“ป้าสะใภ้เราคงไม่ยอมอยู่แล้วมั้ง?” ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งต้องไม่ถูกใจเงินจำนวนแค่นี้แน่นอน เจิ้งหยวนมั่นใจเื่นี้สุดๆ
เจิ้งเจวียนพยักหน้าเรียบเรื่อย “แน่นอนอยู่แล้วสิ ป้าสะใภ้ของเราทะเลาะกับคนขาพิการแซ่หลิวเพื่อเื่นี้โดยเฉพาะ พี่ก็รู้ความปากโทรโข่งของป้าสะใภ้ใหญ่ โวยวายจนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงรู้กันถ้วนหน้าหมดแล้ว”
ขอเพียงได้เงินมา ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งย่อมไม่กลัวเสียหน้าแน่ แต่คนอื่นอาจไม่เป็เช่นนั้น รอบนี้ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งทำเสียหน้ากันทั้งสกุลเจิ้งเสียแล้ว เจิ้งหยวนคิดพลางโยนฟืนเข้าไปในเตา ก่อนเอ่ยถามต่อ “เื่นี้พ่อเราไม่ไปจัดการเหรอ?”
“พี่ลืมแล้วเหรอ? พ่อเราไปบ้านอาสามแล้ว”
จริงด้วย เจิ้งหยวนนึกออกแล้ว เช้าตรู่วันนี้เฉินชุ่ยอวิ๋นห่อผักดองสองไหเล็กให้เจิ้งเฉวียนกังเอาไปส่งในอำเภอ ผักดองนั้นเจิ้งหยวนดองตามสูตรเฉพาะที่พ่อครัวเหลือไว้ที่โรงแรมห้าดาวในมิติ มีถั่วแขกและแตงกวา ติดเผ็ดเล็กน้อย ทั้งยังมีรสเค็ม และแทรกด้วยความหวาน เป็รสชาติอร่อยสดชื่น คนในครอบครัวที่รักการกินก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้จะเป็แค่ผักดองนิดหน่อย ทว่าเจิ้งเฉวียนกังเป็คนกตัญญู เขาคิดว่าของสิ่งนี้คู่ควรแก่การไปมอบให้บุพการีด้วยตัวเอง อีกอย่างเขาก็ไม่ได้พบหน้าพ่อแม่นานมากแล้ว
เจิ้งหยวนมองเจิ้งเจวียนเมื่อคิดถึงตรงนี้ “แม่ของพวกเรารู้ตั้งนานแล้วเหรอ?”
ได้ยินดังนั้น เจิ้งเจวียนจึงหรี่ั์ตาลงอย่างมีเลศนัย
ตามธรรมเนียมของกองหยางหลิว งานแต่งงานไม่จำเป็ต้องมีญาติมาเป็สักขีพยาน บิดามารดาทั้งสองฝ่ายแค่พบหน้า กินข้าวกันสักมื้อแล้วค่อยหารือสินสอดทองหมั้นก็พอแล้ว คนขาพิการแซ่หลิวไม่มีบุพการี เขาตัดสินใจทุกอย่างเองได้ การแต่งงานของเจิ้งสยาน่าจะตกลงกันก่อนหน้านี้ คนพิการแซ่หลิวจึงมามอบสินสอดให้ในวันนี้
เฉินชุ่ยอวิ๋นคงรู้ั้แ่วันแรกๆ ว่าคนขาพิการแซ่หลิวมามอบสินสอดวันนี้ เธอกลัวว่าครอบครัวลุงใหญ่จะก่อปัญหาอันใดอีก จึงให้เจิ้งเฉวียนกังเข้าอำเภอไป หากเจิ้งเฉวียนกังอยู่ เื่ต้องหนีไม่พ้นมือเขาแน่นอน ทุนเดิมพ่อของเธอก็ลำเอียงไปทางป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งอยู่แล้ว ดังนั้น หากเขาไปก็ไม่รู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งจะสาดโคลนเธอแล้วเป่าหูพ่อของเธออย่างไรบ้าง เมื่อคิดได้ดังนั้น เจิ้งหยวนพลันสบายใจทันทีเธอคิดพลางเติมฟืนเข้าไปในเตาอีกท่อน “แล้วสุดท้ายสินสอดตกลงกันที่เท่าไรนะ?”
เจิ้งเจวียนเหยียดนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง
เจิ้งหยวนเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถาม “ร้อยหยวน?”
เจิ้งเจวียนพยักหน้า เธอเท้าคาง เลิกหางคิ้วขึ้น “พี่คิดไม่ถึงละสิ ป้าสะใภ้ใหญ่เราน่ะร้ายกาจมาก เถียงจนได้มาเพิ่มอีกห้าสิบหยวน! เอะอะโวยวายจนสุดท้ายคนขาพิการแซ่หลิวจวนจะหนีไปแล้ว แต่ดันโดนคนเสเพลอย่างเจิ้งเทียนหู่ขวางไม่ให้เขาไปไหน บอกประมาณว่าเขาทำลายความบริสุทธิ์ของพี่เสี่ยวสยาแล้ว ต้องจ่ายเงินมา มิฉะนั้นจะรายงานต่อทางการ แปะประกาศประจานเขาข้อหาล่วงละเมิด คนขาพิการแซ่หลิวนั่นก็กลัวตัวงันงก เลยตกลงให้ร้อยหยวน”
อยู่ดีๆ ก็ได้ยินคำว่า ‘บริสุทธ์’ เจิ้งหยวนจึงนิ่งไปพักหนึ่งแล้วถามทวนเพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้หูฝาด “บริสุทธิ์? ความบริสุทธิ์อะไร? คำพูดเจิ้งเทียนหู่หมายถึงอะไร?”
เจิ้งเฉวียนยู่ปาก “ฉันจะรู้เหรอ”
เจิ้งหยวนอารมณ์ผสมปนเปกันอยู่ครู่หนึ่ง สำหรับสตรีแล้ว นอกจากความบริสุทธิ์ผุดผ่องของร่างกาย ยังมีบริสุทธิ์ไหนอีก? หากเป็เช่นนี้จริง งั้นคนขาพิการแซ่หลิวนั่นทำลายความบริสุทธิ์ของเจิ้งสยาได้อย่างไร? เธอโดนครอบครัววางแผนใส่ หรือคนขาพิการแซ่หลิวเกิดเกลียดชังจนเอาความแค้นมาลงกับเจิ้งสยา? เธอไม่น่าเป็ฝ่ายยั่วคนขาพิการแซ่หลิวก่อนหรอกมั้ง?
อันที่จริง เจิ้งหยวนทายถูกแล้ว เจิ้งสยาไม่ได้เป็คนต้นคิดจริงๆ
ั้แ่เจิ้งสยาล้มเหลวในการใส่ร้ายเจิ้งหยวนจนพานมาเดือดร้อนตนเอง ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งกับเจิ้งเทียนหู่ก็ไม่วาดหวังให้เจิ้งสยาแต่งเข้าสกุลเฝิงอีกต่อไป ทว่าชื่อเสียงของเจิ้งสยาก็เสียหายไปไม่น้อย ครั้นจะให้แต่งงานกับครอบครัวดีๆ คงไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้น ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งจึงไม่คิดจะให้เธอแต่งเข้าครอบครัวที่ดีเท่านั้นหรอก ขอเพียงคนเขาให้ค่าสินสอดเยอะก็พอแล้ว ยกตัวอย่างเช่นคนขาพิการแซ่หลิวนั่น แต่หลังจากเกิดเื่ขึ้น พอฝากแม่สื่อติดต่อคนขาพิการแซ่หลิวไป น้ำคำของคนขาพิการแซ่หลิวเหมือนไม่ค่อย้าเจิ้งสยาแล้ว เขาก็เป็ผู้ชาย ย่อมไม่อยากแต่งกับผู้หญิงที่มีผู้ชายคนอื่นอยู่ในใจ
ไม่ได้การแล้ว! ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งไม่ยินยอมกลับบ้านมาพูดคุยกับเจิ้งเทียนหู่ ดวงตาเล็กของเจิ้งเทียนหู่หรี่ลงพลางหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย แล้วบอก “วิธีแก้ง่ายนิดเดียวเอง จับน้องสาวขึ้นเตียงกับคนขาพิการแซ่หลิวนั่นให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยว่าได้เสียกันแล้ว ใครจะรับผิดชอบถ้าไม่ใช่เขาเล่า? ชื่อเสียงน้องแย่แค่ไหน
อย่างไรก็เป็สาวพรหมจรรย์ นอนด้วยกันอย่างนั้น คนขาพิการแซ่หลิวต้องรู้แน่นอน”
แรกเริ่มป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งไม่เห็นด้วยกับความคิดบ้าๆ ของลูกชายเท่าไรนัก “นี่ นี่ ได้ที่ไหนกัน? ไม่ได้ๆ” เธอเป็สตรีคนหนึ่ง เจิ้งสยาอย่างไรก็คือลูกสาวแท้ๆ ของเธอ วิธีนี้ิ่เกียรติกันเกินไป ป้าสะใภ้ใหญ่ต่อให้ช่างเหน็บแนมเสียดสี ชอบเอารัดเอาเปรียบ แต่ยังไม่เคยทำเื่ไร้ศีลธรรมเช่นนี้
แต่เจิ้งเทียนหู่กลับกล่าวว่า “งั้นแม่ยังมีวิธีอื่นอีกไหมเล่า? หากน้องแต่งไม่ออก ฉันจะเอาเงินจากไหนมาแต่งภรรยา! แม่ ฉันวัยเดียวกับเจิ้งเทียนินะ รายนั้นเขามีลูกตั้งสองคนแล้ว ลูกชายก็มีด้วย แล้วดูฉันสิ ฉันยังไม่ได้แต่งภรรยาเลยด้วยซ้ำ”
เมื่อพูดถึงเื่แต่งภรรยา ก็เสียดแทงหัวใจป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งเข้าเต็มๆ เธออยากแต่งภรรยาขยันขันแข็งให้ลูกมาตลอด เก็บเงินมาได้สองร้อยหยวนแล้ว หากรวมกับค่าสินสอดของเจิ้งสยาก็เป็สี่ร้อยหยวน น่าเสียดายที่ได้มาเพียงแค่ร้อยหยวนเท่านั้น เงินจำนวนขนาดนี้จะแต่งสะใภ้ดีๆ แบบไหนไม่ได้บ้าง! เมื่อคิดถึงตรงนี้หัวใจเธอพลันลิงโลด ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งมีลูกชายแค่คนเดียว จึงไม่แปลกที่จะหวังให้เขามอบหลานชายให้เธอเร็วๆ
ถึงกระนั้น ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งก็ยังคงลังเลอยู่บ้าง “งั้น... งั้นสมมติว่าคนขาพิการแซ่หลิวไม่ยอมรับจะทำยังไงล่ะ?”
“เขากล้าเหรอ!” เจิ้งเทียนหู่ขึ้นเสียง ท่าทีเต็มไปด้วยความดูแคลนเหยียดหยาม “คนพิการแซ่หลิวนั่นทั้งแก่ ทั้งอัปลักษณ์ ขายน้องสาวให้ไม่กี่ร้อยหยวนก็ดีแค่ไหนแล้ว” ครั้นเห็นแม่ยังสองจิตสองใจอยู่ เขาจึงครุ่นคิดสักพัก สิ่งที่แม่กังวลก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว หากหมอนั่นไม่ยอมรับจริงๆ กลายเป็ว่าเขาจะไม่เสียน้องสาวไปอย่างเปล่าประโยชน์หรือ แต่พอคิดดูดีๆ แล้ว เขาก็ยังมีวิธีอยู่ไม่ใช่หรือ วินาทีต่อมาพลันปรากฏแสงสว่างวาบในดวงตาเจิ้งเทียนหู่ “เราใส่ร้ายป้ายสีไอ้เป๋แซ่หลิวนั่น บอกว่าเขาจะลวนลามกันก็พอแล้วนี่” เขาเรียนรู้อุบายนี้มาจากเจิ้งหยวน เจิ้งหยวนหน้าไม่อายมาก ตัวเองทำเื่ไร้ยางอายให้ตายก็ไม่ยอมรับ ยังโยนขี้ให้เขาอีก!
ทั้งสองหารือกันเท่านี้ ก็กำหนดชะตาชีวิตของเจิ้งสยาได้แล้ว
คืนหนึ่งนั่นเอง เจิ้งเทียนหู่เสแสร้งเชิญคนขาพิการแซ่หลิวมาดื่มกินที่บ้านแล้วมอมเหล้าเขา แถมยังแอบใส่ยาชูกำลังลงไปนิดหน่อยด้วย เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ฟ้ามืดสนิท บ้านคนขาพิการแซ่หลิวอยู่ไกล เจิ้งเทียนหู่จึงรั้งเขาไว้ที่บ้าน ทั้งยังบอกว่ามีห้องสำหรับให้พักผ่อนอยู่ พร้อมชี้ห้องที่ตระเตรียมไว้อย่างเสร็จสรรพ ซึ่งห้องนั้นก็คือห้องของเจิ้งสยา เจิ้งสยาถูกป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งใช้งานหนักทั้งวัน อ่อนล้าจนนอนหลับไปโดยไม่ถอดเสื้อผ้า หลังคนขาพิการแซ่หลิวเข้ามา ร่างกายพลันรู้สึกร้อนผะผ่าว ขณะเดียวกันนั้นก็ค่อยๆ ลูบคลำเจิ้งสยาที่บัดนี้ร่างกายเธอเย็นเฉียบยิ่งกว่าอะไร
อย่างไรก็ตาม เื่ราวกลับไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่เจิ้งเทียนหู่จินตนาการวาดหวังไว้ เจิ้งสยารู้ว่าเจิ้งเทียนหู่เชิญคนขาพิการแซ่หลิวมาดื่มวันนี้ แม้เหนื่อยล้ามาทั้งวัน แต่ก็ไม่กล้าหลับสนิท พอคนขาพิการแซ่หลิวแตะตัว เธอก็พลันสะดุ้งใตื่น
เสียงกรีดร้องดังก้องกลางคืนอันเงียบสงัด ครอบครัวลุงใหญ่เจิ้งพุ่งทะยานเข้ามาเห็นคนขาพิการแซ่หลิวกำลังโอบเจิ้งสยา ทั้งยังพยายามถอดเสื้อเธอพอดี
แม้ไม่ได้้าร่างกายของเจิ้งสยาจริงๆ แต่ก็จับได้คาหนังคาเขาว่าคนขาพิการแซ่หลิวแตะเนื้อต้องตัวสาวพรหมจรรย์ที่ไม่เคยผ่านมือชายคนใดมาก่อนอย่างเจิ้งสยา เจิ้งเทียนหู่จึงขู่ว่าถ้าเขาไม่แต่ง จะไปแจ้งข้อหาลวนลามที่คอมมูน
การแต่งงานจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
เจิ้งหยวนถอนหายใจยาวเหยียดหลังได้ยินเื่ราวที่เกิดขึ้น “ป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งกับเจิ้งเทียนหู่ฉกเงินกันหน้าด้านๆ แบบนี้ หลังแต่งไปไม่รู้ชีวิตพี่เสี่ยวสยาจะเป็ยังไง”
เจิ้งเจวียนเอ่ยด้วยความคับแค้นเช่นกัน “ใครให้พี่เขามีพ่อแม่อย่างนั้นล่ะ” ลุงใหญ่เจิ้งเป็พวกไม่สนใจสิ่งใด ส่วนป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งก็ให้ความสำคัญกับลูกชาย แค่เห็นเงินก็ตาลุกวาวยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
แม้เจิ้งสยาจะเคยคิดร้ายกับเจิ้งหยวน แต่เวลานี้สองพี่น้องยังอดสบตากันถอนหายใจปลงตกแทนเจิ้งสยาไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้