายไม่แข็งแรง เมื่อครู่ยามได้ยินนางกล่าวว่าเห็นท่านแม่ เขาก็ยิ่งหวั่นใจ
“อย่าพูดจาเหลวไหล” อาลู่พลันหน้าถอดสี ทว่าเฉินโย่วกลับปีนขึ้นมาและชี้ไปทางรถม้า ตรงนั้นมีสตรีนางหนึ่งที่ถูกสตรีกลุ่มใหญ่บังไว้
“นางดูคล้ายกับท่านแม่ของข้ามาก”
ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็งุนงง เพราะสตรีที่เฉินโย่วชี้ไป บนหน้านางเต็มไปด้วยรอยแผลเป็มากมายจนไม่อาจจะเรียกว่าใบหน้าได้อีกแล้ว รอยแผลเป็ทั้งแนวตั้งและแนวนอนพาดยาวสลับกันทั่วใบหน้า ไม่อาจมองเห็นเค้าเดิมของใบหน้าได้
ทว่าเฉินโย่วกลับกล่าวว่านางหน้าเหมือนมารดาของตน ส่วนเหล่าสตรีบนรถม้า เมื่อเห็นกลุ่มคนด้านนอกก็ตกตะลึง
คนเหล่านี้ดูไม่คล้ายว่าจะกินเนื้อคนเลยสักนิด นอกรถมีทั้งคนชรา ชายหนุ่ม เด็กวัยแรกรุ่น เด็กเล็ก และกระทั่งสตรี
ทว่าสตรีที่เด็กหญิงชี้อยู่นั้น กล่าวกันว่าเป็ถึงพี่น้องร่วมอุทรของอดีตฮองเฮา
ตระกูลหลานสมคบคิดกับข้าศึกก่อฏ ทั้งตระกูลล้วนได้รับโทษตาย
เหตุที่ใบหน้าของนางถูกกรีดจนเป็รอยเช่นนี้ ว่ากันว่าเพื่อเป็การแสดงความเคารพต่อราชวงศ์ ด้วยนางไม่อาจมีใบหน้าเหมือนกับใบหน้าของฮองเฮาได้
ไม่เพียงเท่านั้นนางยังถูกทำให้เป็ใบ้ ดังนั้นจึงมิเคยเอื้อนเอ่ยอันใด
แต่รูปร่างของนางอรชรนัก คนอื่นๆ นั้นยังพอเรียกขานผู้อื่นได้ ทว่านางนั้นกลับอยู่อย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งคำพูดใด
ในตอนนั้นเองหญิงชราขาด้วนในรถม้าก็พลันโพล่งดังขึ้น “ราชครู ราชครู ท่านคือคนที่์ส่งมาช่วยพวกเราหรือ ฮ่าๆๆๆ”
หลังจากเสียงหัวเราะของหญิงชราจบลง ก็พลันหายใจเฮือกขึ้นครั้งหนึ่งก่อนจะขาดใจตายทันที
ใบหน้านั้นยังมีรอยยิ้มค้างอยู่ เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงครั้งนี้ ช่างทำให้ทุกคนะเืขวัญนัก
เหล่าสตรีบนรถก็กลุ้มใจไม่ต่างกัน หญิงชราที่ผ่านมาก็ดวงแข็งหาใครเปรียบ คนในครอบครัวล้วนตายจากไม่เหลือแล้ว กระทั่งลูกสะใภ้ของนางก็ใกล้จะได้ไปเยือนเมืองผีจนถูกนำไปทิ้ง แต่หญิงชราเช่นนางกลับยังมีชีวิตอยู่ จวบจนทุกอย่างตรงหน้าเหมือนกำลังจะดีขึ้น นางกลับมาหัวเราะจนตายไปเสียดื้อๆ ทั้งยังะโว่าราชครูออกมาเสียงดัง
แม่นางหลัวที่ยังไม่ทันได้เห็นคนกลุ่มนั้นก็ได้คาดคะเนผลลัพธ์ไว้แล้ว กระนั้นก็ยังอดตื่นใไม่ได้
นายท่านสามเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็พลันตกอยู่ในภวังค์ ส่วนราชครูก็ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างกระอักกระอ่วน
ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้รู้จักใครมากมายนัก เหมือนว่านอกจากหญิงชราแล้วก็ไม่มีใครเรียกเขาว่าราชครูอีก ส่วนคนอื่นๆ ก็คิดว่าอาการวิปลาสของนางคงกำเริบจนตาย แม่นางหลัวสั่งคนให้พาเหล่าสตรีไปสงบสติอารมณ์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วเชิญท่านหมอหูมาตรวจร่างกายพวกนาง
……
แม้หญิงชราจะสิ้นใจแล้ว แต่ลูกสะใภ้ในอ้อมอกนางนั้นยังมีชีวิตอยู่
เหล่าสตรีถูกส่งไปยังกระท่อมหลังใหญ่ ในกระท่อมยังมีเตียงจัดเรียงไว้เป็แถวอีกหลายเตียง
ด้านนอกแม้จะยังมีหิมะอยู่ แต่ด้านในกระท่อมกลับอุ่นสบาย เพราะผนังเหนือเตียงของพวกนางนั้นมีท่อน้ำร้อนฝังอยู่
ด้วยเพราะโรงทอผ้าจำเป็ต้องใช้น้ำร้อนอยู่ตลอดเวลา น้ำร้อนที่มีเมื่อใช้หมดแล้ว ก็จะให้ส่งเพิ่มมาทางท่อเหล็กเหล่านี้ ดังนั้นกระท่อมหลังนี้จึงได้อบอุ่นนัก
ท่อเหล็กนี้ก็เป็สิ่งที่ท่านอาจารย์กัวอ่านมาจากตำราตกทอดประจำตระกูล ทุกคนก็ลองใช้วิธีการทำอาวุธกู่มาทำท่อเหล็กนี้ดู
อาวุธกู่ช่างใช้งานง่ายนัก ยามที่มันยังอ่อนอยู่ไม่ว่าจะเป็รูปร่างอะไรก็ได้ทั้งนั้น ทั้งยามแข็งตัวแล้วก็ทนทานเป็ที่สุด
ราชครูนั้นราวกับคนเหามากก็ไม่คัน หนี้เยอะก็ไม่หวั่น ถึงอย่างไรก็เอาแต่กล่าวว่าทุกสิ่งล้วนอ่านมาจากตำราประจำตระกูล ความจริงแล้วก็มีบางส่วนที่บรรพบุรุษกล่าวไว้จริงๆ ทว่าบางส่วนก็มาจากหนังสือล้ำค่าในวัง ผนวกกับคำชี้แนะจากองค์หญิงน้อย
แม้เขาจะไม่ค่อยสนใจองค์หญิงน้อยเท่าใด แต่จ้งเยียนศิษย์ของเขากลับเอาแต่กล่าวถึงนางอยู่ทุกวี่ทุกวัน
ไม่ว่าองค์หญิงน้อยจะตรัสอะไร เขาก็ล้วนจำได้
องค์หญิงน้อยมักจะมีความคิดอะไรพิสดารอยู่เสมอ ทว่าก็เพียงตรัสเื่นั้นเื่นี้ไปเรื่อย เพียงแต่เมื่อฟังดูแล้วนำมาวิเคราะห์ตาม ก็ดูเหมือนว่าความคิดเ่าั้จะเป็ไปได้ เช่นเดียวกันกับเื่การใช้น้ำร้อนมาทำให้ห้องอบอุ่น เมื่อก่อนเพราะไม่มีอาวุธกู่มาใช้ทำท่อเหล็ก จึงทำให้เื่นี้ไม่สำเร็จ ทว่าหลังจากใช้อาวุธกู่ลองทำออกมาดู ก็นับว่ามีประสิทธิภาพมากนัก
เหล่าสตรีจึงพากันนอนพักผ่อนในกระท่อมไม้ กระท่อมไม้นั้นไม่อาจกั้นเสียงได้ดีนัก เหล่าสตรีในกระท่อมจึงได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจจากนอกกระท่อม ทั้งยังมีเสียงสนทนา
แม่นางกลุ่มหนึ่งเอื้อนเอ่ยวาจาด้วยเสียงดังฟังชัด น้ำเสียงแหบต่ำยามหัวเราะขึ้นก็ะเืเลือนลั่น เสียงหัวเราะะเืฟ้าะเืดินของพวกนางพานจะพาให้หิมะถล่มลง
หากเป็เมื่อก่อนเหล่าสตรีในกระท่อมคงจะคิดว่าสตรีที่หัวเราะเช่นนี้ช่างหยาบคายเกินจะกล่าวอย่างแน่นอน ทว่าบัดนี้พวกนางกลับเฝ้าฝันจะได้มีชีวิตเช่นนี้
คนที่สามารถหัวเราะได้เช่นนี้ย่อมต้องมีความสุขมากเป็แน่ ในใจก็คงจะไม่มีเื่ทุกข์ร้อนอันใด
เหล่าสตรีไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะได้มีชีวิตเช่นนี้ ทว่ายามนี้ดูเหมือนว่าพวกนางจะไม่ต้องตายแล้ว
พวกเขาส่งพวกนางเข้ามาในกระท่อม สภาพเช่นนี้ของพวกนางที่ไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าห่มกายให้มิดชิด ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีชายคนใดเข้ามาในกระท่อมเพื่อย่ำยีพวกนาง กระทั่งชายมือขาดขาด้วนพวกนั้นก็ไม่เข้ามา ยิ่งกว่านั้นทุกคนยังได้เตียงคนละหนึ่งหลัง
ใช่ เป็เตียงจริงๆ
เตียงที่ยามเอนหลังลงแล้วก็ไม่อยากลุกขึ้นมา ้ายังปูด้วยผ้าฝ้าย ผ้าฝ้ายผืนสีขาวยามพวกนางนอนลง รอยเืบนกายก็เปรอะเปื้อนผ้าขาวเป็ด่างดวง เพียงพริบตาผ้าฝ้ายสีขาวก็สกปรกเสียแล้ว
ในใจของเหล่าสตรีพลันหวาดหวั่นขึ้นมา ทว่าต่อให้มีตรงไหนปริแตกหรือเป็แผลอีก สำหรับพวกนางก็ไม่นับว่าเป็เื่ใหญ่อันใด
พวกนางไม่สนทนากัน ไม่มีใครยินดีจะกล่าวอะไร เมื่อก่อนอาจจะเคยเป็สหายที่คุ้นหน้าคุ้นตา หรือจะเป็สหายที่ไม่คุ้นเคยกัน อาจจะแค่เคยก้มหัวทักทายกันในงานเลี้ยงมาก่อน กระทั่งอาจเป็คนในครอบครัวเดียวกัน ถึงอย่างนั้นพวกนางก็ล้วนแล้วแต่เคยถูกเหยียบย่ำเหมือนกัน ไร้เสื้อผ้าติดกาย มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ไม่มีโอกาสจะได้พบคนเก่าๆ ในชีวิตอีก
น้องสาวของฮองเฮาองค์ก่อน หลานอวี้ ยามนี้ก็นอนอยู่บนเตียงเช่นกัน
แววตาของนางจับจ้องไปบนเพดานอย่างว่างเปล่า ั์ตาไร้ซึ่งวี่แววของชีวิต
แม้ใบหน้าของนางจะถูกทำลาย แต่รูปร่างของนางกลับดีนัก ยามที่เอนหลังนอน หน้าอกยังถูกบดบังไว้ เผยให้เห็นเพียงเรียวขายาว ด้วยเหตุนี้นางจึงได้ถูกย่ำยีอย่างทารุณ ว่ากันว่าเหล่าบุรุษยามเสพสมกับนางต่างก็ใช้ผ้ามาปิดบังใบหน้าของนางไว้
สตรีคนอื่นๆ ในใจล้วนแต่เกิดความรู้สึกผันผวนราวกับเกลียวคลื่น แต่นางกลับไม่มี ยังคงนอนนิ่งไร้การเคลื่อนไหว
นางแน่นิ่งราวกับลูกสะใภ้ของหญิงชราที่นอนอยู่บนเตียงข้างกันก็ไม่ปาน
ทันใดนั้นนางก็ััได้ถึงผ้าห่มเนื้อนุ่มที่ค่อยๆ ไล้ลงมาปิดบนร่างนาง ข้างเตียงมีเด็กหญิงตัวน้อยกำลังดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายให้นาง นางหันศีรษะไปมองคราหนึ่ง
เด็กหญิงก็อ้าปากกล่าวขึ้น “ท่านน้า ห่มผ้าเถิด ไม่หนาวแล้ว”
เสียงเด็กหญิงสดใสก้องกังวาน
ภายในห้องที่แสนเงียบเชียบ ไม่ทันไรก็มีเสียงสตรีในห้องค่อยๆ ลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมกาย ปกปิดเรือนร่างไร้อาภรณ์ของพวกนาง ปกปิดรอยแผลทั่วร่างกาย ปกปิดความอัปยศของพวกนาง
เมื่อมีเสียงกรนเสียงแรกดังขึ้น ไม่นานก็มีเสียงกรนมากมายดังต่อมาอีกระลอก