เกาจิ่วมีช่องทางสืบเื่เหล่านี้ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “คุณหนูใหญ่หลิวฉลาดอ่อนโยน คุณหนูรองหลิวมีไหวพริบในการจัดการ ส่วนคุณหนูสามหลิวก็น่ารักน่าชัง ฮูหยินหลิวช่างมีวาสนาที่ดีเหลือเกิน”
เฉินซื่อยิ้มเบิกบานมากกว่าผู้ใด
ใครบอกว่าชีวิตบุตรสาวของตนย่ำแย่? นี่ปะไร เป็ผู้มีวาสนาดี นางยังมีหลานสาวที่ดีทุกคน
“ท่านแม่ ท่านมีนิสัยเดียวกับท่านพ่อั้แ่เมื่อไร!” หลิวเต้าเซียงลูบปลายจมูกอย่างเก้อเขิน แล้วหันไปถามเกาจิ่ว “นายท่านจิ่ว คนเปิดเผยไม่พูดจามีลับลมคมใน ท่านบอกมาตามตรงดีกว่า อีกเดี๋ยวเรายังมีงานที่หลังบ้านอีก!”
เกาจิ่วแอบบ่นไม่สนุกเลย เดิมทียังอยากหยอกแม่สาวน้อยเล่นสักหน่อย ใครจะรู้ว่านางไม่กินเหยื่อแม้แต่น้อย
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินคนในตำบลบอกว่า ครอบครัวเ้าเลี้ยงไก่กับหมูได้แข็งแรงดี หนึ่งปีมานี้เื่ที่ครอบครัวเ้าทำก็ล้วนอยู่ในสายตาข้าทั้งหมด สิ่งที่ไก่กลัวที่สุดก็คือความสกปรก หากสถานที่เพาะเลี้ยงสกปรกก็จะป่วยได้ง่าย ข้ายังได้ยินว่าเ้าจ้างคนมาช่วยทำความสะอาดเล้าไก่กับเล้าหมูโดยเฉพาะ”
หลิวเต้าเซียงตอบว่า “เื่นี้ไม่มีอะไรให้ปิดบังนายท่านจิ่ว เป็เช่นนี้จริง มีคนมอบตำราการเกษตรให้พ่อข้าไม่กี่เล่ม หนึ่งในนั้นมีตำราการเพาะเลี้ยงไก่กับหมู ที่ข้าทำแบบนี้ก็อิงตามในตำรา หากพูดถึงเื่นี้ ข้าเองยังมีเื่อยากขอร้องด้วย!”
“โอ้ อะไรหรือ?” เกาจิ่วไตร่ตรองในใจไปพลางว่านาง้าสิ่งใด
หลิวเต้าเซียงยิ้ม “มันไม่ใช่เื่ยาก แค่้าความช่วยเหลือจากนายท่านจิ่ว ไม่รู้ว่าที่ใดมีปูนขาว เดิมทีข้าอยากไปหาสถานที่ขายวัสดุน่าจะมี เพียงแต่เห็นว่าใกล้ปีใหม่แล้ว คงไม่มีบ้านไหนจะสร้างบ้าน วัสดุคงจะขายหมดไปแล้ว แต่บ้านข้ารีบร้อนต้องใช้ แต่ก็ยังหาไม่ได้”
“เ้าจะเอาไปทำอะไร?” เกาจิ่วไม่เข้าใจ
หลิวเต้าเซียงตอบว่า “ข้า้าโรยมันในเล้าไก่และเล้าหมู รอจนท่านนำไก่กับหมูเ่าั้ออกไป ด้านในคงโล่งไปกว่าครึ่ง ในตำรากล่าวว่าหากโรยสิ่งนี้ลงไป ผ่านไปเจ็ดวันก็โรยอีกครั้ง อีกครึ่งเดือนก็สามารถทำความสะอาดได้หมดจด เมื่อนำลูกไก่กับลูกหมูมาเลี้ยงในปีหน้า เ้าตัวเล็กเหล่านี้ก็จะไม่ป่วยง่ายๆ”
นางไม่อาจบอกกับเกาจิ่วได้ว่า ปูนขาวสามารถใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ เล้าไก่กับเล้าหมูจำต้องดูแลเื่ความสะอาดให้ดี มิฉะนั้นจะเกิดโรคระบาดในไก่กับหมูได้ง่าย ถึงตอนนั้นคงได้แต่ร้องไห้
เกาจิ่วอุทานว่า “ที่แท้ก็ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ? นั่นเท่ากับสามารถป้องกันโรคระบาดในไก่กับหมูได้น่ะสิ?”
“มันระบุว่าทำให้ไก่กับหมูไม่ป่วยง่ายๆ ข้าคิดว่าคงทำได้ แต่ก็ยังต้องดูแลใกล้ชิด ใครจะรู้ว่าโรคระบาดจะมารูปแบบใด”
หลิวเต้าเซียงไม่สามารถพึ่งพาห้วงมิติได้ทุกเื่ แม้ว่าจะมีหุ่นยนต์ขนาดเล็กของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดที่สามารถเข้าไปฆ่าเชื้อในตัวไก่ได้ นางรู้ว่าใต้หล้าไม่มีหน้าต่างบานใดที่ปิดมิด มีเพียงความระมัดระวังของตนเอง และการหวังพึ่งพาห้วงมิติแค่บางเื่ นี่จึงจะทำให้ผู้คนไม่เกิดความสงสัย
โอ้ อีกอย่างก็นางไม่้าให้มีคนตามล่าอยู่ด้านหลัง แล้วะโว่า ปีศาจ จะหนีไปไหน!
เฮ้อ!
เกาจิ่วรู้สึกทึ่งอีกครั้งและกล่าวว่า “ที่พูดมาก็ถูก จนถึงตอนนี้หมอหลวงยังไม่มีวิธีรักษาสองโรคนี้”
หมอหลวงจะทำได้อย่างไร? นั่นเป็เื่ของหมอสัตว์!
อย่างไรก็ตามหลิวเต้าเซียงไม่สามารถพูดออกมาได้
“ข้าเคยได้ยินหลี่เจิ้งบอกว่ามีสัตวแพทย์อยู่ในอำเภอ เื่นี้หากว่าให้หมอสัตว์จัดการ คงง่ายกว่า”
เกาจิ่วอึ้งไป ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าคนที่รับผิดชอบเื่นี้มาโดยตลอด เหตุใดถึงโง่เขลานัก!
หัวข้อนี้ทำให้ไม่อาจคุยกันอย่างสนุกสนานได้อีก เขาจดจำเื่นี้ไว้ ตั้งใจว่าจะแอบไปรายงานกับซูจื่อเยี่ย เช่นนั้นแล้วจึงเปลี่ยนเื่สนทนา “นี่ไม่เกี่ยวกับเรา ใช่สิ พวกเรามาในครั้งนี้ หลักๆ คือ้าบอกกับเ้าว่า ปีหน้าเ้าเลี้ยงเพิ่มมากกว่านี้ได้หรือไม่?”
“เพิ่มอีกหรือ?” หลิวเต้าเซียงถามเขาด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายสีทอง เหรียญทองแดงอีแปะลอยเต็มหน้าไปหมด
เกาจิ่วนึกถอนหายใจ เ้านาย เหตุใดจึงวิเคราะห์ได้ทั้งหมด กระทั่งปฏิกิริยาของแม่สาวน้อยก็เห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ไก่หนึ่งหมื่นตัว หมูหนึ่งพันตัว แล้วก็ เ้าสามารถเลี้ยงเป็ดได้หรือไม่ หากทำเป็ดเค็มได้ เช่นนั้นปริมาณคงเยอะมาก”
เขาได้รับคําสั่งจากซูจื่อเยี่ยให้ทำธุระนี้ ได้ยินมาว่าจางอวี้เต๋อที่ออกเรือไปส่งข่าวกลับมา เขาไม่ได้เดินทางไปไกลมาก เพียงแค่ไปเกาะต่างแดนที่อยู่ไม่ห่างจากราชวงศ์โจว แม้เป็เช่นนั้น แต่ไก่เป็ๆ เป็ดเค็มกับเนื้อหมูที่เขานำไปด้วยก็ขายจนหมดเกลี้ยง ได้ยินว่าทางนั้นไม่ค่อยมีของเหล่านี้...
ได้ยินมาว่ามีเพียงนกทะเลแล้วก็งูหลากหลายชนิด รวมถึงปลาหลายขนาดที่มีเกล็ดที่หนาและแข็ง เนื้อสดใหม่ แต่ไม่รู้ชื่อ มีประเภทหนึ่งที่มีขาแปดข้าง คล้ายกับปู แต่ตัวใหญ่มาก แล้วยังเป็สีแดง...
เกาจิ่วแสดงท่าทีว่าของต่างแดนช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน!
เมื่อดึงสติกลับมาก็เห็นหลิวเต้าเซียงขมวดคิ้วอยู่ จึงคิดว่านางอาจกำลังกังวลว่าเงินในมือจะไม่เพียงพอ จึงเอ่ย “คุณหนูรองหลิว มีเื่ลำบากใจตรงไหนหรือไม่?”
จางกุ้ยฮัวและเฉินซื่อที่อยู่ข้างๆ ได้ยินคำว่าไก่หนึ่งหมื่นตัว? หมูหนึ่งพันตัว? แล้วยังมีเป็ดอีกมากมาย? ถึงกับอึ้งไปตามกัน
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่า การที่ทุกคนคิดว่าบ้านหลังนี้มีฮวงจุ้ยดี นับเป็เื่จริง
“หา? โอ้ เื่นั้นไม่ได้ลำบากมาก เพียงแต่ว่า เหตุใดจึงอยากได้เป็ดด้วย?” หลิวเต้าเซียงไม่ได้อยากเลี้ยงเ้าสิ่งนี้มากนัก
เกาจิ่วตอบว่า “คุณหนูรองหลิวคงไม่ทราบ เป็ดเค็มนั้นขายดีมาก!”
ซึ่งหมายความว่าสามารถทำเงินได้มากมาย
หลิวเต้าเซียงตัดสินใจยากเล็กน้อย แม้ว่าหมู่บ้านสามสิบลี้จะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็ครบครันทั้งต้นไม้ลำธารและผู้คนดีๆ การเลี้ยงเป็ดจำนวนมากจะทำให้เกิดกลิ่นเหม็น อีกทั้งไม่สามารถทำบ่อมูลที่ใช้เพียงแค่แผ่นหินมาบังไว้ก็จะกลบกลิ่น หรือทำให้กลิ่นจางลงได้
เป็ดนั้นควบคุมยาก มักจะกินและถ่ายไปทั่ว ส่งกลิ่นเหม็นเกินไป นางไม่อยากทำลายสภาพแวดล้อมดีๆ ของหมู่บ้านสามสิบลี้ นางชื่นชอบทิวทัศน์ที่นี่ และชอบดื่มน้ำที่ไหลมาจากลำธารและบ่อน้ำที่หวาน
“การเลี้ยงเป็ดต้องใช้บึงน้ำขนาดใหญ่ กลิ่นของเป็ดนั้นเหม็นนัก หากลอยคลุ้งไปทั่วหมู่บ้าน คงทำให้คนรู้สึกแย่”
หลิวเต้าเซียงพูดถึงความลำบากของตนเองออกมา
เกาจิ่วคิดไม่ถึงในจุดนี้ โอ้ ถ้าจะพูดให้ถูกคือ เขาไม่รู้มาก่อนว่ากลิ่นของเป็ดจะเหม็นไปไกลสิบลี้
“แต่ถ้าเ้าทำเป็ดเค็มได้ กำไรจะสูงกว่าไก่เป็ๆ มากนัก”
หลิวเต้าเซียงขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็ดเค็มไม่ว่าจะตุ๋นด้วยน้ำใสหรือทำน้ำแดงก็มีรสชาติดี
นางเองก็ชอบกิน
“เื่นี้ข้าขอรับไว้ก่อน ครั้งหน้าข้าจะถามท่านพ่อ ดูสิว่าจะสามารถเลี้ยงไว้ที่ไหนได้บ้าง”
หากนางสามารถหาสถานที่เลี้ยงเป็ดได้จริงๆ นางก็ไม่รังเกียจที่จะหารายได้ให้กับครอบครัวอีกทาง
เกาจิ่วและนางได้พูดคุยในรายละเอียดเกี่ยวกับผลกําไรของเป็ดเค็ม พอคำนวณแล้ว เป็ดหนึ่งตัวหลิวเต้าเซียงจะได้กำไรสิบห้าอีแปะ ดูเหมือนจะน้อยไปหน่อย แต่ไข่เป็ดยังสามารถทำไข่เยี่ยวม้ากับไข่เค็มได้ ของเหล่านี้เกาจิ่วก็้า
“เช่นนั้นก็พักเื่นี้ไว้ก่อน ข้าต้องหาสถานที่ก่อน ทว่าเื่นี้คงต้องรอหลังปีใหม่ หรือไม่ เราไปดูที่หลังบ้านกันก่อนดีกว่า”
หลิวเต้าเซียงตาแหลม เมื่อเห็นผู้ติดตามที่เกาจิ่วพามากำลังเดินมาทางประตูหลังของห้องโถง
เกาจิ่วมองตามนาง ยิ้มแล้วเอ่ย “ไปดูด้วยกันเถิด วันนี้ข้านำตั๋วเงินมาไม่น้อย แน่นอนว่า มีเงินก้อนมาด้วยบ้าง”
เขาไม่เข้าใจว่า เหตุใดแม่สาวน้อยจึงชอบเงินก้อน แต่ไม่ชอบตั๋วเงิน!
เกาจิ่วไม่มีทางรู้ได้เลยว่า คนที่คลั่งไคล้เงินทองกำลังใจสั่นกับลูกเงินก้อนที่กองเป็ูเาด้วยความหลงไหลอย่างมาก
หลิวเต้าเซียงคำรามในใจ วันนี้ช่างสำราญใจจริงๆ!
เมื่อทั้งสองมาถึงสวนหลังบ้าน มีคนนำตาชั่งขนาดสูงเท่าคนมา ได้ยินว่าตาชั่งอันใหญ่นี้สำหรับวัดข้าวสาร
ทางด้านนั้นมีคนราวสี่ถึงห้าคนกำลังยกกรงไม้ขนาดใหญ่ มีคนจับตาชั่ง คนวัดสมดุลของตาชั่ง และคนบันทึกน้ำหนัก คนที่บันทึกก็ทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อได้ยินคนรายงานตัวเลข เขาก็เอ่ยย้ำ เมื่อมั่นใจจึงบันทึกไว้
จางกุ้ยฮัวเป็คนที่รู้หนังสือ เมื่อเห็นบุตรสาวคนรองกับเกาจิ่วยืนอยู่ด้วยกัน ตนเองจึงรับผิดชอบเดินไปทางคนที่บันทึก อืม แล้วก็คอยจับตาดู
ครึ่งชั่วยามผ่านไป กรงไม้ถูกชั่งทั้งหมด ถัดจากนั้นก็เปิดกรงไม้แล้ววางไว้หน้าเล้าหมู เมื่อหมูมุดเข้าไป ก็รีบปิดประตูกรงไม้อย่างรวดเร็วก่อนจะยกกรงพร้อมหมูขึ้นไปชั่งอีกรอบ แล้วนำกรงเปล่ามาทำแบบเดิมซ้ำๆ
ทุกอย่างดำเนินไปจวบจนถึงเวลาจุดเทียน จึงบรรจุทุกอย่างเสร็จสรรพ
เกาจิ่วเรียกหาลูกคิดและคำนวณตัวเลขที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้
หลิวซานกุ้ยยังคงเรียนเพียงครึ่งวัน เขากลับมา่พักทานอาหารเที่ยง จากนั้นก็รับหน้าที่ต่อจากหลิวเต้าเซียง
ขณะนี้เขากับเกาจิ่วกำลังคำนวณกันอยู่ใต้แสงไฟ
“หมูเหล่านี้เลี้ยงได้ดีนัก ตัวหนึ่งสามร้อยชั่งเศษ ส่วนไก่ก็เกือบห้าถึงหกชั่ง มีไก่ตอนมากกว่า ช่างเถิด ครั้งนี้ข้าขอรับไว้ทั้งหมด ครั้งหน้าไก่อาจจะต้องเลี้ยงน้อยหน่อย นอกจาก่ปีใหม่ ยามปกติไม่ค่อยมีคนซื้อ”
หลิวซานกุ้ยรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย เขาเองก็รู้สึกว่าไก่ตอนมีมากไปหน่อย จึงเอ่ย “อันที่จริงไก่ตอนรสชาติดีกว่าแม่ไก่มากนัก ที่นี่เรามักจะเอามาทำไก่น้ำแดง”
เกาจิ่วยิ้มและกล่าวว่า “เอาเถิด ่ปีใหม่คน้าไก่ตอนไม่น้อย ข้าจึงรับไว้ ถึงอย่างไรก็ส่งออก มีคน้าอยู่แล้ว”
เขาเปิดร้านอาหารจึงรู้ว่าไก่ตอนมีรสชาติดีที่สุด อร่อยกว่าแม่ไก่มากนัก
หลิวซานกุ้ยลุกขึ้นยืนและทำท่าคำนับให้เขา “ขอบพระคุณยิ่งนัก ปีนี้ได้เรียนรู้การเลี้ยงไก่ สะใภ้บ้านข้าก็ท้องโตขึ้นทุกวัน ลูกสาวทั้งหลายก็แยกแยะไก่ตัวผู้กับตัวเมียไม่ออก”
“ไก่ตอนก็มีข้อดีของไก่ตอน ไก่ตัวเมียก็มีข้อดีของมัน เพียงแต่ว่าคนบนโลกล้วนคิดว่าไก่ตัวเมียดีที่สุด อันที่จริง ไก่ตัวเมียนำมาต้มตุ๋นเป็น้ำแกงจะดีที่สุด แต่หากอยากกินเนื้อไก่จริงก็ต้องยกให้ไก่ตอน ซึ่งรสชาติดีที่สุด”
เขาคิดว่าด้วยไก่ตอนหนึ่งพันตัว เ้านายคงมีแผนจัดการต่างหาก
เกาจิ่วหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาและยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับนายท่านหลิวด้วย ปีใหม่นี้ของครอบครัวท่านคงเป็ปีใหม่ที่รุ่งโรจน์โชติ่แล้ว”
หลิวซานกุ้ยยิ้ม “นายท่านจิ่วเรียกข้าว่าซานกุ้ยเถิด!”
“ถ้าอย่างนั้นเ้าเรียกข้าว่าเกาจิ่วย่อมได้!” เกาจิ่วจิตใจดีตามเคย
หลิวซานกุ้ยก็ไม่ใช่คนที่เสแสร้งอะไร จึงตกปากรับคำ
“เช่นนั้นเรามาดูบัญชีกันก่อนเถิด” เกาจิ่วชูสมุดบัญชีในมือ
ครอบครัวหลิวเต้าเซียงเลี้ยงหมูสองร้อยกว่าตัวในปีนี้ เมื่อหักด้วยจำนวนหมูที่เก็บไว้ทำพันธุ์และที่ไว้ใช้่ปีใหม่ ก็ขายให้เกาจิ่วทั้งหมดสองร้อยตัว
เนื่องจากการเลี้ยงดูที่ดี หมูในปีนี้จึงกำยำเนื้อแน่น แทบจะหนักสามร้อยชั่งทุกตัว
เกาจิ่วดึงลูกคิดออกมาแล้วดีดเสียงดัง จากนั้นเอ่ย “ซานกุ้ย เ้าดูสิ หมูสองร้อยตัว ทั้งหมดหกหมื่นกับหนึ่งร้อยห้าเจ็ดชั่ง ตอนแรกที่คุยกันไว้คือ รับซื้อหมูจากครอบครัวเ้าชั่งละสิบสองอีแปะ ทั้งหมดเป็เงินเจ็ดร้อยยี่สิบเอ็ดตำลึงปาเฉียนกับอีกแปดสิบสี่อีแปะ”
จากนั้นหลิวซานกุ้ยก็คำนวณอีกครั้ง และแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
-----
