หานอวิ๋นซีโกรธอย่างมาก
เหตุผลก็ไม่ฟัง พูดไปขนาดนั้นแล้วนางก็ยังไม่เข้าใจ
เห็นได้ชัดว่าเป็ฮ่องเต้เทียนฮุยที่เรียกนางมารักษา เหตุใดถึงดูเหมือนนางมาโกงเสียอย่างนั้น?
นางอยากได้ชื่อเสียงั้แ่เมื่อไร? แล้วลวงโลกั้แ่เมื่อไรกัน? ข่าวลือข้างนอกไม่ได้แพร่กระจายโดยคนที่มีเจตนาดีอย่างแน่นอน!
ขันทีสองคนที่กำลังจะออกมาก็รู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าขยับเขยื้อนเป็เวลานาน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไท่เฮาและฮองเฮาก็มองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อ เด็กสาวผู้นี้บังอาจเสียเหลือเกิน กล้าอวดดีต่อหน้าฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ?
อย่างไรก็ตาม หลงเฟยเยี่ยกลับยกยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน
ท่ามกลางความเงียบ หานอวิ๋นซีพูดอย่างเ็าและจริงจังว่า “ฝ่าา ข้าไม่สนใจว่าผู้ใดจะวินิจฉัยว่าเป็ภาวะชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี แต่ข้าจะพูดอีกครั้งว่า ไท่จื่อแค่ชีพจรลื่นเท่านั้น ไม่ใช่ภาวะชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี หากท่านเรียกข้ามาเพื่อตรวจสอบการวินิจฉัยของผู้อื่น เช่นนั้นท่านก็เรียกผิดคนแล้วล่ะ!”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ฮ่องเต้เทียนฮุยพูดไม่ออก ภาวะชีพจรตั้งครรภ์ของสตรีเป็สิ่งที่วินิจฉัยออกมาั้แ่แรก เขาจึงเชิญหานอวิ๋นซีมาเพื่อรักษา
เพราะหลังจากที่ท้องของไท่จื่อใหญ่ขึ้น หานฉงอันเคยใช้ยาทำแท้ง ทว่าน่าเสียดายที่มันไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย หานฉงอันไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน เขาจึงได้แต่ตรวจชีพจรทุกวันและให้ไท่จื่อดื่มยาเพื่อบำรุงร่างกาย ฮ่องเต้เทียนฮุยก็กังวลว่าวันหนึ่งไท่จื่ออาจจะให้กำเนิดลูกจริงๆ!
แต่ไม่คาดคิด ชีพจรที่หานอวิ๋นซีวินิจฉัยออกมา ไม่ใช่ชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เทียนฮุยยังคงโกรธ หานอวิ๋นซีก็พูดต่อว่า “ฝ่าา มันเป็ไปไม่ได้ที่ผู้ชายจะตั้งครรภ์ อวิ๋นซีกล้ารับประกันด้วยชีวิต ไท่จื่อไม่ได้มีชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี เพียงแต่จุดรวมศูนย์ของโรคอยู่ในท้องของไท่จื่อ อาจจะเป็ก้อนมะเร็งก้อนใหญ่ ดังนั้นจึงดูเหมือนตั้งครรภ์ และมันก็สามารถปรากฏภาวะชีพจรลื่นได้เช่นกัน หากไม่รักษา เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นจะเป็อันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ทุกคนต่างตกตะลึง!
คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้?
หานฉงอันรักษามาเจ็ดปีแล้วและมั่นใจว่าอย่างยิ่งว่ามันคือชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี ทั้งยังมั่นใจอีกว่าในท้องนั้นมีเด็กอยู่ หานอวิ๋นซีผู้นี้มีสิทธิ์อะไรถึงได้มาพูดว่าเป็เพียงก้อนมะเร็งในท้องเท่านั้น?
หลงเทียนโม่หันไปมองรอบๆ ต้องยอมรับว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้คาดหวังกับหานอวิ๋นซีเลย แต่เมื่อฟังผลวินิจฉัยเช่นนี้แล้ว ในดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความหวังอย่างควบคุมไม่ได้
หากไม่ใช่ชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี เป็แค่โรคประหลาด เป็เพียงก้อนมะเร็งอย่างที่หานอวิ๋นซีพูด ชีวิตทั้งชีวิตของเขาก็สามารถพลิกผันได้!
ต้องรู้ว่าหากได้รับการยืนยันว่าเป็ชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี แม้ว่ามันจะรักษาให้หายแล้วก็ตาม แต่ก็จะเป็รอยด่างขนาดใหญ่ในชีวิตของเขา หากถูกเผยแพร่ออกไป เขาก็จะถูกโลกเยาะเย้ย
ถ้ามันเป็เนื้องอกมะเร็ง เช่นนั้นก็คงเป็เื่ธรรมดาอย่างมาก เขาจะไม่ใช้ความพยายามเพื่อป้องกันการสอดแนมและการสืบสวนขององค์ชายองค์อื่นๆ
เมื่อมองไปยังหานอวิ๋นซีที่มีใบหน้าดื้อรั้น จู่ๆ หลงเทียนโม่ก็มีความรู้สึกว่าจะสามารถไว้วางใจนางได้
แต่ในขณะเดียวกัน ฮองเฮากลับมีสีหน้าซับซ้อน แน่นอนว่านางหวังว่าบุตรชายจะไม่เป็อะไร เพราะบุตรชายคือทุกอย่างสำหรับนาง อย่างไรก็ตาม นางยังคงไม่ไว้วางใจหานอวิ๋นซีอย่างเต็มที่ และไม่้าให้หานอวิ๋นซีมีส่วนร่วมในเื่นี้
“อวิ๋นซี แต่...พ่อของเ้าตรวจชีพจรของไท่จื่อทุกวันมาเป็เวลาเจ็ดปี เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาผิดมาตลอดงั้นหรือ?” ฮองเฮาพูดอย่างกังวล
คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงเตือนหานอวิ๋นซี แต่ยังเตือนฮ่องเต้เทียนฮุยและไท่จื่อเช่นกัน และยังทำลายความหวังของพวกเขา
แค่จับชีพจร ถือว่าเป็เื่ง่ายสำหรับหมอทั่วไป แล้วนับประสาอะไรกับหานฉงอันล่ะ?
ร่องรอยของความสับสนฉายวาบในดวงตาของหานอวิ๋นซี แต่นางก็ยังมีท่าทางที่มั่นคง “มันเป็ความผิดของเขา!”
เอ่อ…
“อวิ๋นซี เช่นนั้น เ้าอยู่ดูอาการที่นี่สักสองสามวันก่อนจะดีหรือไม่?” ฮองเฮาถามอย่างลองเชิง
“ข้าแน่ใจว่าเขาวินิจฉัยผิดพลาดแน่นอน”
เสียงของหานอวิ๋นซีที่ไม่ได้ดัง แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไร้ข้อกังขา เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังและมุ่งมั่นของนางแล้ว แม้แต่ฮองเฮาเองก็ยังหวั่นไหว
ในขณะเดียวกัน หลงเทียนโม่ก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า “เสด็จพ่อ เรียกหานฉงอันให้มาเจอนางสิ”
ฮ่องเต้เทียนฮุยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบตกลง “ทหาร ไปเรียกหานฉงอันมา!”
ในระหว่างที่รออยู่ ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบ ทุกคนต่างมองไปที่หานอวิ๋นซีด้วยความสงสัยและคาดหวัง หานอวิ๋นซีที่อยู่ในฐานะหมอเองก็คุ้นเคยกับการจ้องมองแบบนี้
นางทำราวกับว่าที่นี่ไม่มีผู้ใดอยู่ นั่งลงข้างๆ อย่างเงียบๆ พยายามคิดไปถึงกรณีคล้ายกันที่เคยได้ยินมา
โรคของไท่จื่อนั้นแปลกมากจริงๆ แต่เพียงเพราะมันแปลก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีตัวอย่าง ในความทรงจำ นางเคยได้ยินกรณีที่คล้ายกันเมื่อตอนที่นางเรียน ในประวัติศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันของโลกมีบันทึกไว้ไม่เกินหนึ่งร้อยกรณีที่คล้ายกัน และหาได้ยากมาก
ในตอนที่ตรวจชีพจร นางเองก็มีความสงสัย แต่หลังจากเห็นท้องใหญ่ของไท่จื่อแล้ว นางก็สามารถยืนยันการวินิจฉัยได้
เนื้องอกมะเร็งอะไรนั่น เป็เพียงคำที่นางพูดไปส่งๆ เท่านั้น ส่วนเป็โรคร้ายอะไร นางรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถพูดออกไปได้ หากพูดออกไป นางต้องตายอย่างแน่นอน
ปัญหาที่นางเผชิญอยู่ตอนนี้คือจะปฏิเสธหานฉงอันอย่างไร
ในไม่ช้า หานฉงอันก็มาถึง
หานฉงอันวัยห้าสิบกว่าปี มีเคราแพะสีเทาและเสื้อคลุมสีเทา แม้ว่าเขาจะจงใจทำตัวให้ต่ำต้อยในวัง แต่ก็เป็การยากที่จะซ่อนความน่าเกรงขามและท่าทางของปรมาจารย์
นี่เป็ครั้งแรกที่หานอวิ๋นซีได้เจอ “บิดา” ของนางั้แ่เดินทางข้ามเวลามา
หลังจากที่หานฉงอันเข้ามา ก็ทำความเคารพแต่ละคน แม้แต่ตอนที่เจอกับหานอวิ๋นซี เขาก็ทำความเคารพอย่างมีมารยาทและเรียกนางว่าฉินหวังเฟย
หานอวิ๋นซีพูดด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก”
สำหรับบิดาคนนี้ ไม่ได้เป็เพียงแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็ความเกลียดชังอีกด้วย
สิ่งที่หานอวิ๋นซีเกลียดที่สุดในชีวิตของนางคือผู้ชายที่อิจฉาริษยาผู้หญิง และหานฉงอันก็เป็คนเช่นนั้น
ในตอนนั้น เหตุใดฮูหยินเทียนซินถึงได้เสียชีวิตขณะคลอดบุตร แล้วเหตุใดนางจึงเกิดออกมาเป็เด็กอัปลักษณ์ เติบโตมาพร้อมกับรอยแผลเป็จากพิษที่พบได้บ่อยที่สุด และทั้งที่เป็ตระกูลหมอที่มีชื่อเสียงแต่ก็กลับไม่มีใครสามารถรักษานางได้ คำถามเหล่านี้ สักวันหานอวิ๋นซีจะต้องรู้ให้ได้
ฮองเฮาแทบรอไม่ไหวที่จะพูดว่า “หานฉงอัน ฉินหวังเฟยวินิจฉัยออกมาว่าในท้องของไท่จื่อเป็เนื้องอกมะเร็ง เ้าคิดว่าอย่างไร?”
เดิมทีหานฉงอันคิดว่าฮ่องเต้เทียนฮุยจะเรียกเขามาเพราะหานอวิ๋นซีทำอะไรไม่ถูกเมื่อเผชิญกับโรคประหลาดนี้ แต่ใครจะรู้ว่ามันจะกลายเป็เช่นนี้
เขามองไปที่หานอวิ๋นซีด้วยความไม่เชื่อ เ้าเด็กคนนี้ทำตัวอวดดีเกินไปแล้ว แม้ว่านางจะเรียนรู้ตำราแพทย์ที่แม่ของนางทิ้งไว้ แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าวิธีการล้างพิษ คิดไม่ถึงว่านางจะกล้าวินิจฉัยเช่นนี้?
หานฉงอันส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉินหวังเฟย ท่านมีหลักฐานหรือไม่ที่บอกว่ามันคือเนื้องอกมะเร็ง?”
“เช่นนั้นที่ท่านบอกว่ามีทารกในครรภ์ ท่านมีหลักฐานหรือไม่ล่ะ?” หานอวิ๋นซีถามกลับ
หานฉงอันยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ชีพจรเป็หลักฐานไง และท้องของไท่จื่อเองก็เป็หลักฐานเช่นกัน ฉินหวังเฟย แม้แต่ผู้ดูแลสำนักแพทย์หยุนคงต้าลู่ยังยืนยันว่านี่คือชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี”
“สิ่งที่เป็หลักฐานคือชีพจร และชีพจรนั้นก็ไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้” ท่าทีของหานอวิ๋นซีแข็งกร้าว
ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะของนาง ต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้คนเช่นนี้ หานฉงอันก็คงอารมณ์เสียไปนานแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่หลายวันมานี้ คนของฮองเฮาและอี้ไท่เฟยตามหาเขาเพื่อสอบสวน เด็กน้อยคนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจริงๆ
หากเป็ในอดีต แม้ว่านางจะกลายเป็ฉินหวังเฟย ก็คงไม่กล้าพูดกับเขาเช่นนี้!
“แล้วที่ท่านบอกว่าเป็เนื้องอกมะเร็ง ท่านรู้ได้อย่างไร?” หานฉงอันถาม แม้ว่าเด็กน้อยคนนี้จะมีความสามารถจริงๆ แต่การวินิจฉัยก็ไม่สามารถแยกออกจากชีพจรได้
นางบอกว่าชีพจรเป็หลักฐานที่ไม่เพียงพอ เขาเองก็อยากจะรู้ว่านางจะมีหลักฐานอะไรบ้าง
“พิษ!” หานอวิ๋นซีพูดอย่างมั่นใจ
คำนี้เพียงคำเดียวทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง มันคือพิษหรือ?
“ไท่จื่อโดนวางยาพิษ เป็พิษที่เรียกว่าพิษเนื้องอก พิษนี้จะไม่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตโดยตรง แต่จะอยู่ในร่างกายเป็เวลานาน ดูดเอาสิ่งสกปรกจากอวัยวะภายในร่างกาย แล้วก่อตัวเป็มะเร็ง เมื่อก้อนมะเร็งโตจนกดทับเส้นลมปราณขนาดใหญ่ ก็จะถึงอันตรายแก่ชีวิต
นี่เป็เื่โกหกที่หานอวิ๋นซีพูดออกมา ทว่านางพูดอย่างใจเย็นและจริงจัง
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ประการแรก พวกเขาไม่คิดว่าจะมีพิษประหลาดเช่นนี้อยู่ในโลก และประการที่สอง พวกเขาไม่คาดคิดว่าโรคประหลาดของไท่จื่อจะเป็เช่นนี้!
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับชีพจรตั้งครรภ์ของสตรีหรือการตั้งครรภ์แต่อย่างใด!
เมื่อเทียบกับการตั้งครรภ์ของผู้ชาย คำพูดของหานอวิ๋นซีดูสมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือกว่า แม้แต่ฮองเฮาที่ตั้งใจจะทำให้หานอวิ๋นซีอับอายก็ยังแสดงท่าทีประหลาดใจ ในตอนนี้นางเต็มใจที่จะเชื่อหานอวิ๋นซีอย่างมาก!
หานฉงอันเองก็ผงะไปเช่นกัน ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงพูดอะไรบางอย่าง “ชะ...เช่นนั้นท่านมีหลักฐานหรือไม่?”
หานอวิ๋นซีไม่มีทางพูดโง่ๆ ว่าสามารถเห็นได้จากการตรวจชีพจร แววตาของนางเปล่งประกายด้วยความมั่นใจ และพูดว่า “ข้าสามารถล้างพิษและกำจัดมะเร็งได้ นี่มันก็เจ็ดปีแล้ว ท่านจะทำคลอดได้หรือยังล่ะ?”
“ท่าน…”
ในที่สุดหานฉงอันก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ถอยหลังไปสองก้าวด้วยสีหน้าไม่เชื่อ หากไม่รู้ว่าเป็พ่อลูกกัน คงคิดว่าพวกเขาต้องเป็คู่แข่งกันอย่างแน่นอน
“หวังเฟย ท่านอย่าล้อเล่นกับชีวิตของไท่จื่อนะ!” หานฉงอันพูดอย่างจริงจัง แม้ว่าเขาไม่คุ้นเคยกับพิษ แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าไท่จื่อจะถูกวางยาพิษ
เห็นได้ชัดว่าชีพจรเป็ชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี และมีเด็กอยู่ในท้องอย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะผิด แต่เป็ไปได้หรือที่สำนักแพทย์ที่มีอำนาจมากที่สุดในด้านการแพทย์จะผิดพลาดด้วย?
แม้ว่าผู้ดูแลสำนักแพทย์จะออกไปแล้ว แต่หลายปีที่ผ่านมา เขาก็ได้แอบปรึกษาเกี่ยวกับปัญหานี้กับผู้ดูแลเ่าั้
ต้องเป็ชีพจรตั้งครรภ์ของสตรีอย่างแน่นอน สิ่งที่พวกเขาต้องคุยกันคือวิธีทำให้ท้องของไท่จื่อยุบลงไป หาวิธีฆ่าทารกในครรภ์ที่ไม่ควรมีอยู่โดยไม่เกิดอันตรายต่อชีวิตของไท่จื่อ
ใช้ยาทำแท้งก็แล้วแต่ก็ยังไม่มีผลอะไร
อย่างไรก็ตาม การให้กำเนิดบุตรนั้นเป็อันตรายอยู่แล้วสำหรับสตรี นับประสาอะไรกับบุรุษล่ะ?
พูดตามตรง พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าบุรุษจะให้กำเนิดบุตรทางไหน แล้วการผ่าท้องเองก็เป็เื่เสี่ยงที่พวกเขากล้าคิดแต่ก็ไม่กล้าที่จะทำ
ยิ่งไปกว่านั้น หากผ่าเด็กออกมาจริงๆ ชีวิตของเขาคงต้องจบลง ฮ่องเต้ที่เชื่อว่าเป็ภาวะชีพจรตั้งครรภ์ของสตรีมาั้แ่แรก ทว่าในใจก็ยังคงมีความหวังที่คิดว่าจะวินิจฉัยผิด
“ข้าไม่ได้เอาชีวิตไท่จื่อมาล้อเล่น กลับกันเป็ท่านที่มองไม่ออกว่าโดนวางยา ผ่านมาตั้งเจ็ดปี ท่านรู้หรือไม่ว่าหากล้างพิษเร็วกว่านี้ ท้องของไท่จื่อก็จะไม่ใหญ่ขนาดนี้! เป็ท่านที่ทำให้ไท่จื่อเสียเวลาไปถึงเจ็ดปี!” หานอวิ๋นซีตอบโต้อย่างโกรธจัด
นางยอมรับว่านางกำลังใช้โอกาสนี้แก้แค้น
อย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าเื่ของแม่ทัพใหญ่ หานฉงอันเองก็มีส่วนร่วมเช่นกัน และไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่านางถูกรังแกในครอบครัวเลย ทั้งยังยอมเสียสละลูกสาวเพื่อเอาใจไท่เฮาอีก แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หานอวิ๋นซีเกลียดเขาไปตลอดชีวิต คนแบบนี้สมควรจะเป็พ่อของนางอย่างนั้นหรือ?
“เ้า เ้ากำลังพูดเื่ไร้สาระ! เื่ไร้สาระชัดๆ” หานฉงอันที่กระวนกระวาย ไม่สนใจสถานะและพูดด้วยความโกรธ
แต่ใครจะไปรู้ว่าหานอวิ๋นซีจะตำหนิอย่างโกรธเคืองกลับมาว่า “บังอาจนัก หานฉงอัน เ้ากล้าทำกิริยาเช่นนี้กับข้างั้นหรือ? ข้าควรทำอย่างไรกับความผิดนี้ดีล่ะ?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ทุกคนก็ต่างประหลาดใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าหานอวิ๋นซี ฉินหวังเฟยผู้ที่ไม่เป็ที่รักจะทำตัวเหมือนองค์หญิงกับหานฉงอันต่อหน้าทุกคน
สตรีผู้นี้ ดูน่าสนใจมากเลยไม่ใช่หรือ?
เมื่อเห็นว่าความโค้งมนบนริมฝีปากของหลงเฟยเยี่ยสวยงามมากขึ้นเรื่อยๆ ฮ่องเต้เทียนฮุยก็ลูบเคราและเริ่มเล่นกับมัน
หานฉงอันอ้าปากค้างตกตะลึง ส่ายหัวด้วยความไม่เชื่อและพูดไม่ออกเป็เวลานาน
หานอวิ๋นซีมองเขา “ข้าพูดไร้สาระไปหรือไม่ เช่นนั้นก็รอให้เอาเนื้องอกมะเร็งออกมาแล้วจะได้เห็นเอง”
ขณะที่นางพูด นางก็หันไปทางฮ่องเต้เทียนฮุย “ฝ่าา ผลการวินิจฉัยของหม่อมฉันชัดเจนแล้ว ขึ้นอยู่กับฮ่องเต้ว่าจะตัดสินใจรักษาหรือไม่”