ตกกลางคืน เด็กๆ หลับกันหมดแล้ว ซูซานหลางตระกองกอดไท่ไท่สามพูดคุยกัน ทั้งสองต่างหวาดระแวงต่อการเข้ามาใกล้ชิดของอวี้อ๋อง
หลังจากตรองดูอย่างถี่ถ้วนก็ยังคงมีความกังวลใจอยู่ ในสายตาคนนอกเฉียวเยว่เป็เพียงเด็กน้อยจ้ำม่ำเห็นแก่กินและซุกซน แต่ในสายตาของพวกเขานางเป็ดั่งสมบัติล้ำค่าที่สุด พวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเื่ราวถูกผิดภายนอก และไม่ปรารถนาให้เด็กๆ ในบ้านถูกดึงเข้าไปพัวพันในวังวนเ่าั้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวี้อ๋อง หนุ่มน้อยแปลกประหลาดที่ไม่มีใครมองเขาออก
หากถามว่าเพราะเหตุใดทุกคนถึงหวาดระแวงอวี้อ๋องมากเป็พิเศษ นั่นก็เพราะเื่ราวมากมายที่เขาเคยทำ แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้รายละเอียด แต่ยิ่งเป็เช่นนี้ก็ยิ่งทำให้การเล่าลือส่งเดชแพร่กระจายออกไป กลายเป็เื่ลึกลับมหัศจรรย์
อดีตอวี้อ๋องบิดาของอวี้อ๋องน้อยคนปัจจุบัน มีฐานะเป็องค์ชายใหญ่
เขานำทัพออกศึกภายใต้การยั่วยุของฟานอ๋องที่มีความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน เพียงแต่อวี้อ๋องได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม เคยศึกษาแต่หลักการปกครองแว่นแคว้น มิได้เกิดมาเพื่อเป็ทหาร
ถึงจะมีแม่ทัพิ่เป็ผู้ติดตาม แต่ก็ยากจะคาดเดาสถานการณ์ที่พลิกผันตลอดเวลาในสนามรบ
แม้จะระมัดระวังทุกฝีก้าว อวี้อ๋องก็ยังคงเสียชีวิตภายใต้เล่ห์กลของศัตรู ส่วนแม่ทัพน้อยสกุลิ่ซึ่งเป็ผู้ติดตามก็ตกลงไปจากหน้าผา ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเขาเสียชีวิต กระทั่งงานศพก็จัดให้แล้ว เคราะห์ดี ท้ายที่สุดเขาก็รอดกลับมา กลายเป็แม่ทัพิ่คนปัจจุบัน บิดาของิ่จื้อรุ่ย และตามข่าวที่เขานำกลับมา ตอนนั้นบริวารคนสนิทของอวี้อ๋องร่วมมือกับพวกซีเหลียง ผสานกันทั้งนอกและในทำให้พวกเขาตกหลุมพรางถูกซุ่มโจมตี
และยามถูกจับคนผู้นี้ก็นึกเสียใจภายหลัง เพราะครอบครัวในเมืองหลวงถูกลักพาตัว เขาถึงได้ทรยศอวี้อ๋องและแม่ทัพิ่
เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ มีใครบางคนคิดหมายให้อวี้อ๋องตายในสนามรบ และผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่อาจพ้นโศกนาฏกรรมนี้ไปได้ แม้จะรู้ว่ามีคนสมคบกับซีเหลียง แต่ท้ายที่สุดกลับไม่พบว่าคนผู้นั้นเป็ใคร
การที่ไม่สามารถปกป้ององค์ชายใหญ่ทำให้เขาถึงแก่ความตาย ทำให้แม่ทัพิ่ละอายใจอย่างยิ่ง เฝ้ารักษาชายแดนมาตลอดหลายปีแทบจะไม่กลับมาเมืองหลวงอีกเลย
ขณะที่ร่างของอวี้อ๋องถูกส่งกลับมาเมืองหลวง พระชายาอวี้อ๋องก็ฆ่าตัวตายตามพระสวามี เหลือแต่หรงจ้านอายุสี่ห้าขวบเพียงคนเดียว
อายุของเขาในตอนนั้นพอๆ กับฉีอันตอนนี้ แต่กลับก่อเหตุอุกอาจทำร้ายฟานอ๋องตัวการยั่วยุให้บิดาเขาออกรบกลางท้องพระโรง ใครเล่าจะคิดว่าเด็กน้อยคนหนึ่งจะพกมีดติดตัว ยิ่งคาดไม่ถึงว่าเขาจะสังหารคนในท้องพระโรง
แม้ว่าตอนนั้นฟานอ๋องจะมิได้ถูกสังหาร แต่หรงจ้านกลับสาบานกลางท้องพระโรง
เขาตั้งคำสัตย์ปฏิญาณว่า สักวันเขาจะทำให้คนที่วางแผนสังหารบิดาเขาตอนนั้นต้องชดใช้ด้วยเืทีละคน ทุกคนที่เห็นสถานการณ์ตอนนั้นล้วนยากจะลืมเลือนได้ เด็กอายุเพียงห้าขวบแต่ราวกับเดินออกมาจากขุมนรก
บังเอิญว่าตอนนั้นซูซานหลางเห็นภาพฉากนี้เข้าพอดี และั้แ่บัดนั้นเป็ต้นมา เขาก็เข้าใจว่าอำนาจคือสิ่งมอมเมาจิตใจของผู้คน แม้ว่าจะนำพาเกียรติยศไร้ที่สิ้นสุดมาให้ แต่ก็นำความตายอันไม่มีที่สิ้นสุดมาด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงปฏิเสธที่จะเข้าสู่เส้นทางขุนนาง ไม่ถามและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเื่ของผู้อื่น ไม่ยอมแปดเปื้อนไปกับสิ่งเ่าั้
แต่อดีตฮ่องเต้กริ้วจัด หากไม่เพราะได้รับการปกป้องจากหยางเฟยผู้เป็เสด็จย่าอย่างสุดชีวิต ผลลัพธ์ก็คงยากจะคาดคะเน
ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้มีพระสนมและโอรสมากมาย แต่หยางเฟยกลับมีองค์ชายเพียงสามพระองค์ได้แก่อวี้อ๋อง ฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบัน และอ๋องน้อยจ้าวอ๋องในตอนนี้
เมื่อโอรสองค์โตเสียชีวิต พระนางย่อมต้องปกป้องหลานชายเพียงคนเดียวอย่างสุดความสามารถ
ด้วยเหตุนี้ หยางเฟยจึงตัดขาดจากโลกภายนอก ปิดประตูไม่ให้ใครเข้าพบ ฟูมฟักเลี้ยงดูหรงจ้านหลานชายคนโตเพียงอย่างเดียว
แต่ภายในห้าปี พรรคพวกของฟานอ๋องก็ล้มหายตายจากไปทีละคน ส่วนคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในตอนนั้นบ้างก็ถูกยึดทรัพย์ บ้างก็ถูกตัดสินปะาชีวิตด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป อวี้อ๋องน้อยหรงจ้านก็เริ่มกลายเป็ที่หวาดระแวงของผู้คนอย่างช้าๆ
หลังจากมีการผลัดแผ่นดินฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ หรงจ้านก็หายไปจากเมืองหลวง และไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาอีกเลย
แต่ใน่ห้าปีที่ผ่านมา เขาเร้นกายอยู่อย่างสันโดษ ไม่มีใครรู้ว่าเขาหน้าตาเป็อย่างไร แม้แต่ภาพเหมือนของเขาก็ไม่มีสักแผ่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะแฝงตัวอยู่ในซีเหลียงแคว้นศัตรู
และหากไม่เพราะเกิดความวุ่นวายภายในราชวงศ์ซีเหลียง เหล่าองค์ชายาเ็ล้มตาย ทัพใหญ่ที่ชายแดนก็ตกอยู่ในวงล้อมศัตรูสูญเสียอย่างหนัก ก็คงไม่มีใครรู้ว่าอวี้อ๋องน้อยหรงจ้านแท้จริงแล้วมิได้พำนักอยู่เมืองหลวง แต่อยู่ที่ซีเหลียงมาห้าปีแล้ว
เขาย้ายไปซีเหลียงั้แ่สิบขวบ ความวุ่นวายในราชวงศ์ซีเหลียงก็เกิดขึ้นด้วยน้ำมือเขา
เมื่อข่าวแพร่ออกมา ทุกคนก็นึกเชื่อมโยงกับพรรคพวกของฟานอ๋องที่ล้มหายตายจากกันไปหมดเมื่อห้าปีก่อน ไม่มีผู้ใดแปลกใจกับสิ่งที่เขาทำ
ไท่ไท่สามประสานมือกับซูซานหลาง "ท่านว่าอวี้อ๋องกลับมาครานี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดหรือไม่?"
ซูซานหลางทอยิ้มน้อยๆ "จะเปลี่ยนแปลงอันใด? ถึงจะมีบางอย่างเกิดขึ้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ข้าเป็เพียงบัณฑิต ใจซื่อมือสะอาด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์เ่าั้อยู่แล้ว"
"ท่านกล่าวเช่นนี้ช่างไร้เหตุผลโดยแท้ ท่านไม่ยุ่ง แล้วผู้อื่นจะไม่ยุ่งหรือ จวนซู่เฉิงโหวของพวกเราหากหนึ่งคนรุ่งทุกคนก็รุ่งตาม หากหนึ่งคนร่วงทุกคนก็ร่วงตาม อุปนิสัยของพี่ใหญ่ท่านรู้ดี เขาเป็คน..." ประโยคที่เหลือกลับไม่พูดออกมา
ตลอดเวลาที่ผ่านมาซูต้าหลางทุ่มเทเพื่อหน้าที่การงาน หากใช้คำพูดของเฉียวเยว่ก็คือท่านลุงใหญ่คลั่งการเป็ขุนนางจนขึ้นสมอง ตอนนี้ท่านโหวผู้เฒ่ายังอยู่ ทุกสิ่งถูกกดไว้ ครอบครัวจึงกลมเกลียวสมานฉันท์ แต่ถ้าความจริงมิใช่เช่นนั้นเล่า!
นางรู้พี่ใหญ่เองก็รักซานหลาง แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะไม่บีบให้เขาเข้ารับราชการ
ซูซานหลางหัวเราะเบาๆ "เ้าคิดมากไปแล้ว วางใจเถอะ เื่ที่ข้าไม่ยินดี ใครก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้ ข้าวางเ้าอยู่ในตำแหน่งสำคัญที่สุดของหัวใจเสมอมา เ้าไม่เห็นด้วย สามีก็ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่จะทำให้เ้าเสียใจ"
"ใช้คารมหลอกคนอีกแล้ว บุตรสาวเหมือนท่านที่สุด" ไท่ไท่สามค้อนควักใส่เขา
เด็กน้อยของพวกเขาคนนั้นปากหวานช่างเอาอกเอาใจก็เหมือนคนผู้นี้ที่สุดมิใช่หรือ
"คารมหลอกคนอันใด นี่คือความรักที่จริงใจต่างหาก ไม่ฟังภรรยาแล้วจะให้ฟังผู้ใดเล่า เ้าว่าถูกหรือไม่?" ซูซานหลางยิ้ม
ไท่ไท่สามหน้าแดง จิ้มเขาทีหนึ่ง "ต่อไปห้ามเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าบุตรเป็อันขาด เ้าตัวเล็กจะได้ไม่เอาไปเลียนแบบ"
พูดถึงเื่นี้ ซูซานหลางก็ถอนหายใจ "เ้าว่าหรือไม่ คนที่ควรเรียนรู้ไม่เรียนรู้ คนที่ไม่ควรเรียนรู้กลับได้เป็เต็มสิบส่วน นี่จะทำอย่างไรดี หากฉีอันของพวกเราเรียนรู้ที่จะใช้ถ้อยคำหวานหูไปแต่งภรรยาก็จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนข้า เขาเลียนแบบได้ย่อมมีประโยชน์ แต่เขากลับไม่สนใจ พูดก็น้อย ส่วนเฉียวเยว่แม่นางน้อยคนหนึ่งกลับได้วิชาคำหวานไปเต็มๆ จะมีประโยชน์อันใด"
ไท่ไท่สามทุบเขาหนึ่งที "ก็เพราะท่านชอบพูดแต่เื่ไร้แก่นสารทั้งวัน ไม่คิดบ้างว่าบุตรสาวคนนั้นหัวไวเสียยิ่งกว่าลิง"
"ข้าผิดไปแล้ว"
ไท่ไท่สามจะลุกขึ้นมาสวมเสื้อ ซูซานหลางกดนางลง เอ่ยเสียงเบา "ข้าไปดูพวกเขาเอง ข้างนอกหนาวมาก เ้าพักผ่อนเถอะ"
นับั้แ่มีบุตร ไท่ไท่สามจะต้องไปดูบุตรทั้งสามก่อนนอนทุกคืนถึงจะหลับลง
"หนาวมากที่ไหน ข้าไม่ไปดูเองก็จะไม่วางใจ ท่านยิ่งไม่พิถีพิถันอยู่ด้วย"
ซูซานหลางหมดหนทาง จึงจูงมือนาง "เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน"
สองสามีภรรยาออกจากห้องพร้อมกัน หลังจากดูอิ้งเยว่กับฉีอันแล้ว ก็เลี้ยวเข้าห้องเฉียวเยว่ ในห้องอบอุ่น เฉียวเยว่ขาโผล่ออกมาข้างนอก กอดผ้าห่มนอนกรนคร่อกๆ หลับฝันหวาน แลดูน่ารักยิ่งนัก
ไท่ไท่สามดึงผ้าห่มลงคลุมให้ดี พลางเอ่ยว่า "ดูเด็กคนนี้สิ หากไม่มาดูเองจะวางใจลงได้อย่างไร"
"ไท่ไท่วางใจเถิดเ้าค่ะ บ่าวจะมาดูให้ถี่ขึ้น" อวิ๋นเอ๋อร์กล่าวเสียงเบา
"ดูแลคุณหนูให้ดี ผลัดกันกับเมี่ยวฉาง"
"เ้าค่ะ"
เมี่ยวฉางเป็สาวใช้ที่ซูซานหลางจัดให้เฉียวเยว่ แต่เพราะอวิ๋นเอ๋อร์เป็คนของฮูหยินผู้เฒ่า ย่อมจะมีความสำคัญมากกว่า
ไท่ไท่สามหมุนตัวเตรียมจะไป สายตาพลันเหลือบไปเห็นตะกร้าหิ้วใบเล็ก นางเข้าไปหยิบขึ้นมา หลังจากนั้นก็กล่าวว่า "นี่เป็ตะกร้าที่อวี้อ๋องใส่ขนมมาให้มิใช่หรือ ไยมาอยู่ในห้องของเฉียวเยว่"
"คุณหนูเจ็ดยืนกรานจะเอากลับมาให้ได้เ้าค่ะ นางชอบตะกร้าใบนี้ บอกว่าจะเอามาเป็แบบวาดภาพก่อนค่อยส่งคืนไป" อวิ๋นเอ๋อร์เข้ามารายงานทันที
เด็กก็เป็เช่นนี้ ชอบอะไรก็ต้องเขียนต้องวาด ไท่ไท่สามหันมาพูดกับซูซานหลาง "ข้ารู้สึกว่าเฉียวเยว่ชอบของชิ้นเล็กที่มีความประณีต เหมือนตะกร้าใบนี้"
ช่างน่ารักจริงๆ
"เมื่อนางชอบตะกร้าใบน้อย พรุ่งนี้ข้าจะให้คนสานมาให้นางเล่นสักใบสองใบ" ซูซานหลางกล่าว
"เช่นนี้ก็ดี" ไท่ไท่สามเห็นพ้อง
แต่ไหนแต่ไรมาซูซานหลางไม่เคยทำสิ่งใดชักช้า วันรุ่งขึ้นก็สั่งคนให้สานตะกร้าใบเล็กขึ้นมาหนึ่งใบ นี่ไม่ใช่เื่สิ้นเปลืองอันใด ไม่ช้าก็เสร็จ ซูซานหลางก็นำตะกร้าอันกระจิริดไปหาเฉียวเยว่ เห็นนางกำลังใส่ของบางอย่างลงในตะกร้าพอดี
"นี่เ้าทำอันใด?" เขาถามด้วยความสงสัย
"พี่ชายอวี้อ๋องส่งของอร่อยมาให้กิน ข้าต้องขอบคุณเขาสักหน่อย"
"เ้าเขียนอะไรบ้าง" ซูซานหลางชำเลืองดู
เฉียวเยว่ส่งแผ่นกระดาษที่วางลงไปให้บิดา ถึงนางไม่ให้ดู บิดาก็จะดูอยู่ดี เด็กหญิงตัวน้อยจึงไม่ขัดความประสงค์ ดวงหน้าน้อยเงยขึ้นมอง "ผู้อื่นส่งของกินมาให้ ข้าต้องขอบคุณอย่างดี ถือโอกาสป้อยอเขาไปด้วย มิเช่นนั้นวันหลังเขาไม่ส่งมาอีกจะทำอย่างไร? อีกอย่างเขาดูเป็คนแปลกพิกล ไม่เหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไปสักนิด ข้าไม่กล้าทำให้เขาไม่พอใจ พูดแต่คำดีๆ เข้าไว้ ถึงจะเป็วิธีที่ถูกต้อง"
"เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา แล้วเ้าเล่าเป็สาวน้อยธรรมดาหรือเปล่า?" ซูซานหลางอมยิ้มอย่างจนปัญญา
"ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว รูปโฉมของข้างดงามปานบุปผา สติปัญญาเฉลียวฉลาด น่ารักใคร่เอ็นดู อ่อนหวานช่างเอาอกเอาใจ ข้าย่อมมิใช่สาวน้อยธรรมดา แต่เป็เทพธิดาน้อย"
หลังจากพูดจบ เฉียวเยว่ก็ยกชายกระโปรงแล้วหมุนหนึ่งรอบสุดแสนจะน่ารักเป็ความงามที่ชวนให้คนคาดไม่ถึง
บุตรสาวของตนแม้ว่าจะซุกซนไปหน่อยแต่ก็งดงามที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังขี้เล่นอีกด้วย
แต่เขามิอาจชมเชยพร่ำเพรื่อ หากพูดมากไปอีกประโยค หางของนางก็จะยิ่งชูสูงขึ้นฟ้า
แต่หลังจากเปิดอ่านข้อความในกระดาษเขาก็ต้องตกตะลึง แทบจะควบคุมอาการสั่นขอหัวไหล่ตนเองไม่อยู่ ก่อนที่จะถามอย่างจริงจัง "นี่เ้าเขียนเองรึ?"
เฉียวเยว่พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ "ใช่สิเ้าคะ เขียนดีหรือไม่ เขาจะชอบหรือไม่?"
ซูซานหลางมองแผ่นกระดาษ มุมปากโค้งขึ้น...
"น่าจะ...ได้กระมัง" เห็นได้ว่าแฝงไปด้วยความไม่มั่นใจอยู่บางส่วน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้