วันนี้เดิมทีม่อหลิงหานคิดจะให้เยว่เฟิงเกออยู่ข้างกายเขา แต่กลับได้ยินฉินหว่านพูดถึงเื่คืนนั้นที่เยว่เฟิงเกอช่วยรักษาาแให้ถานอี้ขึ้นมาเสียก่อน
หลังจากที่ได้ยินเื่นี้ ความโกรธก็คล้ายจะหวนกลับมา ตกลงว่าสตรีนางนั้นรู้หรือไม่สิ่งใดที่เรียกว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน
นางไม่เพียงถกกางเกงของถานอี้ขึ้น ทั้งยังลูบขาอีกฝ่ายด้วย
นี่นางไม่เห็นเขาที่เป็อ๋องอยู่ในสายตาบ้างเลยหรือ
ม่อหลิงหานที่เดิมทียังอารมณ์ดีอยู่ สุดท้ายก็ถูกเื่นี้ทำเอาโกรธจัด ดังนั้น เมื่อเยว่เฟิงเกอมาถึง จึงได้เห็นสีหน้าไม่น่ามองและสายตาเ็าอย่างที่เขาชอบเป็บ่อยๆ
ทีแรกม่อหลิงหานคิดว่าจะรอจนเยว่เฟิงเกอนั่งลงกินโจ๊กไปได้สักพักก็จะให้นางย้ายมานั่งข้างกาย มิคาดแค่กินโจ๊ก นางยังส่งเสียงดังเช่นนี้
นี่นางตั้งใจจะท้าทายขีดความอดทนของเขา ใช่หรือไม่?
ยามนี้ยิ่งฉินหว่านเห็นว่าสีหน้าของม่อหลิงหานย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ นางไม่กลัวตายโหมกระพือไฟให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม
“ท่านอ๋องเพคะ พระชายาเสวยโจ๊กเช่นนี้ ช่างไร้สง่าราศีเสียเหลือเกิน แม้แต่หม่อมฉันยังทนมองต่อไปไม่ได้แล้ว” ฉินหว่านพูดจบก็หยิบผ้าไหมชั้นดีขึ้นมาบดบังริมฝีปาก แอบอมยิ้ม
เยว่เฟิงเกอถลึงตามองฉินหว่านไปทีหนึ่ง ในสายตานางมีแววเ็าพาดผ่าน ทำให้ฉินหว่านรู้สึกเย็นสันหลังวาบ
“น้องหญิงฉิน เกรงว่าเ้าคงจะหลงลืมไปแล้ว ว่าความเ็ปที่กระดูกติดคอเช่นครั้งที่แล้วนั้น มันเป็อย่างไร วันนี้อยากจะลองดูอีกสักครั้งหรือไม่? ”
ฉินหว่านได้ฟังคำพูดนี้ของเยว่เฟิงเกอก็รีบก้มหน้าลงทันที นางกระแอมออกมาทีหนึ่ง จากนั้นตั้งอกตั้งใจกินอาหารตรงหน้า ไม่กล้ามองเยว่เฟิงเกออีก
เยว่เฟิงเกอเองก็ไม่มองม่อหลิงหานอีก นางกินโจ๊กคำใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะวางตะเกียบลงแล้วยืนขึ้นด้วยคิดจะจากไป
“หม่อมฉันกินเสร็จแล้ว ท่านอ๋องค่อยๆ เสวยนะเพคะ”
ม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกอกินโจ๊กไปแค่ถ้วยเดียวกับเกาเตี่ยนคำเล็กๆ คำเดียว จู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากให้นางจากไปเช่นนี้ จึงรีบร้อนเอ่ยปากรั้งคนไว้ “หยุดเดี๋ยวนี้”
“ท่านอ๋องยังมีเื่ใดอีกหรือเพคะ? ” เยว่เฟิงเกอหันศีรษะไปมองม่อหลิงหาน
ม่อหลิงหานตบๆ ที่นั่งว่างๆ ข้างตัว “มากินโจ๊กนี่มา”
“หม่อมฉันว่าอย่าดีกว่าเพคะ เพราะเสียงกินโจ๊กของหม่อมฉันอาจจะไปรบกวนท่านอ๋องได้ หม่อมฉันไปดีกว่าเพคะ” เยว่เฟิงเกอพูดจบก็คิดจะจากไป
ทว่า สายตาของม่อหลิงหานยามมองนางกลับยิ่งลึกล้ำ “เปิ่นหวางให้เ้ามา เ้าก็มา อย่าให้เปิ่นหวางต้องพูดซ้ำเป็ครั้งที่สอง”
เยว่เฟิงเกอเบะปาก แต่สุดท้ายก็ยอมอ่อนข้อ เดินเข้าไปหาเขา
นางนั่งลงข้างกายม่อหลิงหาน เห็นว่าอีกฝ่ายดันถ้วยโจ๊กที่ตักไว้เรียบร้อยแล้วถ้วยนั้นมาตรงหน้านาง
“กินโจ๊ก” ม่อหลิงหานพูดสั้นๆ จากนั้นก็ตั้งอกตั้งใจกินอาหารของตน
ชิงจื่อยืนมองดูอยู่ข้างๆ ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ยามนี้ท่านอ๋องทรงอารมณ์ไม่ดีเพียงนี้ เหตุใดยังต้องให้พระชายาไปนั่งข้างกายด้วย หรือว่า หากอยู่ใกล้จะสามารถลงมือกับพระชายาได้ง่ายกว่า?
เพราะในใจคิดเช่นนี้ มือที่คีบเกาเตี่ยนให้เยว่เฟิงเกออยู่จึงสั่นเทาน้อยๆ
เยว่เฟิงเกอหันศีรษะไปมองชิงจื่อ ส่งสายตาปลอบโยนให้
ชั่วขณะนั้นชิงจื่อถึงได้ค่อยๆ สงบใจได้ และกลับไปยืนคอยรับใช้อยู่ด้านหลังเช่นเดิม
เฉี่ยวอวี้ที่ยืนอยู่หลังฉินหว่าน เห็นการโต้ตอบระหว่างชิงจื่อและเยว่เฟิงเกอสองนายบ่าว ในสายตาของนางมีแววอิจฉาริษยาวาบผ่าน
เมื่อใดกันหนอที่นายหญิงของนางจะปฏิบัติต่อนางเช่นนี้บ้าง อย่าว่าแต่ส่งสายตาปลอบโยนให้นางเลย นี่เป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้
อาหารมื้อนี้เยว่เฟิงเกอกินอย่างไม่รู้รสชาตินัก ความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของม่อหลิงหาน ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบาย
ดังนั้น เมื่อกินโจ๊กตรงหน้าหมดพร้อมด้วยเกาเตี่ยนอีกสองชิ้น เยว่เฟิงเกอถึงได้ยืนขึ้น คิดจะจากไป
“เ้าจะไปที่ใด? ” เสียงของม่อหลิงหานดังเข้าหูเยว่เฟิงเกอ
นางหันศีรษะไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงถามนางเช่นนี้
“แน่นอนว่าหม่อมฉันย่อมต้องกลับไปที่เรือนเยว่เหยาเพคะ”
ไม่เช่นนั้นนางจะไปที่ใดได้ นี่เขาถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้วชัดๆ
ม่อหลิงหานวางถ้วยและตะเกียบลง จากนั้นใช้ผ้าไหมชั้นดีสีขาวสะอาดซับมุมปากแล้วกล่าวว่า “อย่าเพิ่งกลับไปเลย เปิ่นหวางจะเปลี่ยนเตียงแข็งๆ นั้นให้เ้า เปลี่ยนเป็เตียงหลังใหญ่ที่นุ่มขึ้นสักหน่อย ตอนนี้เกรงว่าพวกเขาจะกำลังลงมือทำงานกันอยู่”
เยว่เฟิงเกอได้ยินประโยคนี้ ก็มองม่อหลิงหานด้วยความสงสัย
เปลี่ยนเตียงให้นาง? เขาใจดีถึงเพียงนี้เลยหรือ?
ในเวลาเดียวกันนี้ ยามฉินหว่านได้ยินว่าม่อหลิงหานจะเปลี่ยนเตียงให้เยว่เฟิงเกอ ก็ถึงกับใจนเบิกตามองคนทั้งคู่
หรือว่าเื่ที่ลือกันในจวนจะเป็เื่จริง เมื่อคืนท่านอ๋องไปประทับค้างแรมที่เรือนของเยว่เฟิงเกอจริงๆ น่ะหรือ?
เป็นานฉินหว่านถึงเพิ่งจะหาเสียงของตนเองเจอ “ท่านอ๋อง เมื่อคืนทรงประทับค้างแรมที่เรือนเยว่เหยาของพระชายาจริงหรือเพคะ? ”
“จริงหรือไม่แล้วจะอย่างไร เกี่ยวอันใดกับเ้า? ” ม่อหลิงหานไม่ได้ปฏิเสธ เขาไม่แม้แต่จะมองฉินหว่านสักนิด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรังเกียจ
ฉินหว่านถูกคำพูดของม่อหลิงหานทำเอาสะอึกไป นางถลึงตามองเยว่เฟิงเกออย่างดุร้าย แต่กลับเห็นอีกฝ่ายเพียงกำลังมองม่อหลิงหานด้วยความงุนงง
ฉินหว่านแค่นเสียงเ็าในใจ “เยว่เฟิงเกอ เ้าจะดีใจตอนนี้ก็ยังเร็วเกินไปนัก วันหน้าต้องมีวันที่เ้าได้ร้องห่มร้องไห้เสียใจแน่”
เยว่เฟิงเกอไม่สนใจสายตาราวใบมีดแหลมคมยามที่ฉินหว่านมองมาทางนาง นางเพียงมองม่อหลิงหานด้วยความสงสัยใคร่รู้ไปทีหนึ่ง และเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าจะอธิบายแม้แต่น้อย ก็ไม่พูดอะไรมากอีก
ในเมื่อคนในจวนต่างก็ลือกันไปเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ให้พวกเขาลือกันไปเถอะ
อย่างไรเสีย นางก็เป็พระชายา ต่อให้จะค้างคืนร่วมกับม่อหลิงหานจริงๆ ก็นับเป็เื่ปกติธรรมดาที่เหมาะที่ควรอย่างยิ่ง
หลังมื้ออาหาร ม่อหลิงหานให้เยว่เฟิงเกอติดตามเขาไปยังเรือนอิ่งเซวียน
ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าม่อหลิงหานคิดจะทำสิ่งใด แต่ก็ยังคงติดตามอยู่เื้ัเขา
เมื่อคนทั้งสองมาถึงเรือนอิ่งเซวียน ม่อหลิงหานก็หยิบตำราเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้าเยว่เฟิงเกอ
“เอากลับไปอ่าน”
เยว่เฟิงเกอรับมาดู ้าเขียนไว้ว่า ‘หลักสามคล้อยตามสี่คุณธรรมของสตรี’
เยว่เฟิงเกออยากจะฉีกตำราเล่มนี้ทิ้งจริงๆ นางมองม่อหลิงหานอย่างดุร้าย เขาหมายความว่าอย่างไร คิดจะให้นางปฏิบัติตามหลักสามคล้อยตามสี่คุณธรรมของสตรีดังที่เขียนไว้ในตำราเล่มนี้หรือ?
ฝันไปเถอะ!
ม่อหลิงหานรู้ว่าเยว่เฟิงเกอคงไม่ยอมอ่านตำราเล่มนี้แน่ เพียงแต่เขาเองก็อยากเห็นว่าในอนาคตหากนางสามารถเปลี่ยนไปเป็ดังที่เขียนไว้ในตำราเล่มนี้ได้ กลายเป็คนที่อยู่ในกรอบอยู่ในกฎระเบียบ จะเป็อย่างไร ถึงตอนนั้นคงจะน่าสนใจไม่น้อย
ม่อหลิงหานเองก็หาได้รู้ตัวเลยว่า ตนกำลังค่อยๆ เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความชั่วร้ายทีละนิดๆ แล้ว
“หากว่าพระชายาไม่อยากอ่านตำราเล่มนี้ ที่เปิ่นหวางนี้ยังมีอีกเล่ม” ม่อหลิงหานพูดพลางหยิบตำราอีกเล่มขึ้นมา
เยว่เฟิงเกอรับมาดู สีหน้าดำคล้ำในทันทีเมื่อเห็นว่าหน้าปกตำรานั้นเขียนว่า ‘ว่าด้วยการฝึกตนของสตรี’
เยว่เฟิงเกอถลึงตามองม่อหลิงหานอย่างดุร้ายอีกรอบ กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ขอถามท่านอ๋อง ตำราสองเล่มนี้มิใช่กล่าวถึงเื่เดียวกันหรอกหรือ? ”
“เปิ่นหวางถึงได้อยากให้เ้าอ่าน” ม่อหลิงหานทำเป็ไม่สนใจสายตาราวใบมีดคมของเยว่เฟิงเกอ “วันนี้พระชายาแค่กินโจ๊กยังส่งเสียงไม่งามสง่าเช่นนั้นออกมา ดูท่าพระชายาคงต้องพัฒนาตนขึ้นอีกหน่อยแล้ว”
เยว่เฟิงเกอนำตำราทั้งสองเล่มนั้นซุกเข้าไปในเสื้ออย่างลวกๆ นางไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว มิเช่นนั้นม่อหลิงหานอาจจะหยิบตำราออกมาอีกเล่มก็เป็ได้
ม่อหลิงหานมองท่าทางเกรี้ยวกราดน่าเอ็นดูของเยว่เฟิงเกอ อารมณ์ที่เดิมทีคลุ้มคลั่งมืดดำ ก็มลายหายไปทันที
ในตอนนี้เอง เฉียวเฟยเดินเข้ามา “ทูลท่านอ๋อง เปลี่ยนเตียงที่ตำหนักเยว่เหยาเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้