“โอ๊ยโหยว” หลี่ลั่วร้องขึ้นครั้งหนึ่งพลางใช้มือลูบศีรษะของตน คนชั่วคนไหนกันนะที่แอบมาคิดบัญชีกับเขา? เขาเงยหน้ามองขึ้นไปด้วยความโมโหก็เห็นเพียงแค่กู้จวิ้นเฉินที่ยืนถือหนังสือพิงขอบหน้าต่างกำลังหลุบตาลงมามองเขาจากบนหอคอยนั่น
หลี่ลั่วโมโหแล้ว ไม่แกล้งคนแบบนี้สิ เขาคิดว่าเขาน่าจะปล่อยให้คนผู้นี้กลายเป็คนปัญญาอ่อน จากนั้นก็เป็อัมพาต สุดท้ายสิ้นสติแล้วก็ตายไปเลย ยิ่งคิดเช่นนี้หลี่ลั่วก็ยิ่งโมโหพร้อมกับก้าวขึ้นไปยังหอคอย เมื่อเขาขึ้นไปถึง้าก็หอบแฮกเสียแล้ว ร่างกายของเด็กวัยห้าขวบ ไม่จำเป็ต้องใช้คำพูดน่าฟังอันใดมาบรรยายลักษณะออกมา เขาถลึงตาใส่กู้จวิ้นเฉิน ราวกับจะใช้สายตาของตนถลึงใส่จนเขาตายไปอย่างไรอย่างนั้น
ดูสิ หนุ่มน้อยตรงหน้าเพียงแค่ยื่นมือกวักมาทางเขา จากนั้นก็ถามว่า “ไฉนจึงมายังจวนอ๋องได้เล่า?”
เชอะ นี่ตนหวังดีปีนต้นไผ่ขึ้นมาอย่างยากลำบากเพื่อให้เขารังแกตนใช่หรือไม่ ศักดิ์ศรีของคุณชายเล่าอยู่ที่ไหน? อารมณ์เหวี่ยงวีนของคนในยุคปัจจุบันล่ะ? หลี่ลั่วไม่ได้มีอารมณ์อะไรพวกนั้นทั้งนั้น เพื่อที่จะไปส่องหนุ่มหล่อในมหาวิทยาลัยแพทย์แล้วเขาถึงกับไปสอบเกาข่าวโดยไม่ฟังคำทัดทานของพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ คนเช่นเขานั้นนิ่งสงบไร้อารมณ์ใดๆ...แต่มีทิฐิดื้อรั้นอยู่สูงมาก
“ข้าตรวจวินิจฉัยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วอ้าปากได้ก็พูดประโยคนี้ออกไป
ได้ฟังแล้วส่วนลึกในแววตาของกู้จวิ้นเฉินจึงมีความยินดีเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา ทว่าภายในชั่วพริบตาก็พลันเลือนหายไป วินิจฉัยออกมาได้แล้วนั้นหมายความว่าอันใด? มีเพียงกู้จวิ้นเฉินเท่านั้นที่รู้ เมื่อสิบกว่าวันก่อนหลี่ลั่วพูดว่า้าเืของเขาไปตรวจสอบดู
เช่นนั้นที่วินิจฉัยออกมาได้แล้วนั่นก็คือ...กู้จวิ้นเฉินหรี่ตาลง ความคิดที่อยู่ในแววตาลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง
“ในโลกนี้มีเพียงข้าที่ถอนพิษได้” หลี่ลั่วพูดอีก
ทั้งสองฝ่ายต่างก็จ้องมองอีกฝ่ายหนึ่ง คนหนึ่งเป็เด็กน้อยวัยห้าขวบ อีกคนหนึ่งเป็หนุ่มน้อยในวัยสิบสามปี ในบรรยากาศมีความกระอักกระอ่วนน่าอึดอัดอยู่บ้างเล็กน้อย
ทันใดนั้นกู้จวิ้นเฉินโบกมือ “พวกเ้าออกไปให้หมด”
“เพคะ”
“ท่านอาหลี่ ท่านก็ออกไปก่อนเถิด” หลี่ลั่วกล่าว
“ขอรับ” หลี่จงิรู้สึกหนักใจอยู่บ้าง แต่เขาย่อมไม่อาจขัดคำสั่งของคุณชายได้
กู้จวิ้นเฉินเดินมาข้างหน้าเขาแล้วอุ้มหลี่ลั่วขึ้นมาทันที
“ท่านจะทำอะไรน่ะ?” หลี่ลั่วใจนสะดุ้ง รีบคว้ามือของกู้จวิ้นเฉินเอาไว้
กู้จวิ้นเฉินมุมปากกระตุกเล็กน้อย “เ้าเตี้ยเกินไป” จากนั้นก็อุ้มเขาไปวางลงบนโต๊ะ ส่วนตนเองนั่งลงบนเก้าอี้ เมื่อเป็เช่นนี้ การมองเห็นของหลี่ลั่วก็อยู่ในระดับที่สูงกว่ากู้จวิ้นเฉิน
หลี่ลั่วเบะปาก รู้สึกอัดอั้นตันใจอยากจะร้องไห้ เขาเพิ่งจะห้าขวบเอง ไม่ได้เตี้ยสักหน่อย โตขึ้นไปเขาจะสูงถึงร้อยแปดสิบเิเ เขาสาบานด้วยยีนของครอบครัวในยุคนี้ได้เลย ดูจากพวกหลี่หงกับหลี่ต้านในครอบครัวสกุลหลี่ก็รู้แล้วว่ายีนของครอบครัวสกุลหลี่ถือเป็ครอบครัวที่มียีนความสูงเด่นมากทีเดียว
เมื่อเห็นท่าทางของหลี่ลั่วที่ถูกรังแกจนอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกแล้วนั้นกู้จวิ้นเฉินรู้สึกสนุกยิ่งนัก
“ท่านพี่ฉีอ๋องรังแกข้า ไม่เหมือนผู้ใหญ่อายุสิบสามปีเลยแม้แต่นิดเดียว” หลี่ลั่วพูด
กู้จวิ้นเฉินเพียงเลิกคิ้ว ทว่าไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
หลี่ลั่วยังคงเบะปากต่อ ดวงตาทั้งคู่มองไปทางซ้ายที มองไปทางขวาที ตำแหน่งนี้ช่างเป็ตำแหน่งที่ดีจริงๆ ทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยตู้หนังสือเป็ระเบียบเรียบร้อย ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะชอบอ่านหนังสือ น่าเสียดายที่...จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี ต่อมาเขาจึงเห็นว่าข้างๆ ก้นของเขามีจานวางอยู่ใบหนึ่ง จานใบนั้นเต็มไปด้วยผลอิงเถา ดวงตาของหลี่ลั่วทอประกายวาบ หยิบผลอิงเถาขึ้นมากินทันที
เด็กคนนี้...ทำอะไรเป็ตัวของตัวเองยิ่ง กู้จวิ้นเฉินคิด
“อร่อยหรือไม่?” เขาไม่ชอบกินผลไม้ผลเล็กๆ พวกนี้ แต่เสด็จอามักจะให้คนนำมาให้เสมอ ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบ เมื่อมีของบรรณาการดีๆ ส่งมา เสด็จอาก็จะส่งมาให้
“อร่อยพ่ะย่ะค่ะ” ผลอิงเถาย่อมต้องอร่อยแน่นอน
“เช่นนั้นก็กินให้มากสักหน่อย”
“ขอบคุณท่านพี่ฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วพูดอย่างอ่อนหวาน
ท่าทางของเด็กน้อยที่กินผลอิงเถานั้น มือซ้ายมือขวาผลัดกันส่งผลอิงเถาขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือผลแล้วผลเล่าเข้าปาก ท่าทางที่กัดกินนั้นแลดูเอร็ดอร่อยยิ่ง การมองเด็กน้อยกินอาหารถือเป็ความสุขอย่างหนึ่ง มันทำให้จิตใจผ่อนคลายลงได้ ที่จริงแล้วกู้จวิ้นเฉินนั้นไม่ค่อยมีความอยากอาหารสักเท่าไร เขามักจะมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนอยู่เสมอ จึงส่งผลให้เขาผอมแห้งเช่นนี้ เพียงแต่เมื่อสวมใส่อาภรณ์แล้วมองดูไม่ออก
รอจนกินผลอิงเถาหมดจานแล้ว กู้จวิ้นเฉินจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้หนึ่งผืน “เช็ดปากเสีย”
หลี่ลั่วรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากอย่างตั้งอกตั้งใจ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวถูกย้อมไปด้วยสีแดงของผลอิงเถาจากมุมปากของเขา แดงสดราวกับรอยเือย่างไรอย่างนั้น ทว่าที่จริงแล้วกลับให้ความรู้สึกยั่วยวนอยู่บ้างเล็กน้อย
กู้จวิ้นเฉินมองเขาแต่ไม่ได้เอ่ยอันใด เดิมทีเขาก็ไม่ได้เป็คนช่างพูดอยู่แล้ว
หลี่ลั่วแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ไม่ได้เอ่ยอันใดเช่นกัน เขากำลังรอให้กู้จวิ้นเฉินเอ่ยปาก แต่หลี่ลั่วใช้สายต้องจ้องกู้จวิ้นอยู่นานเขาก็ไม่เอ่ยปากเสียที หลี่ลั่วคิดในใจ หรือเขาจะไม่อยากรู้เื่การถอนพิษหรือ? หรือว่าเขาไม่กังวลใจหรอกหรือ?
หลี่ลั่วเบะปาก ยังคงเลือกที่จะเป็ฝ่ายเอ่ยปากก่อน “พิษที่ท่านได้รับมา เรียกว่าพิษตะกั่วในเื ยามนี้พิษได้แพร่กระจายเข้าไปในเืของท่านแล้ว อาการจะเริ่มจากคลื่นไส้อาเจียน ต่อไปสติปัญญาก็จะด้อยลง แขนขาไร้เรี่ยวแรง ร่างกายจะค่อยๆ เป็อัมพาตไม่ได้สติจนกระทั่งตายไป”
เสียงของเด็กน้อยดังกระจ่างชัดราวกับะเิลูกหนึ่งที่ทำให้ทั่วทั้งหน้าอกของกู้จวิ้นเฉินรู้สึกร้อนรุ่มจนะเิแตกออก